โลกของการสื่อสารที่ถูกพัฒนาไปตามยุคทำให้คนสามารถเชื่อมต่อกันได้ง่ายขึ้นด้วยเทคโนโลยีต่าง ๆ จนโซเชียลมีเดียได้กลายเป็นสื่อสังคมที่มีส่วนสำคัญในชีวิตประจำวันของผู้คนนับพันล้าน ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งปันช่วงเวลาสำคัญกับครอบครัว-เพื่อน การติดตามข่าวสารแบบเรียลไทม์ หรือแม้แต่การใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมและสร้างการเปลี่ยนแปลง แต่ในอีกมุมหนึ่งของโลก การเข้าถึงแพลตฟอร์มเหล่านี้กลับถูกจำกัดและควบคุมอย่างเข้มงวดโดยรัฐบาล

รัฐบาลในบางประเทศมักอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ ศีลธรรม หรือความสงบเรียบร้อย เพื่อควบคุมพื้นที่ดิจิทัล ทำให้ข้อมูลไม่ถูกส่งอย่างตรงไปตรงมา เกิดการแทรกแซง และกระทบต่อการใช้ชีวิตของผู้คน และ 7 ประเทศเหล่านี้ คือประเทศที่โซเชียลมีเดียถูกแบนหรือถูกจำกัดการเข้าถึงในปี 2025

  1. จีน 

จีนขึ้นชื่อเรื่องการควบคุมอินเทอร์เน็ตที่เข้มงวดที่สุดในโลก ภายใต้นโยบาย “กำแพงดิจิทัล” (Great Firewall) รัฐบาลได้แบนแพลตฟอร์มระดับโลกอย่าง Facebook, X (Twitter), Instagram และ YouTube มานานแล้ว ทำให้ชาวจีนต้องใช้แอปพลิเคชันภายในประเทศอย่าง WeChat และ Weibo ซึ่งทั้งหมดอยู่ภายใต้การเซนเซอร์ของรัฐบาล นอกจากนี้การใช้ VPN เพื่อหลบหนีการบล็อกถือเป็นสิ่งผิดกฎหมายและมีโทษร้ายแรง

  1. เกาหลีเหนือ 

เกาหลีเหนือเป็นประเทศที่ถูกหลายประเทศทั่วโลกสื่อสารในหน้าข่าวจนหลายคนรู้ดีว่า เป็นประเทศที่ถูกปิดกั้นอินเทอร์เน็ตเกือบทั้งหมด ประชาชนส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ และถูกตัดขาดจากข่าวสารและข้อมูลต่างประเทศ มีเพียงเครือข่ายอินทราเน็ตภายในประเทศที่เรียกว่า “กวังมยอง” (Kwangmyong) เป็นเครือข่ายปิด แยกจากระบบอินเทอร์เน็ตโลก ผู้ใช้สามารถเข้าถึงเว็บไซต์และบริการต่าง ๆ ภายในเครือข่ายนี้เท่านั้น เช่น เว็บไซต์รัฐบาล ข่าวสาร อีเมล และบริการสตรีมมิงวิดีโอ โดยข้อมูลทั้งหมดถูกควบคุมและตรวจสอบอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันไม่ให้ข้อมูลจากภายนอกไหลเข้าสู่เครือข่ายนี้ และจำกัดสิทธิ์การเข้าถึงตามนโยบายของรัฐฯ และเป็นการปิดหูปิดตาประชาชน

  1. อิหร่าน 

อิหร่านเป็นประเทศที่แบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียและแอปพลิเคชันส่งข้อความดัง ๆ มานานแล้ว เช่น Facebook, YouTube และ X แต่เมื่อเกิดการประท้วงครั้งใหญ่ในปี 2022 รัฐบาลก็สั่งแบน Instagram ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มยอดนิยมตัวสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่ การจำกัดนี้มักอ้างเหตุผลเรื่องศีลธรรมและความมั่นคง แม้ชาวอิหร่านหลายคนจะใช้ VPN เพื่อเข้าถึงโซเชียลมีเดียที่รัฐฯ แบน แต่ก็มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกลงโทษ อย่างไรก็ตามเมื่อ 24 ธันวาคม 2024 ทางการอิหร่านได้มีคำสั่งยกเลิกการแบนแอปพลิเคชัน “WhatsApp” และ “Google Play” ถือว่าเป็นการลดข้อจำกัดการใช้อินเทอร์เน็ตครั้งแรก

ที่มา : wikimedia
  1. ตุรกี

ตุรกีมักใช้มาตรการปิดกั้นชั่วคราวในช่วงที่เกิดความวุ่นวายทางการเมือง การประท้วง หรือวิกฤตความมั่นคง กับแพลตฟอร์มโซเชียล เช่น WhatsApp, YouTube และ X ที่เคยถูกบล็อกเป็นชั่วโมงหรือหลายวันหลังเหตุโจมตีของผู้ก่อการร้ายหรือระหว่างการชุมนุมทางการเมือง นอกจากนี้ กฎหมายยังบังคับให้แพลตฟอร์มต้องเก็บข้อมูลผู้ใช้ไว้ในประเทศและแต่งตั้งตัวแทนในตุรกีด้วย

  1. เมียนมา 

หลังการรัฐประหารในปี 2021 รัฐบาลทหารในเมียนมาได้สั่งแบนโซเชียลมีเดียและแอปพลิเคชันส่งข้อความ เช่น Facebook, WhatsApp และ Instagram ซ้ำแล้วซ้ำอีก โดยเฉพาะในช่วงที่มีการประท้วง โดยอ้างเหตุผลในการควบคุมข่าวปลอมและป้องกันความวุ่นวาย แต่ในมุมมองของนักวิจารณ์ การแบนนี้คือเครื่องมือในการปราบปรามเพื่อปิดปากผู้เห็นต่าง

  1. รัสเซีย 

รัสเซียไม่ได้แบนแพลตฟอร์มทั้งหมด แต่ใช้กฎหมายควบคุมอย่างต่อเนื่อง เช่น การจำกัดฟีเจอร์โทรศัพท์บนแอปพลิเคชันต่างประเทศ อย่าง WhatsApp และ Telegram เนื่องจากอ้างว่าบริษัทไม่ให้ความร่วมมือในการสืบสวนคดี รัฐบาลยังบังคับให้บริษัทเทคโนโลยีต้องเปิดสำนักงานในรัสเซียและคัดกรองเนื้อหาตามที่รัฐกำหนดอีกด้วย และได้เปิดตัว “Max” แอปพลิเคชันที่พัฒนาโดยบริษัทรัสเซียที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาล ผู้เชี่ยวชาญด้านโทรคมนาคม และชาวรัสเซียจำนวนมากมองว่าการปราบปรามครั้งนี้เป็นการที่รัฐบาลพยายามจับตาดูว่าผู้คนพูดคุยกับใคร และอาจรวมถึงว่าพวกเขาพูดอะไรด้วย

ที่มา : wikimedia
  1. เนปาล

ในปี 2025 เนปาลสร้างความประหลาดใจด้วยการประกาศบล็อก 26 แพลตฟอร์มใหญ่ ที่ใช้ในการสื่อสารของประชาชน รวมถึง Facebook, Instagram และ YouTube เนื่องจากบริษัทไม่ยอมลงทะเบียนกับทางการ แม้จะถูกยกเลิกในไม่กี่วันหลังการประท้วงอย่างหนัก แต่เหตุการณ์นี้ก็แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลสามารถใช้กฎหมายเป็นข้ออ้างในการควบคุมโลกออนไลน์และจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนภายในประเทศได้อย่างรวดเร็วเพียงใด

การแบนและควบคุมโซเชียลมีเดียในประเทศเหล่านี้ สะท้อนให้เห็นว่าในสายตาของรัฐบาลหลายแห่ง แพลตฟอร์มออนไลน์ได้เปลี่ยนสถานะจากเครื่องมือสื่อสารมาเป็นภัยคุกคามต่ออำนาจและความมั่นคงของชาติ ซึ่งไม่เพียงแต่จำกัดเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน แต่ยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร การต่อสู้เพื่อเสรีภาพทางอินเทอร์เน็ตจึงยังคงเป็นความท้าทายที่สำคัญในหลายประเทศทั่วโลก