รีวิว nubia Neo 5G : สมาร์ตโฟนเกมมิง 5G ราคา 7,000 บาทเล่นเกมอะไรได้บ้าง ?
Our score
7.3

รีวิว nubia Neo 5G : สมาร์ตโฟนเกมมิง 5G ราคา 7,000 บาทเล่นเกมอะไรได้บ้าง ?

จุดเด่น

  1. เป็นสมาร์ตโฟนเกมมิง 5G ที่ราคาดี ให้สเปกที่เล่นเกมได้ในระดับที่ดีกว่าสมาร์ตโฟนเรตราคาเดียวกัน
  2. ซอฟต์แวร์สำหรับการเล่นเกมที่จัดเต็ม ไม่ตัดฟีเจอร์ออกมาก
  3. ดีไซน์ตัวเครื่องที่โดดเด่นมาก มองจากระยะไกลก็สามารถดูออกได้ว่านี่คือสมาร์ตโฟนรุ่นใด
  4. Codec เสียงผ่าน Bluetooth ที่จัดมาครบถ้วน
  5. หน้าจอที่คมชัดมาก ไม่รู้สึกอึดอัด หรือรำคาญเวลาใช้งาน

จุดสังเกต

  1. กล้องถ่ายภาพที่อาจจะยังไม่ได้ดีมากนัก แถมมีดีไซน์กล้องถ่ายภาพหลอกด้านล่างกล้องวัดระยะ
  2. แบตเตอรี่ที่อาจจะถือว่าน้อยไปสำหรับสมาร์ตโฟนเกมมิง
  3. เซนเซอร์แสกนลายนิ้วมือทำงานพลาดอยู่บ้าง
  4. ลำโพงเดี่ยวที่เสียงดังแต่ไม่โดดเด่น
  5. หน้าจอที่ใช้เป็น IPS LCD ทำให้หน้าจอไม่สู้แสงมากนัก
  • หน้าจอ

    7.5

  • กล้อง

    6.5

  • แบตเตอรี่

    6.0

  • ประสิทธิภาพ

    7.5

  • เสียง

    6.5

  • ดีไซน์

    9.0

  • ความคุ้มค่า

    8.0

ทุกคนคิดว่าสมาร์ตโฟนเกมมิงจะต้องราคาเท่าไหร่กันครับ ? Nubia ซึ่งเป็นบริษัทแยกจาก ZTE รวมถึงเป็นแบรนด์ที่ออก ‘Redmagic’ สมาร์ตโฟนเกมมิงตัวแรงที่ล่าสุดเพิ่งออกรุ่นใหม่ที่ให้แรมถึง 24GB มาเอง ! ได้ตัดสินใจเปิดตัวและวางจำหน่ายสมาร์ตโฟนเกมมิงราคาประหยัด ‘nubia Neo 5G’ สมาร์ตโฟนเกมมิงที่เปิดราคาวางจำหน่ายในประเทศไทยแค่ ‘6,999 บาท’ เท่านั้น !? แล้วสมาร์ตโฟนเกมมิงราคา 7,000 บาทนี้จะสามารถเล่นเกมอะไรได้บ้าง และมีอะไรดีอีกบ้าง เรามาดูกันครับ

ดีไซน์

แม้จะเป็นสมาร์ตโฟนเกมมิงราคาประหยัด แต่ดีไซน์ของตัวเครื่องถือว่าจัดเต็มมาก ๆ ทั้งฝาหลังที่ดีไซน์โดดเด่นแบบเกมเมอร์จ๋า ๆ เครื่องที่ได้มารีวิวนี้คือสี ‘Phantom Black’ ซึ่งเป็นสีเทาดำเงา ตัดกับสีทองในจุดต่าง ๆ บนฝาหลังที่ทำให้ดูโดดเด่นขึ้นมา พร้อมกับลายเหมือนตาเหยี่ยวบนฝาหลัง โดยในประเทศไทยมีวางจำหน่ายสีเหลือง ‘War-Damaged Yellow’ ที่โดดเด่นมาก ๆ ด้วยเช่นกัน ซึ่งทำให้ถ้าใครเห็นก็ต้องตอบได้ว่านี่คือ nubia Neo 5G และดีไซน์รอบ ๆ ตัวเครื่องที่ใช้ดีไซน์แบบขอบตัด ร่วมสมัยสมาร์ตโฟน (แบรนด์จีน) ในปัจจุบัน

รอบ ๆ ตัวเครื่องจะมีไมโครโฟนตัดเสียงรบกวนด้านบน, ปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง และปุ่มเปิด-ปิดเครื่องที่ทำหน้าที่เป็นเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือด้านข้าง (สแกนเร็ว แต่ยังมีผิดพลาดบ้าง), ลำโพงด้านล่าง, USB-C ที่ผู้เขียนไม่สามารถหาข้อมูลได้ว่าใช้เวอร์ชันใด และช่องเสียบหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร ส่วนด้านซ้ายตัวเครื่องมีแค่ช่องเสียบซิม (ใส่ได้ 2 ซิม 5G คู่ แต่ไม่รองรับการเพิ่ม Micro SD Card แต่อย่างใด) ซึ่งถือว่าให้มาครบถ้วนดีเหมือนกันนะ เหมาะกับเกมเมอร์ที่ยังไงก็ต้องต่อหูฟังมาเล่นเกมแน่นอน

จะให้ติเรื่องการดีไซน์ ก็คงจะเป็นเรื่องการวางกล้องถ่ายภาพด้านหลังที่มี 2 ตัว แต่ใช้การวางกรอบให้มี 3 ตัว และอีกตัวด้านล่างเป็น ‘กรอบเทียม’ เท่านั้นเอง ! โดยส่วนตัวของผู้เขียนมองว่าจริง ๆ ทำเป็น 2 กล้องโดยตรงเลยก็ไม่ได้ผิดอะไรนัก

อุปกรณ์ในกล่องจะประกอบไปด้วย :

  • ตัวเครื่อง nubia Neo 5G
  • อะแดปเตอร์ชาร์จแบตเตอรี่ขนาด 22.5W QC 3.0 ของ ZTE
  • สายชาร์จ USB-A to USB-C
  • เคสซิลิโคน
  • เข็มจิ้มซิม และคู่มือการใช้งาน

ประสิทธิภาพและการเล่นเกม

แน่นอนว่า nubia Neo 5G จั่วหัวมาว่าเป็นสมาร์ตโฟนเพื่อการเล่นเกม ดังนั้นเรามาลองดูเรื่องประสิทธิภาพ และการเล่นเกมกันบ้างดีกว่า

คือสมาร์ตโฟนเครื่องนี้เลือกเดินทางแปลกครับ ปกติเราจะเห็นสมาร์ตโฟนใช้ชิปเซตเป็น Snapdragon หรือ Dimensity กัน แต่ nubia Neo 5G เครื่องนี้ ใช้ชิปเซต ‘Unisoc Tiger T820’ ซึ่งเป็นชิปเซต 5G ระดับกลาง ขนาด 6 นาโนเมตร (8 Core สูงสุด 2.7 GHz) รุ่นใหม่ที่ตอนนี้ จากการหาข้อมูลของผู้เขียน มีเพียงแค่ nubia Neo 5G รุ่นนี้ที่ได้ใช้ ! (Exclusive สุด ๆ !)

ส่วนสเปกอื่น ๆ ภายในเครื่อง nubia Neo 5G มาพร้อมกับแรมขนาด 8 GB (เพิ่มความจุผ่านเทคโนโลยี Memory Fusion ได้อีก 10GB) และหน่วยความจำแบบ UFS 3.1 ขนาด 256GB ที่ถือว่าให้มาค่อนข้างเยอะเลยสำหรับสายเน้นเล่นเกมเป็นหลัก

เอาล่ะ แนะนำสเปกเสร็จแล้วมาดูผลการทดสอบและลองลงสนามจริงกันดีกว่า

คือถ้าเราทดสอบด้วย Geekbench 6.1.0 จะได้คะแนน Single-Core ที่ 874 คะแนน และ Multi-Core ที่ 2,383 คะแนน ซึ่งถือว่าแอบสูงกว่า Snapdragon 695 ซะอีกนะเนี่ย !

แต่ถ้าทดสอบกราฟิกด้วย 3D Mark ชุด Wild Life Stress Test จะได้คะแนนสูงสุดอยู่ที่ 2,000 คะแนน, นิ่งที่ 99.4 % และอุณหภูมิสูงสุดที 35 องศา ถือว่าค่อนข้างอุ่นเลยทีเดียวสำหรับการทดสอบกราฟิกที่ได้คะแนนหลัก 2,000 เช่นนี้ แต่ก็ยังเป็นตัวเลขคะแนนที่ 2 พอจะเล่นเกมได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

แต่จุดที่แตกต่างที่ทำให้ nubia Neo 5G เป็นสมาร์ตโฟนเกมมิงจริง ๆ คือซอฟต์แวร์เกมของเขานี่แหละ ! คือในตัวเครื่องจะมี ‘Game Space’ หรือเป็นแอปฯ ที่รวมหน้าเกมเข้าด้วยกันให้เรากดเข้าเกมได้ง่าย ๆ เพื่อสร้างประสบการณ์ในการเล่นเกมให้ดีขึ้นอยู่ นอกจากนั้น พอเราเข้าเกม ก็จะมีหน้า Game Space นี่แหละ ที่จะครอบทับหน้าเกมของเราอีกที และจัดฟีเจอร์เข้ามาเต็มในระดับเท่ากันกับรุ่นพี่อย่าง Redmagic Series กันเลยทีเดียว ดังนั้นขอแนะนำฟีเจอร์ที่ผู้เขียนว่าน่าจะได้ใช้กันดีกว่า

อย่างแรกคือ ‘Info’ ที่จะสามารถแสดงสถานะของเครื่องขณะเล่นเกมอยู่ได้ ว่าตอนนี้เล่นอยู่ที่ FPS เท่าไหร่, เวลาตอนนี้กี่โมงแล้ว, อินเทอร์เน็ตตอนนี้ดาวน์โหลดอยู่ที่เท่าไหร่, แบตเตอรี่กี่เปอร์เซ็นต์ และตอนนี้เล่นไปกี่ชั่วโมงแล้ว ซึ่งเหมาะมากกับการมอนิเตอร์เกมที่เราเล่นอยู่ เฟรมตกคือรู้แน่นอน

ต่อมาคือการปรับตั้งค่าตัวเครื่อง ให้สามารถ Overclock เครื่องให้แรงขึ้น ผ่านโหมดตัวเครื่อง ‘Rise’ (แลกมากับอุณหภูมิที่ร้อนขึ้นด้วย) และแสดงผล Clock Speed ที่เพิ่มขึ้นให้ดูเลยทีเดียว

นอกจากนั้นใน Game Space เรายังสามารถเลือกปิดการแจ้งเตือน, สายเรียกเข้า, ถ่ายภาพ หรืออัดวิดีโอหน้าจอเกมที่เรากำลังเล่นอยู่ และลดความไวในการสัมผัสหน้าจอโดยไม่ได้ตั้งใจก็ได้เช่นกัน

ฟีเจอร์ต่าง ๆ กดเปิดได้ในที่เดียวเลย !

และสุดท้ายที่น่าสนใจมาก ๆ และมาในสมาร์ตโฟนราคา 7,000 บาทนี้ด้วยก็คือ ‘Charge Bypass’ ซึ่งจะทำให้เราสามารถเสียบสายชาร์จไว้ และใช้ไฟจากสายชาร์จโดยตรง ไม่ใช้ไฟจากแบตเตอรี่เลย ซึ่งจะเหมาะกับการนั่งเล่นเกมนาน ๆ และเสียบชาร์จไปด้วย ให้แบตเตอรี่เสื่อมช้าลงนั่นเอง ซึ่งลองแล้วก็ได้ผลอยู่นะ

ส่วนการลงสนามจริง เราขอหยิบเกมที่คนจะเล่นกันมาก ๆ มาเป็นตัวอย่างในการรีวิวให้ทุกคนได้อ่านกันแล้วกัน !

RoV

ถ้าเป็นเกมมหาชนอย่าง RoV นั้น เราสามารถเล่นแบบปรับสุดทุกอย่างเท่าที่ตัวเครื่องสามารถตั้งค่าได้ คือ FPS สูง, ภาพ HD สูงมาก, การแสดงผล สูง และพาร์ทิเคิล สูงมาก ก็สามารถเล่น 60FPS ได้ค่อนข้างนิ่งมากเลยทีเดียว กล่าวคือเฟรมเรตโดยเฉลี่ยอาจจะสวิงระหว่าง 45-60 FPS แต่จากการเล่นมาหลายตา ก็พบว่าไม่ได้มีอาการหน่วง หรือแล็กอะไรให้เห็นทั้งสิ้นเลย จะมีแค่ตัวเครื่องที่อุ่นนิดหน่อยเท่านั้น

Genshin Impact

ในความเป็นจริงนั้น เกม Genshin Impact ถือเป็นเกมที่ใช้ทรัพยากรเครื่องค่อนข้างสูงมาก การจะเล่นในสมาร์ตโฟนระดับกลางค่อนเริ่มต้นแบบนี้อาจจะเป็นการยากไปสักเล็กน้อย แต่จากการลองทดสอบเล่นมาก็พบว่า ถ้าปรับการตั้งค่าอยู่ที่ ระดับต่ำ (30 FPS) ก็จะทำให้ได้อรรถรสในการเล่นที่ดีที่สุด แม้ว่าจะมีการกระตุกบ้างเล็กน้อยก็ตาม

Honkai : Star Rail

ในขณะที่เกมน้องรางดาว (Honkai : Star Rail) นั้นจะให้ประสบการณ์ที่ค่อนข้างดีกว่าเล็กน้อย แต่ว่าถ้าอยากจะสามารถเล่นได้แบบไม่กระตุกจนหงุดหงิด ก็อยากแนะนำให้ตั้งค่ากราฟิกที่ระดับกลาง (30 FPS) จะทำให้เล่นได้ 30FPS นิ่ง ๆ และให้ประสบการณ์การเล่นได้ดีที่สุดครับ

Harry Potter: Magic Awakened

ในขณะที่เกมมือถือมาใหม่แกะกล่องอย่าง Harry Potter: Magic Awakened นั้นจะสามารถตั้งค่าได้ที่ ‘Best’ เลย ก็ยังสามารถพอจะเล่นได้อยู่นะ ! แต่ก็จะสามารถเล่นได้ที่ประมาณ 30 – 45 FPS แล้วแต่สถานการณ์ แต่ก็ไม่กระตุกมากจนเล่นไม่ไหวนะ

PUBG Mobile

อีกเกมยอดฮิตในสมาร์ตโฟนอย่าง PUBG Mobile นั้น สามารถตั้งค่าได้สูงสุดที่ HDR (ยังไม่รองรับคุณภาพที่สูงกว่านั้น) และตั้งเฟรมเรตไว้ที่สูงสุด และสามารถเล่นได้ที่ 40FPS (โดยไม่ขึ้นไปสูงกว่านี้) เหมือนโดนล็อกเฟรมไว้ แต่จัดว่าเล่นได้เลยทีเดียว ติดที่ว่าตัวเครื่องก็แอบร้อนเล็กน้อยเท่านั้น

ซึ่งจากที่เราลองเล่นมาถึง 5 เกมนี้แล้ว ก็ได้พบว่า โดยตัวเครื่องของมันนั้นมีประสิทธิภาพที่เหนือกว่าสมาร์ตโฟนในเรตราคาใกล้ ๆ กันอยู่พอสมควรเลยทีเดียว และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ซอฟต์แวร์ ‘Game Space’ ที่ครอบทับมา ที่สามารถทำได้หลายอย่างมาก ๆ ทำให้การเล่นเกมของเราสนุกมากขึ้นเยอะเลยด้วย

ถ้ามองเรื่องของประสิทธิภาพ แม้ตัวเครื่องอาจจะไม่ได้แรงเวอร์วังจนเหมือนกับ ‘สมาร์ตโฟนเกมมิงอื่น ๆ’ ที่สเปกมาแบบเรือธงใส่เต็มทุกจุด แต่ nubia Neo 5G ก็เป็นสมาร์ตโฟนเกมมิ่งตัวประหยัดที่น่าสนใจอีกรุ่นเหมือนกันนะ

หน้าจอ

นอกจากเรื่องของประสิทธิภาพแล้ว เรื่องของจอที่ใช้เล่นเกมก็สำคัญไม่แพ้กัน โดย nubia Neo 5G มีหน้าจอเป็นแบบ IPS LCD ขนาด 6.6 นิ้ว ความละเอียด FHD+ (2408×1080) อัตราส่วน 20:9 รีเฟรชเรต 120Hz ที่มีการวางกล้องหน้าแบบหยดน้ำตรงกลางบนของหน้าจอ ซึ่งเอาจริง ๆ ถือว่าให้มาขนาดใหญ่สะใจอยู่สำหรับการเล่นเกม และแม้จะเป็นจอ IPS LCD แต่ก็ได้ให้สีมาในระดับที่ดีใช้ได้เลยทีเดียว การทัชหน้าจอจัดว่าลื่นไหล และไม่มีปัญหาในการใช้งานทั่วไปแน่นอน

จะติดก็ตรงที่ความสว่างของหน้าจอที่อาจจะไม่ได้มากเท่าจอแบบ OLED แต่ถือว่าให้มาได้มากพอที่จะนำมาใช้เล่นเกมที่บ้านได้แบบชิว ๆ แต่ถ้าออกนอกบ้านอาจจะไม่ได้สู้แสงมากนักนะครับ

เสียง

เรื่องเสียงของ nubia Neo 5G นั้นแม้ภายนอกอาจจะไม่ได้จัดมาเต็มมาก ด้วยการที่ใช้แค่ลำโพงเดี่ยว กับเสียงของลำโพงที่ไม่ได้ให้เสียงเบส หรือความละเอียดที่มากนัก แต่ก็ให้เสียงที่ดังดีนะ ! นอกจากนั้น ถ้าอยากให้ได้อรรถรสในการเล่นเกมที่ดี แนะนำให้เชื่อมต่อหูฟังผ่านช่องเสียบหูฟัง 3.5 มิลลิเมตรได้ และยังรองรับระบบเสียงแบบ DTS:X Ultra รอบทิศทาง ทำให้ได้ใช้เทคโนโลยีเสียง Immersive Audio ในการเล่นเกมให้สมจริงมากขึ้นได้ด้วย

ส่วนการเชื่อมต่อ Bluetooth ก็รองรับ Codec ครบถ้วนพอจะใช้งานได้เหมือนกัน ทั้ง SBC, AAC, aptX, aptX HD, aptX Adaptive, aptX TWS+, LDAC และ LC3 ซึ่งเอาจริง ๆ ก็ครบมาก ๆ สำหรับสมาร์ตโฟนในเรตราคานี้ ผู้เขียนแอบแนะนำให้เล่นเกมผ่านการต่อหูฟังหรือบลูทูธนะครับ จะให้อรรถรสในการเล่นที่ดีมาก ๆ แน่นอน

กล้องถ่ายภาพ

ทุกทีเวลาเรารีวิวสมาร์ตโฟนเกมมิง สิ่งที่จะเป็นจุดอ่อนอยู่เสมอคือเรื่องของกล้องถ่ายภาพนี่แหละ ! (ปกติเกมเมอร์ไม่เน้นถ่ายรูปเท่าเล่นเกมนี่นา) nubia Neo 5G เองก็ให้กล้องที่อาจจะใช้คำว่าไม่ได้โดดเด่นมากนัก แต่อยู่ในระดับพอใช้ไปถ่ายรูปเล่นได้แน่นอน ด้วยเซนเซอร์กล้องถ่ายภาพหลัก Samsung ISOCELL JN1 ขนาด 50 ล้านพิกเซล f/1.8 และกล้องวัดระยะถ่ายภาพบุคคลขนาด 2 ล้านพิกเซล f/2.4 รวมเป็นกล้องหลัง 2 ตัวนะครับ (อีกตัวคือดีไซน์เฉย ๆ อย่างที่เคยบอก) ซึ่งเอาจริง ๆ ก็สามารถใช้ถ่ายภาพเล่น ๆ ได้อยู่เช่นกัน ที่น่าแปลกใจคือชัตเตอร์ของแอปฯกล้องถ่ายภาพนั้นทำได้เร็วมากครับ (แต่บางภาพก็อาจจะหลุดโฟกัสไปได้) แม้สีจะไม่ได้มีความสดมากนัก แต่ด้วยเซนเซอร์ใหม่ของซัมซุงนี้ ก็ทำให้ภาพที่ถ่ายได้นั้น เก็บรายละเอียดได้โอเคไปด้วย ส่วนเรื่องสีแนะนำให้ลองไปแต่งต่อดูน่าจะดีกว่าครับ ส่วนกล้องหน้าก็ได้ให้ความละเอียดอยู่ที่ 8 ล้านพิกเซล ที่แม้จะดูไม่เยอะ แต่ก็พอใช้งานทั่วไป หรือไลฟ์สตรีมเกมเราได้อยู่นะ (ตัวอย่างภาพอยู่ภาพสุดท้ายนะ)

ส่วนการถ่ายภาพซูมสามารถซูมได้สูงสุดที่ 10 เท่าครับ แต่จะเป็นการครอปภาพจากเซนเซอร์กล้องถ่ายภาพหลักล้วน ๆ ทำให้ระยะหวังผลอยู่ที่ 2 เท่าเท่านั้น

แบตเตอรี่ ความร้อน

เรื่องแบตเตอรี่เองก็สำคัญไม่แพ้กันสำหรับสมาร์ตโฟนเล่นเกมนะครับ nubia Neo 5G เครื่องนี้ได้ให้แบตเตอรี่มาที่ขนาด 4,500 มิลลิแอมป์ ซึ่งในมุมมองของผู้เขียนต้องยอมรับเลยว่าให้มาค่อนข้างน้อยเลยทีเดียว แถมความร้อนก็จัดการได้ยังไม่ได้ดีมากนัก เครื่องแอบร้อนเร็วเวลาเล่นเกม เช่นถ้าเข้าไปเล่น PUBG Mobile กว่าจะจบ 1 เกมได้ เครื่องก็เริ่มอุ่นพอสมควรแล้ว ซึ่งความร้อนมาก ๆ ทำให้แบตเตอรี่ลดเร็วลงไปด้วยนะ ! จากการที่ได้ลองเล่นเกมมา ถ้าเล่น PUBG Mobile จบ 1 เกม แบตเตอรี่จะลดไปประมาณ 10% ได้เลย ดังนั้นถ้าเล่นแบบเสียบสายชาร์จ bypass ไว้ จะแก้ปัญหาเรื่องแบตเตอรี่ไปได้ครับ

แต่อย่างน้อย nubia Neo 5G ก็ยังให้ระบบชาร์จเป็นระบบชาร์จเร็ว 22.5 วัตต์ ซึ่งนอกจากจะมีแถมมาให้ในกล่องแล้ว ยังสามารถใช้หัวชาร์จที่รองรับการชาร์จ QC 3.0 หรือ PD มาชาร์จก็ได้เช่นกัน ถือว่าสะดวกใช้ได้เลยทีเดียว

บทสรุปส่งท้าย

สุดท้ายแล้ว nubia Neo 5G ถือเป็นสมาร์ตโฟนเกมมิงระดับเริ่มต้น ในเวลาที่สมาร์ตโฟนเกมมิงอยู่ในระดับราคาที่สูงเกินจะเอื้อม ซึ่งทำให้ nuibia Neo 5G เป็นสมาร์ตโฟนอีกรุ่นที่น่าสนใจ หากใครที่กำลังมองหาสมาร์ตโฟนเกมมิงที่ราคาประหยัด เข้าถึงได้ ใช้ 5G ได้ แถมยังมีระบบที่เหมาะกับเกมเมอร์เช่น Charge Bypass ซึ่งสมาร์ตโฟนในเรตราคานี้มักจะไม่เจอกันอีกด้วยนะ จะมีข้อสังเกตเล็กน้อยคือเรื่องของกล้องถ่ายภาพที่อาจจะไม่ได้โดดเด่นมากนัก แอบหลุดโฟกัสง่าย และเรื่องของแบตเตอรี่ที่อาจจะให้มาน้อยไปสักหน่อย และชาร์จช้าไปนิด แต่ด้วยราคา 6,999 บาท แถมยังมีจัดโปรลดราคาเพิ่มได้เรื่อย ๆ อีก ! nubia Neo 5G คืออีกตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว

ใครที่สนใจใน nubia Neo 5G เครื่องนี้ สามารถตามไปซื้อได้ที่ Shopee Official ของ Redmagic เลย !

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส