รีวิว Devialet Gemini II ขึ้นแท่นหูฟังตัวท็อปของวงการ เบสลึกที่สุดเท่าที่เคยลอง!
Our score
9.2

Devialet Gemini II

จุดเด่น

  1. เสียงดีระดับท็อปของหูฟัง TWS ให้เสียงแน่นทุกย่านโดยเฉพาะเบสที่หาหูฟังให้เบสลึกระดับนี้ได้ยาก
  2. ตัดเสียงรบกวนดีเยี่ยม
  3. ดึงเสียงภายนอกได้เป็นธรรมชาติ
  4. เชื่อมต่ออุปกรณ์ได้พร้อมกัน 2 ตัว (Multipoint)
  5. หูฟังตัวเล็ก ใส่สบาย เคสก็เล็ก พกง่าย
  6. รับประกัน 2 ปี

จุดสังเกต

  1. ราคาสูง
  2. ไม่มีโหมดปิดการทำงานระบบตัดเสียงรบกวนและการดึงเสียงภายนอก ต้องเลือกระหว่างเปิด ANC หรือ Tranparency เท่านั้น
  3. Devialet ไม่เคยเน้นเรื่อง Hi-Res
  • คุณภาพเสียง

    9.7

  • คุณภาพวัสดุ

    9.0

  • ความคล่องตัวในการใช้

    10.0

  • ความสามารถในการคุยโทรศัพท์

    9.2

  • ความคุ้มค่า

    8.2

Devialet เป็นแบรนด์เครื่องเสียงจากฝรั่งเศสที่โดดเด่นมากเรื่องนวัตกรรมเสียงนะครับ ตั้งแต่ลำโพง Phantom อันเลื่องชื่อที่ให้เสียงได้ใหญ่ หนักแน่นกว่าขนาดตัว มาถึง Devialet Gemini II หูฟังแบบ True Wireless รุ่นที่ 2 ของแบรนด์ที่จัดเต็มด้วยเบสลงลึกระดับ 5 Hz จนเป็นหูฟังที่เบสลึกและอร่อยที่สุดที่เราเคยฟัง มาดูรีวิวกันเลยดีกว่าครับ

ดีไซน์

งานออกแบบของ Devialet Gemini 2 ค่อนข้างประนีประนอมระหว่างความสวยงามกับการใช้งานจริงมากขึ้นกว่า Gemini ตัวแรกนะครับ โดยเฉพาะเคสเก็บหูฟังของ Devialet Gemini 2 ที่กลับมาใช้ดีไซน์ฝาเปิดแบบหูฟัง TWS ทั่วไป ต่างจาก Gemini รุ่นแรกที่เคสหูฟังใช้การสไลด์เปิดเป็นเอกลักษณ์ไม่มีใครเหมือน ซึ่งแม้ว่าจะเสียเอกลักษณ์ไป แต่ก็ได้เคสขนาดเล็กลงมากจนสามารถพกพาไปไหนมาไหนได้สะดวก

แต่ Gemini 2 ก็มีสิ่งที่มาทดแทนคือสีสันของเคสและหูฟังจากรุ่นแรกที่มีสีดำอย่างเดียว ในรุ่นใหม่นี้มีให้เลือกถึง 3 สีคือ ขาวกับดำเป็นสีปกติ และสีพิเศษคือทอง Opera de Paris ซึ่งใช้ทอง 24K มาตกแต่ง ซึ่งสีนี้จะมีราคาสูงกว่าสีปกติ และเพิ่มความหรูหราด้วยแถบพลาสติกเคลือบโลหะมันวาวตรงกลางเคส ที่สลักชื่อ DEVIALET ลงไป

ฟังก์ชันของเคสชาร์จนี้ก็สามารถชาร์จผ่าน USB-C ได้ที่ด้านใต้เคส หรือจะชาร์จไร้สายผ่านแท่นชาร์จมาตรฐาน Qi ก็ได้ นอกจากนี้ด้านหลังเคสยังมีปุ่มที่ใช้สำหรับ Pair หูฟังกับอุปกรณ์ใหม่ (เปิดฝาแล้วกดค้าง 3 วินาทีตอนที่หูฟังยังอยู่ในเคส) หรือใช้รีเซตหูฟังก็ได้

ส่วนตัวหูฟังเองก็มีขนาดเล็กกว่ารุ่นแรกถึง 40% แถมยังเบาลง 35% ทำให้สวมใส่ก็สบายกว่า ใส่ฟังเพลงได้นานกว่าหูฟังรุ่นเดิม ส่วนดีไซน์ของหูฟังก็ยังอิงมาจากลำโพง Phantom คล้ายกับ Gemini รุ่นแรก บริเวณโลโก้ Devialet ของหูฟังก็ยังเป็นบริเวณที่ใช้สัมผัสสั่งงานอยู่เหมือนเดิม

และจุกหูฟัง ในกล่องมีจุกซิลิโคนแถมมาให้ถึง 4 คู่ 4 ขนาดตั้งแต่ XS / S / M / L เพื่อให้เหมาะกับขนาดหูของทุกคน โดยที่ตัวหูฟังจะใส่ขนาด M มาให้ตั้งแต่แรก ซึ่งข้อดีของการที่เป็นจุกหูฟังแบบซิลิโคน คือมันดูแลรักษาได้ง่ายกว่าจุกหูฟังแบบโฟม และมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าด้วย ไม่ต้องซื้อจุกมาเปลี่ยนบ่อย ๆ โดยหูฟังสีขาวกับทอง จะให้จุกสีขาวมา ส่วนหูฟังสีดำ จะได้จุกสีดำครับ

การควบคุม

การใช้งาน Devialet Gemini II นั้นตรงไปตรงมา จำไม่ยาก ใช้ไม่อยาก เริ่มต้นจากการควบคุมหูฟังโดยการแตะที่ตัวหูฟังก่อน มีคำสั่งดังนี้

แตะหูข้างซ้ายแตะหูข้างขวา
แตะ 1 ครั้งเล่นเพลง-หยุดเพลงเล่นเพลง-หยุดเพลง
แตะ 2 ครั้งย้อนเพลง / รับสาย-วางสายเปลี่ยนเพลงถัดไป / รับสาย-วางสาย
แตะค้างสลับโหมด ANC / ปฏิเสธสายสลับโหมด ANC / ปฏิเสธสาย
แตะ 2 ครั้งแล้วค้างลดเสียงเพิ่มเสียง

การควบคุมเหล่านี้ก็สามารถเข้าแอป Devialet Gemini ในมือถือไปปรับได้อีกครับ อาจจะเปลี่ยนการแตะค้างที่หูข้างซ้ายเป็นการเรียกผู้ช่วยอัจฉริยะจากมือถือก็ได้เช่นกัน

ส่วนการควบคุมผ่านแอปก็ไม่มีอะไรซับซ้อนครับ สามารถปรับ EQ ได้ 6 Band, ปรับสมดุลเสียงซ้าย-ขวาได้ (Stereo Balance), สามารถเลือกได้ว่าเวลาถอดหูฟังจะให้เพลงหยุดเองไหม (Smart Pause), สามารถเปิด-ปิดฟังก์ชัน Multipoint ที่ทำให้เชื่อมอุปกรณ์ได้พร้อมกัน 2 ตัว รวมถึงจัดการรายชื่ออุปกรณ์ที่เชื่อมต่อได้ อุปกรณ์ไหนจะไม่เชื่อมแล้วก็สั่งลบออกไปได้

ถ้าเทียบกับหูฟังยุคใหม่แบรนด์อื่น ๆ หลายคนคงนึกถึงฟีเจอร์ปรับรูปแบบเสียงอัตโนมัติตามที่ตำแหน่งที่ใช้งาน หรือการเปิดเสียงภายนอกอัตโนมัติเมื่อเราพูด แต่ถ้าใครเป็นคนที่ชอบหูฟังที่ทำงานตามที่เราสั่งอย่างเดียวก็พอไม่ต้องช่วยคิดก็ได้ ก็จะไม่มีปัญหาอะไรครับ

ส่วนเรื่องแบตเตอรี่ สามารถใช้ต่อเนื่องได้ 5 ชั่วโมง และชาร์จกับเคสใช้ได้สูงสุด 22 ชั่วโมงครับ ซึ่งรองรับการชาร์จทั้งผ่านพอร์ต USB-C และชาร์จไร้สาย โดยวางด้านโลโก้ Devialet ขึ้นด้านบนนะครับ ให้ด้านที่เป็นปุ่ม Pairing อยู่ชิดแท่นชาร์จ

สเปกด้านเสียง

Devialet Gemini II จัดเต็มเทคโนโลยีเสียงมาหลายอย่างให้สมกับการเป็นหูฟังตัวท็อปของค่ายและน่าจะเป็นตัวท็อปของโลกได้ไม่ยาก เริ่มตั้งแต่ไดรเวอร์ขนาด 10 mm ใช้แม่เหล็ก Neodymium ดีไซน์พิเศษเคลือบไทเทเนียม ตอบสนองความถี่เสียงตั้งแต่ 5 – 20,000 Hz ให้ความดังสูงสุด 120 dB SPL พร้อมรองรับ Bluetooth 5.2 และ Codec เป็น SBC, AAC และ aptX (ไม่รองรับกลุ่ม Hi-Res อย่าง LDAC หรือ aptX Adaptive นะ Devialet ไม่สนใจเรื่อง Hi-Res มาแต่ไหนแต่ไร)

ส่วนเทคโนโลยีเฉพาะของ Devialet ที่ใส่เข้าไปใน Gemini II รุ่นนี้คือ

โครงสร้างภายในของ Gemini 2 ส่วนสีเขียวคือไมโครโฟนที่มีชั้นสีชมพูเป็นส่วนป้องกันเสียงลม
โครงสร้างภายในของ Gemini 2 ส่วนสีเขียวคือไมโครโฟนที่มีชั้นสีชมพูเป็นส่วนป้องกันเสียงลม
  • AWR (Active Wind Reduction) – เทคโนโลยีป้องกันเสียงลมที่พัฒนาดีไซน์ของหูฟังให้มีแผ่นป้องกันลมเข้าไมโครโฟนอย่างดี ประกอบกับอัลกอริทึมที่เขียนมาตรวจจับเสียงลมและจัดการโดยอัตโนมัติ
  • IDC (Internal Delay Compensation) – อัลกอริทึมพิเศษเพื่อชดเชยดีเลย์ที่เกิดขึ้นภายใน เพิ่มความสามารถในการจัดการเสียงรบกวนในย่านความถี่กลาง ตั้งแต่ 1,500 Hz ขึ้นไป
  • Adaptive Noise Cancellation – เทคโนโลยีลดเสียงรบกวนภายนอกที่ Devialet พัฒนาขึ้นมาใหม่ จูนการทำงานให้เหมาะกับช่องหูอัตโนมัติ และอาศัยข้อมูลจากไมค์ Feedback และ Feedforward เพื่อลดเสียงรบกวนได้มากสุด 40 dB

เสียงของ Devialet Gemini II

เราบอกมาตลอดนะครับว่า Devialet Gemini II เป็นหูฟังที่เบสหนัก แต่ถ้าไปดูกราฟการเรนเดอร์เสียงแล้ว จะเห็นว่ามันค่อนข้างเรียบ ไม่ได้มีการบูสท์ช่วงเบสขึ้นมาเหมือนหูฟังหลาย ๆ รุ่นด้วยซ้ำ จึงคิดได้ว่าเสียงเบสที่หนักหน่วงของ Gemini II จึงเกิดจากการที่มันสามารถแสดงเสียงได้เป็นธรรมชาติไปจนถึงย่านต่ำมาก ๆ ไม่ได้มีการเร่งเบสในช่วง Mid-Bass, High-Bass เพื่อชดเชยสิ่งที่ทำไม่ได้ในช่วง Low-Bass แบบที่หูฟังหลายรุ่นทำกัน เพราะฉะนั้นเสียงของ Devialet Gemini II จึงเป็นแบบนี้ครับ

  • เบส: ให้เสียงต่ำแบบคายมาให้หมด แสดงมาให้สุด เพลงออกแบบเสียงเบสไว้ยังไงก็โชว์มันออกมา เพลงที่ตั้งใจใส่เบสไว้เยอะเผื่อชดเชยหูฟังหรือลำโพงที่ทำเสียงต่ำได้ไม่ถึงจึงอาจจะรู้สึกว่าเบสเยอะเกินไปบ้าง แต่เพราะมันไม่ใช่เบสที่บูสต์ให้เยอะกว่าปกติ ทำให้เพลงที่ทำออกมาดี ก็ไม่ได้มีเบสเยอะกว่าปกติ คือเพลงที่เบสจาง ๆ มันก็จางแบบนั้น ไม่ได้เร่งขึ้นมา
  • เสียงกลาง-แหลม: ก็ยังขับออกมาได้ดี เสียงโดดเด่นออกมาไม่แพ้เสียงเบส ให้เสียงร้องที่หวานลอยเชิดออกมา เสียงแหลม เสียงสแนร์ก็แสดงออกมาได้ดีเช่นกัน
  • Soundstage: เวทีเสียงของหูฟังรุ่นนี้ไม่ได้กว้างมากครับ คือได้ยินเครื่องดนตรีชัดเจนแต่ตำแหน่งชิ้นดนตรีไม่ได้คมมากนัก

โดยรวมแล้วเสียงของ Devialet Gemini II คือให้มาสุดในทุกย่าน แต่เสียงลักษณะนี้ก็อาจจะทำให้บางคนรู้สึกว่าโดนอัดเต็ม ๆ ในทุกย่านได้เหมือนกัน เอาเป็นว่าถ้าแรกฟังแล้วรู้สึกขัด ๆ ให้ลองฟังสักพักให้หูได้จูนกับเสียงลักษณะนี้ดูครับ สุดท้ายอาจจะชอบก็ได้ครับ

ส่วนเรื่องการตัดเสียงรบกวนก็ทำได้ดีอันดับต้น ๆ ในตลาดแล้วครับ ซึ่ง Devialet ทำระบบตัดเสียงได้ดีมาตั้งแต่ Gemini รุ่นแรกแล้ว ซึ่งรุ่นนี้ก็ทำได้ดีขึ้น ส่วนการเปิดเสียงจากภายนอกหรือ Transparency ก็ทำออกมาได้ดีครับ แยกทิศทางเสียงซ้าย-ขวาได้ ให้คุณภาพเสียงภายนอกได้ใกล้เคียงกับตอนที่ไม่ได้ใส่หูฟัง แต่หูฟังรุ่นนี้ไม่มีโหมด off นะครับ คือเราต้องเลือกไปเลยว่าจะตัดเสียงรบกวน หรือดึงเสียงภายนอก ไม่มีตัวเลือกที่ 3 ที่ไม่ตัดเสียงรบกวน และไม่ดึงเสียงภายนอก ซึ่งส่วนตัวแล้วไม่มีปัญหาอะไรกับเรื่องนี้ เพราะปกติจะหูฟังรุ่นไหนก็ใช้แค่โหมดตัดเสียงกับดึงเสียงภายนอกนี่แหละ

เทียบกับหูฟังรุ่นอื่น ๆ

ก่อนอื่นเราอัดเสียงไมค์จาก Devialet Gemini II มาให้ฟังกันก่อนครับ เพื่อที่จะได้เทียบกับไมค์ของหูฟังรุ่นอื่น ๆ ได้ ซึ่งเราว่าไมค์ของ Gemini II นี่เป็นไมค์ของหูฟัง TWS ที่ดีที่สุดรุ่นหนึ่งในตลาดแล้วนะ

เทียบกับ Devialet Gemini รุ่นแรก

ในแง่ของเสียง เบสของรุ่นที่ 2 สมบูรณ์กว่า คือเบสลงลึกกว่า ให้เสียงเคลียร์กลมกล่อมกว่า ส่วนเสียงเบสของ Gemini 1 ที่ว่าดีแล้ว แต่ถ้าฟังเทียบกับ Gemini 2 เสียงเบสจะนัว ๆ กลืน ๆ ไม่เห็นไลน์เบสชัดเท่ารุ่นใหม่ ส่วนเสียงกลาง Gemini 2 ก็ให้เสียงร้องที่สดใสชัดเจนกว่า รายละเอียดของเสียงนุ่มนวล เสียงแหลมเป็นประกาย แม้ Gemini 1 ถือว่าทำได้ดี แต่ Gemini 2 ทำได้ดียิ่งกว่า

ส่วนการตัดเสียง เนื่องจากว่าเป็นหูฟังเจนเก่ากว่า ก็จะมีความสามารถในการตัดเสียงรบกวนได้น้อยกว่า Gemini 2 อยู่ระดับหนึ่งครับ แต่ก็ยังถือว่าเป็นหูฟังที่ตัดเสียงได้ดี

ส่วนเสียงไมค์ทำได้ดีประมาณหนึ่งครับ ซึ่งก็ถือว่าดีแล้วสำหรับหูฟังเจนที่แล้ว แต่พอเทียบกับรุ่นใหม่ก็อาจจะรู้สึกดรอปนิดหน่อย

เทียบกับ AirPods Pro 2

เสียงเบส AirPods Pro 2 ทำได้ในระดับที่น่าพอใจ ฟังสนุกสำหรับการฟังเพลงทั่วไป แต่เทียบไม่ได้เลยกับเบสของ Devialet Gemini 2 ที่ลึกกว่า รายละเอียดจัดเต็มกว่า ไดนามิกสูงกว่า ส่วนเสียงกลาง AirPods Pro 2 ก็ให้เสียงร้องได้หวาน ฟังสบาย แต่ไม่ได้ขับจนเด่นเท่ากับที่ Gemini 2 ทำ และเสียงแหลมจะทู่ ๆ ไม่ได้ขับจนเป็นประกายเท่ากับ Gemini 2 แต่เรื่องเวทีเสียงและความชัดเจนของชิ้นเครื่องดนตรี AirPods Pro 2 กลับทำได้ดีกว่า

ส่วนการตัดเสียงรบกวน AirPods Pro 2 ก็ยังเป็นเทพด้านการตัดเสียงรบกวนเสียงกลาง เป็นหูฟังที่ตัดเสียงพูดออกไปได้เยอะที่สุด ส่วนเสียงต่ำกับเสียงสูงจะตัดได้น้อยกว่า Devialet กับ Sony อยู่บ้าง

เสียงไมค์ของ AirPods Pro 2 ก็เป็นเสียงไมค์ที่ฟังง่าย แต่ลักษณะเสียงจะเหมือนบี้ ๆ อยู่หน่อย

เทียบกับ Sony WF-1000XM5

เสียงเบสของ Sony WF-1000XM5 ก็ทำได้สนุก เป็นเบสที่ดีกว่า AirPods Pro 2 แต่รายละเอียดและความลึกยังเป็นรอง Gemini 2 อยู่ดี เสียงกลางแหลมก็ทำออกมาดี แต่จะไม่ได้พุ่งเด่นออกมาอย่างที่ Gemini 2 ทำได้แต่ผู้ฟังบางคนก็อาจจะชอบเพราะมันอาจฟังสบายกว่า ทำให้ฟังได้นานกว่า แต่ก็ต้องเป็นคนที่ชอบจุกโฟมด้วยนะครับ เพราะในที่นี้มีแต่หูฟังโซนี่รุ่นนี้ที่มาพร้อมจุกโฟม

การตัดเสียงรบกวนของ Sony ทำได้ใกล้เคียงกับ Gemini 2 ครับ คือตัดได้ค่อนข้างเงียบ เป็นหูฟัง 2 ตัวที่ตัดเสียงรบกวนได้มากในตลาดตอนนี้แล้ว แต่เสียงพูดไม่ได้ตัดได้เยอะเท่า AirPods Pro 2

ส่วนเสียงไมค์ของโซนี่ก็ทำได้ประมาณนี้ครับ

สรุป Devialet Gemini II คุ้มไหม

Gemini II เป็นหูฟังที่คุณภาพสูงแถวหน้ารุ่นหนึ่งในตลาดหูฟังแบบ TWS ตอนนี้เลยนะครับ กับเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ ไล่เรียงสูง-กลาง-ต่ำกันแบบจัดเต็ม โดยเฉพาะคนชอบฟังเสียงเบส รู้สึกดีกับหูฟังรุ่นนี้แน่นอน การเชื่อมต่อก็รองรับการต่อพร้อมกัน 2 อุปกรณ์พร้อมกันแล้ว ทำให้ใช้งานง่ายขึ้นอีกเยอะ และไมโครโฟนก็ดีอันดับต้น ๆ ของตลาดเช่นกัน แถมรับประกัน 2 ปีด้วย แต่สุดท้ายจุดที่ทำให้ฉุกคิดคือราคาที่รุ่นนี้กระโดดมาที่

  • Devialet Gemini II สีดำ Matte Black และสีขาว Iconic White ราคา 16,590 บาท
  • Devialet Gemini II สีทอง Opera De Paris ราคา 24,590 บาท

ซึ่งก็เป็นราคาพรีเมียมของตลาดเลย เอาเป็นว่าถ้าจ่ายไหว หูฟังรุ่นนี้ไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอนครับ

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส