รีวิว Samsung Galaxy S24+ : รุ่นน้องเรือธง กับการกลับมาของ Exynos ที่ดีขึ้น !?
Our score
8.5

รีวิว Samsung Galaxy S24+ : รุ่นน้องเรือธง กับการกลับมาของ Exynos ที่ดีขึ้น !?

จุดเด่น

  1. หน้าจอสวย แถมสุดขอบจอ ทำให้ดูใหญ่เต็มตา และไม่ขวางตาด้วย
  2. ฟีเจอร์ Galaxy AI เท่ากับรุ่นอื่น ๆ ในซีรีส์
  3. กล้องถ่ายภาพพร้อมถ่ายทุกสถานการณ์ คำนวณแสง และเงาได้ดีมาก วิดีโอกล้องหลังถ่ายได้ดีมาก ภาพไม่สั่นไหวง่าย ๆ
  4. ชิป Exynos 2400 เล่นเกมได้ดีกว่าแต่ก่อนมาก ! แถมยังใช้งานได้สบาย ๆ
  5. การจับถือทำได้ดี ใช้งานได้สบาย ๆ ไม่ลำบากต่อการถือมากนัก

จุดสังเกต

  1. กล้องถ่ายภาพยังถ่ายคนออกมาได้สกินโทนแปลก ๆ ไปสักเล็กน้อย และยังใช้เซนเซอร์แทบจะเท่าเดิม
  2. ชิปเซต Exynos 2400 ยังร้อนง่ายอยู่ แม้จะมีผลต่อแบตเตอรี่ไม่มาก และยังเล่นเกมบางเกมที่ยังไม่ได้ Optimize มาได้ไม่เต็มสเปก
  3. ภาพถ่ายซูมยังสู้แบรนด์อื่นไม่ได้ในเรตราคาเดียวกันสำหรับปี 2024 นี้
  4. ราคาเครื่องยังแพงเกินกว่าจะซื้อแบบไม่ติดโปรใด ๆ ได้
  5. ไม่แถมหัวชาร์จแบตเตอรี่ และยังต้องหาหัวชาร์จที่รองรับมาตรฐาน 45W อีกด้วย
  • หน้าจอ

    9.5

  • กล้อง

    8.5

  • แบตเตอรี่

    8.5

  • เสียง

    8.0

  • ประสิทธิภาพ

    9.0

  • ดีไซน์

    8.0

  • ความคุ้มค่า

    8.0

ออกตัวตรงนี้ก่อนจะเริ่มอ่านเลยครับว่า ผู้เขียนเป็นคนใช้มือถือ Samsung Galaxy S Series มาเยอะมาก ๆ และเป็นคนที่เจอปัญหาของชิปเซต ‘Exynos’ มาโดยตลอดครับ ก่อนหน้านี้ Samsung ก็ตัดสินใจเอา Exynos ออกจากตลาดโลกใน S22, S23 Series ครับ แต่ปีนี้เขามาแปลก เพราะได้ใช้ชิป Exynos 2400 ซึ่งเป็นชิปเซตใหม่ของ Samsung ที่แค่ประกาศ หลายคนก็ต้องมี ‘เอ๊ะ’ กันไปแล้วแน่ ๆ

ผู้เขียนเองก็เช่นกันครับ ทำให้ตอนแรกทีไ่ด้เครื่องมาเพื่อทดสอบ ก็รู้สึกไปเองก่อนเลยครับว่ามันต้องออกมาไม่ดีแน่ ๆ เลย จนกระทั่งทางทีมร่วมกันทดสอบเครื่องจนออกมาเป็นบทความว่า Exynos 2400 ดีขึ้น !?

รีวิวนี้ผู้เขียนเลยขอรีวิวเจ้า ‘Samsung Galaxy S24+’ ฉบับคนเคยผ่าน Exynos มาอย่างยาวนาน มันดีขึ้นจริงไหม เล่นเกมดีขึ้นไหม ถ่ายรูปเป็นยังไง เดี๋ยวมาหาคำตอบไปพร้อมกันครับ

สเปกภายในเครื่อง

  • หน้าจอ : Dynamic AMOLED 2X รีเฟรชเรต 120Hz ความละเอียด 3120 × 1440 (QHD+) ขนาด 6.7 นิ้ว
  • ชิปเซต Samsung Exynos 2400 รองรับ 5G + การ์ดจอ Samsung Xclipse 940
  • หน่วยความจำขนาด 256/512GB
  • RAM : 12GB
  • กล้องหลัง 3 ตัว
    • กล้องหลักความละเอียด 50 ล้านพิกเซล (f/1.8)
    • กล้องเลนส์ Ultra-Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (f/2.2)
    • กล้องถ่ายภาพซูม (Telephoto) ความละเอียด 10 ล้านพิกเซล 3x Optical Zoom, 30x Digital Zoom (f/2.4)
  • กล้องหน้าขนาด 12 ล้านพิกเซล (f/2.2)
  • แบตเตอรี่ 4900 mAh พร้อมชาร์จไว 45W (PPS)
  • ซอฟต์แวร์ OneUI 6.1 (Based on Android 14)
    • มีฟีเจอร์ Galaxy AI สำหรับใช้ AI ใน Samsung ได้ครบถ้วน
  • การเชื่อมต่อ : รองรับ 5G ,WIFI 6 , Bluetooth 5.3, USB-C 3.2 Gen 1
  • ขนาดตัวเครื่อง 158.5 x 75.9 x 7.7 มิลลิเมตร น้ำหนัก 196 กรัม
  • วัสดุรอบตัวเครื่องเป็นอะลูมิเนียม (Aluminium Armor 2.0) ครอบทับด้านหน้าและหลังด้วยกระจก Gorilla Glass Victus 2
  • มีสีให้เลือก 4 สี ได้แก่ Onyx Black, Marble Gray, Cobalt Violet, Amber Yellow และ Cobalt Violet (พร้อมสีเฉพาะสั่งออนไลน์ : Sapphire Blue, Jade Green, Sandstone Orange)

ดีไซน์

ถ้าว่ากันด้วยแง่ของดีไซน์ เอาจริง ๆ Samsung Galaxy S24+ ไม่ได้มีดีไซน์ที่แปลก หรือโดดเด่นมากนักครับ ขอบข้างเครื่องเป็น Aluminium Armor แบบที่เห็นกันใน Galaxy S23 Series นี่แหละ แถมฟีลลิ่งในการสัมผัส ก็จัดได้ว่า ‘คล้าย’ กับอีกแบรนด์หนึ่งเลย (นี่อ้อมค้อมแล้วนะ) แต่สัมผัสการใช้งานจริงจัดว่าดีมาก ๆ เลย แม้ขนาดจอจะใหญ่ถึง 6.7 นิ้ว แต่การจับถือทำออกมาได้ดีมาก ๆ ด้วยการทำขอบข้างเครื่องและฝาหลังให้โค้งเล็กน้อย ทำให้ถือใช้ได้นาน ๆ โดยไม่ต้องใส่เคสใด ๆ เลยครับ

กระจกหน้าและหลังของ Samsung Galaxy S24+ เป็นกระจก Corning Gorilla Glass Victus 2 ไม่ใช่ Gorilla Glass Armor แบบในรุ่นพี่ S24 Ultra แต่ในด้านความแข็งแรงแล้วก็มองว่า กระจก Gorilla Glass Victus 2 เองก็ทำได้ดีไม่แพ้กันเลย โดยกระจกฝาหลังเป็นแบบขัดด้านที่สัมผัสดีไม่แพ้ขอบข้างเครื่อง ซึ่งทำให้ความรู้สึกในการจับถือโดยรวมดีขึ้นไปด้วยนั่นเอง

ส่วนการวางตำแหน่งของพอร์ต ไมโครโฟน ปุ่ม หรือกระทั่งลำโพง เรียกว่าล้อมากับ Samsung Galaxy S24 Ultra เลยครับ (ลองดูจากตำแหน่ง และการทำซี่ของลำโพงได้) โดยตัวเครื่องกันน้ำกันฝุ่นผ่านมาตรฐาน IP68 เรียบร้อยแล้วด้วย และพอร์ตเชื่อมต่อก็เป็น USB-C 3.2 Gen 1 เรียบร้อยแล้ว

ถ้าเรามองข้ามความคล้ายนี้ไป Samsung Galaxy S24+ เป็นสมาร์ตโฟนที่ดีไซน์ดีอีกรุ่นเลยนะ ความรู้สึกการถือใช้งานพรีเมียมในแบบสมาร์ตโฟน S Series และดีไซน์ไม่เหลี่ยมเยอะแบบในรุ่น Ultra ด้วย ดังนั้นโดยรวม ผู้เขียนยังจะชอบการจับถือมากกว่ารุ่น Ultra ซะอีกครับ

ทั้งนี้ สีที่วางจำหน่ายในประเทศไทยจะเท่ากับต่างประเทศ คือมี 4 สีครับ ประกอบไปด้วยสี Onyx Black, Marble Gray, Cobalt Violet และ Amber Yellow ซึ่งทุกรุ่นยังจะมีสีพิเศษที่จะวางจำหน่ายออนไลน์เท่านั้นด้วย โดยที่เรารีวิวอยู่นี้คือสีม่วง Cobalt Violet ครับ เป็นม่วงที่ออกไปทางเข้ม แต่ไม่เข้มระดับ Titanium Violet ใน S24 Ultra นะครับ เป็นสีม่วงที่ดูดีไม่น้อยเลย

หน้าจอ

ก่อนจะเริ่มพูดสเปกจอ ผู้เขียนอยากบอกตรงนี้ก่อนเลยว่า หน้าจอของ Samsung Galaxy S24+ เป็นจอที่สวย และเต็มตามาก ๆ เป็นผลดีจากการที่ขนาดจอใหญ่ขึ้นไปถึง 6.7 นิ้ว และขอบหน้าจอที่บางมาก ๆ แถมเว้นระยะห่างเท่า ๆ กัน ซึ่งด้วยความใหญ่ ความบางของขอบจอที่สมมาตรนี้ ทำให้การใช้งานหน้าจอของ Galaxy S24+ ออกมาดูพรีเมียมมาก ๆ

นี่ยังไม่ได้นับรวมถึงการที่จอเป็นหน้าจอ Dynamic AMOLED 2X ที่ Samsung Display ภูมิใจ นอกจากนั้นยังเป็นจอแบบ LTPO (1-120Hz) , รองรับ HDR10+ และที่สำคัญคือ ตอนนี้จอของ S24+ เพิ่มความละเอียดเป็น QHD+ หรือ 3120 x 1440 แล้ว ! กล่าวคือ ถ้าเราไปกดเพิ่มความละเอียดจากในการตั้งค่า ก็จะได้ความละเอียดของจอที่มากกว่ารุ่น S24 ธรรมดา หรือใน S23+ ด้วยนั่นเอง ส่วนประสบการณ์ที่ได้จากการแตะหน้าจอ ทำได้ติดนิ้วดีเลยครับ คือสีสวย ภาพชัด และทัชถนัดมือแบบที่ซัมซุงทำได้ดีมาก ๆ มาโดยตลอด คือเรื่องจอนี่ ถ้าเป็นแบรนด์ซัมซุงแทบจะไม่ต้องพูดถึงเลย

อีกฟีเจอร์ที่ซัมซุงขายมาก คือเรื่องของความสว่าง ที่จอของ S24+ ความสว่างสูงสุดพุ่งไป 2600 nits แล้ว คือสว่างไม่แพ้ S24 Ultra เลยทีเดียว (แม้จะถือว่าไม่มาก เมื่อเทียบกับมาตรฐานของแบรนด์อื่นในปีนี้ก็ตาม) แต่ตัวจอก็มีเทคโนโลยี Vision Booster ที่จะเข้ามาช่วยเพิ่มสีสันและคอนทราสต์ที่เหมาะสมให้กับตัวจอ ไม่ว่าจะความสว่างเท่าไหร่ด้วย ซึ่งจากการถือใช้งานมา ไม่ว่าจะในร่ม กลางแดด หรือนอกบ้าน ก็ทำได้โอเคเลย ไม่เคยมีตอนไหนที่รู้สึกว่าจอมืดเกินไปเลยซักครั้ง

อีกเรื่องคือเรื่องของ Always On Display ครับ ที่ตอนนี้มี Always On Display แบบเห็นภาพพื้นหลังจาง ๆ (แบบใน iPhone) ให้ได้เลือกแล้ว (แต่ก็ปิดได้นะ) ซึ่งส่วนตัวแล้วผู้เขียนชอบแบบเดิมที่เห็นแต่นาฬิกามากกว่า เพราะ Always On Display เราก็ใช้แค่นั้นจริง ๆ

‘Galaxy AI’ มีมาให้เล่นด้วยนะ

ปฏิเสธไม่ได้ครับว่า Samsung Galaxy S24 Series นี้ มีจุดเด่นที่สุดคือเรื่องของ AI ล้วน ๆ เลย ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมา คนก็มองว่ารุ่น S24 Ultra ใช้ AI ได้ แล้วรุ่นน้องล่ะจะใช้ได้ไหม ต้องตอบคำถามเอาไว้ตรงนี้ก่อนเลยว่า ‘ได้’ ครับ และสามารถใช้ได้ครบถ้วน 100% เท่ากับบน S24 Ultra ด้วย ดังนั้น ใครที่สนใจจะซื้อ Samsung Galaxy S24 Series เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ด้าน AI เน้น ๆ S24 หรือ S24+ ก็สามารถให้ประโยชน์ได้ครบถ้วนเช่นเดียวกัน

ซึ่งจากที่ผู้เขียนทดสอบมาหลาย ๆ ฟีเจอร์ คือไม่มีฟีเจอร์ไหนที่ใช้ไม่ได้เลยครับ ใช้ได้ครบถ้วนมาก ๆ ทั้ง Circle To Search, Call Translate, Interpreter, Summarize, Chat Assist, Voice Transcribe, Generative Fill และอื่น ๆ ในกลุ่ม Galaxy AI มั่นใจได้ว่าใช้ได้ครบเท่า S24 Ultra 100% ครับ

ดังนั้น เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน ใครที่อยากรู้ว่า ‘Galaxy AI’ ใหม่นี้สามารถทำอะไรได้บ้าง โดยไม่ต่อความยาวสาวความยืด แนะนำให้ชมการ Demo Galaxy AI จากรีวิว Samsung Galaxy S24 Ultra โดยพี่หนุ่ย พงศ์สุขเลยครับ !

พาร์ต AI เน้น ๆ ยาวประมาณครึ่งชั่วโมงนะ

กล้องถ่ายภาพ

ขึ้นชื่อเป็นเรือธงทั้งที ยังไงก็หนีไม่พ้นเรื่องของกล้องถ่ายภาพครับ ซึ่งกล้องถ่ายภาพของ Samsung Galaxy S24+ นั้น ถ้าว่ากันตรง ๆ ก็ไม่ได้ทิ้งห่างจากในรุ่นที่แล้วมากนักนะครับ ด้วยการจัดชุดกล้องมา 3 เลนส์ที่ระยะต่างกัน เป็นเลนส์ Ultra-Wide, Wide และ Telephoto แบบสมาร์ตโฟนยุคนี้นี่แหละครับ

ซึ่งถ้าว่ากันตรง ๆ คือความแตกต่างของสเปกนี่แทบจะไม่เห็นเลยครับ (ถ้าเทียบกับใน S23+) แต่ด้วยชิปเซตใหม่อย่าง Exynos 2400 ก็จะทำให้การ Post-Processing หรือการประมวลผลหลังการกดถ่ายภาพ ก็จะออกมาแตกต่างไปด้วยนะ ! เพราะงั้นบางทีดูแต่เลขสเปกอาจจะไม่ได้ ดูภาพกันดีกว่าครับ (อย่าลืมกดรูปเต็มนะ)

ด้านการถ่ายภาพทั่วไป ให้พูดกันตรง ๆ ก็คือ ถ้าคนที่มองว่าภาพสไตล์แบบฉบับซัมซุงจะต้องมีสีที่สดใส, Saturation เยอะ ๆ หรือกระทั่ง Contrast ที่เข้ม ๆ หน่อย บอกตรงนี้เลยว่าสไตล์ของภาพถ่ายใน Samsung Galaxy S24+ รุ่นนี้จะต่างกับที่เคยเห็นมาแน่ ๆ ซึ่งด้านสีคงต้องบอกกันตรง ๆ ว่าต่าง และแม้จะมีอัปเดตซอฟต์แวร์มาแก้ในอนาคต เรื่องสีก็คงอาจจะไม่สดเหมือนเดิมอีกแล้วก็ได้นะ แต่ในมุมของผู้เขียนเองก็มองว่า สีมันก็ทำออกมาได้สมจริงขึ้นอยู่เหมือนกัน คือออกไปในทางสด (เรียลนั่นแหละว่าง่าย ๆ) ซึ่งเทรนด์การทำสีแบบนี้ของซัมซุงก็มีมาตั้งแต่ใน Galaxy S23 FE แล้วเหมือนกันนะ รุ่นนั้นก็ทำสีออกเรียล ๆ เหมือนกัน

แต่ในด้านอื่น ๆ คือถือว่าทำออกมาดีเยี่ยมไม่แพ้รุ่นพี่ Ultra แน่นอน ทั้งการเก็บแสง เงา ความละเอียด คมชัด ไปจนถึงการเก็บฉากหลังจากการถ่ายวัตถุด้วยโหมด Portrait ภาพก็ออกมาดีเช่นกัน เหมาะสมจะเป็นกล้องที่พร้อมจะ Point and Shoot หรือยกมาถ่ายไปได้ง่าย ๆ เลย

ภาพถ่ายบุคคล

ไหน ๆ พูดถึง Portrait Mode แล้ว การถ่ายภาพบุคคล เรื่องนี้อาจจะต้องติเล็กน้อยครับ คือแม้ว่าภาพจะทำการเก็บรายละเอียด แสง ฉากหลัง ไปจนถึงการเบลอหลังของคนที่ดีมาก ๆ แล้ว แต่ด้านสกินโทนของภาพบุคคลนี่ ยังเรียกได้ว่ามีความเรียลเกินไปเยอะอยู่นะ คือสีออกมาดูหม่น ๆ ค่อนข้างมาก คือการเรียกว่าสีดูเรียลไม่ผิดนัก แต่ภาพยังออกมาดูค่อนข้างซีดกว่าความเป็นจริงไปด้วย (ลองดูตัวอย่างสีที่ออกเรียล แต่สวยงามจากในสมาร์ตโฟนตระกูล Google Pixel ได้) ทำให้ด้านการถ่ายภาพคนอาจจะต้องรอแก้ด้วยซอฟต์แวร์สักเล็กน้อยครับ แต่ถ้าใครชอบภาพเรียล ๆ อาจจะดีก็ได้นะ แบบนี้ ลองดูรูปกันได้ โดยสามารถถ่ายได้ที่ระยะ 1x 2x และ 3x ครับ แต่ผมแนะนำให้ใช้ระยะ 3x เพื่อจะได้ใช้การทำงานร่วมกันระหว่างเลนส์หลักและเลนส์ซูม 3x จะเป็นการดีกว่านะ

ภาพถ่ายมุมกว้างมาก

ส่วนการถ่ายภาพมุมกว้างมากด้วยกล้อง Ultra Wide ถือว่ายังทำได้โอเคอยู่นะ แม้จะมีการแก้ไขการบิดของภาพด้วยตัวเลนส์ Ultra Wide ที่ยังไม่มากนัก แต่ว่าเรื่องของสี รายละเอียด และการเก็บแสงยังทำได้โอเคไม่แพ้กล้องหลักเลย แต่ยังไงก็เอาไปถ่ายภาพวิวได้สนุกเหมือนเดิมแน่นอน

การถ่ายภาพซูม

แม้ว่าในปี 2024 นี้ Samsung Galaxy S24 Ultra จะมีการลดกล้องถ่ายภาพซูมเป็น 5x แต่เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกันกับในรุ่น + ครับ คือเขายังให้เลนส์ซูมแบบ 3x มาเหมือนกันกับรุ่นที่แล้วนั่นแหละ โดยทำให้รุ่นนี้สามารถซูมได้สูงสุดที่ 30 เท่า เท่าเดิมครับ ซึ่งถ้าถามว่าการซูมดีขึ้นจากรุ่นที่แล้วไหม ผมก็ว่าเท่าเดิมเหมือนกันครับ แต่ข้อดีของการใช้กล้องถ่ายภาพประมาณเดิม คือซัมซุงสามารถปรับแต่งซอฟต์แวร์ได้ดีกว่าเดิมครับ (แม้ว่าจะยังไม่เห็นในด้านการซูมก็ตาม) ระยะหวังผลของการซูมรุ่นนี้จะอยู่ที่ประมาณ 10 เท่าครับ

แต่ด้วยความที่รุ่นนี้ก็ยังเป็นรุ่น Galaxy S Series ทำให้ฟีเจอร์การซูมเช่น Zoom Lock หรืออะไรต่าง ๆ ที่เคยมีมาในตระกูล S ก็ยังมีมาครบถ้วนเช่นเดียวกับ S24 Ultra เลยนะ แต่แน่นอนว่าคงจะเอาไปซูมอย่างพีก ๆ แบบ S24 Ultra คงจะยังไม่ได้แน่ ๆ แต่ถ้าเอาไปเน้นใช้งาน ถ่ายวัตถุ 3 เท่า หรือไม่เกิน 10 เท่า ถือว่าโอเคเลย

ภาพถ่ายกลางคืน

ภาพถ่ายกลางคืนของ Samsung Galaxy S24+ มาในเทรนด์เดียวกับใน Samsung Galaxy S24 Ultra ครับ คือถ่ายออกมาแล้วออกมาดูสว่างหน่อย แต่ในขณะเดียวกันก็ใช้เวลาถ่ายไม่นานครับ ถ้าถ่ายอาคารสูง ๆ ไปจนถึงไฟบนท้องถนน ก็ทำออกมาได้สวยงาม ไม่เว่อเกินไป แต่เอาจริง ๆ ถ้าอยากได้มืด ๆ มากหน่อยอาจจะต้องปรับแต่งเพิ่มอีกเล็กน้อยนะครับ

ซึ่งจากการลองถ่ายเทียบระหว่างเปิด-ไม่เปิดโหมดกลางคืน ภาพที่ออกมาก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนักครับ ทำได้โอเคเลยทีเดียว ดังนั้นถ้าอยากถ่ายภาพกลางคืนแบบรวดเร็ว อาจจะไม่ต้องใช้โหมดกลางคืนได้อยู่นะ

ในขณะที่ ในสภาพแสงที่ Challenge มากหน่อย กล่าวคือเป็นภาพในเวลากลางคืน บวกกับสีของแสงที่ออกมาต่างกับสภาพแสงปกติ ตัวเครื่องก็พยายามถ่ายให้ออกมาได้ดูดีเช่นเดียวกัน ยังเก็บรายละเอียดได้ดี และพยายามทำสีให้ตรงกับสภาพแสงที่เกิดขึ้นด้วยนะ (รวมถึงการถ่ายภาพบุคคลในเวลากลางคืนเช่นเดียวกัน)

เซลฟี

Samsung ไม่ได้เป็นแบรนด์ที่ขึ้นชื่อในด้านของการถ่ายภาพกล้องหน้านักนะครับ แต่ถือว่าอยู่ในทรงที่โอเคมาโดยตลอด ซึ่งกล้องหน้าของ Samsung Galaxy S24+ สามารถทำออกมาได้ไม่ต่างกับกล้องหลังมากนักครับ แต่ยังมีในเรื่องของสี และการคำนวณแสงที่ยังทำได้ไม่เหมือนกล้องหลังเป๊ะนัก และเรื่องสกินโทนที่ยังต่างกับกล้องหลังอยู่บ้าง แต่รายละเอียด และฉากหลังยังเก็บได้ดีอยู่

วิดีโอ

งานวิดีโอของ Samsung Galaxy S24+ เป็นอีกอย่างที่ทำได้ดีมาก ๆ (เอาจริง ๆ คือสมเป็นตระกูล S เลยนี่แหละ) โดยถ่ายได้ความละเอียดสูงสุด 8K 30FPS และ 4K 60FPS ครับ ซึ่งถ้าถ่ายที่ 4K 60FPS ก็จะได้ภาพที่ลื่นไหล และนิ่งมาก ๆ คือการกันสั่นของวิดีโอทำได้ดีไม่แพ้พี่ Ultra เลยนะ ถ้าถือเดินถ่ายก็นิ่งในระดับที่ดูได้แบบไม่ปวดหัวใด ๆ

ส่วนวิดีโอกล้องหน้า ถ่ายได้ความละเอียดสูงสุด 4K 60FPS ครับ แม้การกันสั่นจะไม่ได้ดีมากเหมือกนล้องหลัง แต่ใช้ทำคอนเทนต์ ถ่าย Vlog, ถ่าย TikTok ได้โอเคเช่นเดียวกันนะ

สเปก ประสิทธิภาพ และการเล่นเกม

มาถึงจุดที่คนอยากรู้มากที่สุดอย่างสเปกภายในเครื่องกันแล้วครับ ผู้เขียนเองก็เป็น 1 ในกลุ่มคนที่มองว่าสมาร์ตโฟนเรือธง จากที่ใช้ Snapdragon ทั้งหมดมา 2 รุ่น (S22, S23 Series) แต่พอกลับมาที่ S24 Series กลับเอาทั้ง S24 และ S24+ มาใส่ชิปเซต Samsung Exynos 2400 ซะงั้น (แถมยังจะเอา Snapdragon ใส่เฉพาะ Ultra ด้วยนะ !) บอกตรง ๆ ตรงนี้เลยว่าผู้เขียนเองก็ Bias ไม่ชอบ Exynos เหมือนกัน (ฮา) เพราะผ่าน Exynos มาก็หลายรุ่น แต่ก็ยังรู้สึกไม่ถูกใจเจ้า Exynos นี้อยู่ดี

ซึ่งหลังจากที่ได้ลองเล่นเจ้า Galaxy S24+ มาสักอาทิตย์หนึ่งก็พบเลยว่า Exynos รุ่นนี้ ‘ร้อนแรง’ มาก ๆ ครับ ในด้านความแรง ที่ผ่านมาคือชิปเซต Exynos เป็นรองฝั่งตระกูล Snapdragon (ซึ่งปกติจะได้ขายในฝั่งอเมริกา) มาโดยตลอด (แทบจะเรียกว่าทิ้งห่างหลัก 1 ปีเลย) แต่ใน Exynos 2400 นี้ ว่ากันได้ตรง ๆ เลยว่า ‘แรงพอ ๆ กับ Snapdragon’ ได้แล้ว !

ซึ่งจากที่ลองทดสอบประสิทธิภาพมา ได้คะแนนที่ค่อนข้างน่าพอใจเลย ด้วยคะแนน Geekbench 6.2 Multi Core ที่ 6,677 คะแนน และ Single Core ที่ 2,203 คะแนน (ในขณะที่ S24 Ultra ได้คะแนนอยู่ประมาณ 6,731 และ 2,245 คะแนนตามลำดับ) ซึ่งด้วยความต่างของคะแนนที่ห่างไม่เกิน 100 คะแนนนี้ ทำให้สามารถสื่อได้ว่าสเปกของ CPU อยู่ในระดับที่ ‘พอ ๆ กัน’ ได้แล้ว

ส่วน 3DMark ชุด Wild Life Stress Test นั้น คะแนนสูงสุดจะอยู่ที่ 14,462 คะแนน และต่ำสุดที่ 9,224 คะแนน ความนิ่งของคะแนนอยู่ที่ 63.8% และอุณหภูมิสูงสุดอยู่ที่ 46 องศา ตามที่เราได้ทดสอบในบทความเทียบคะแนนก่อนหน้านี้ครับ ซึ่งเป็นตัวเลขที่เอาจริง ๆ คือสูงมากอยู่นะ เพียงแต่ว่าพอร้อนแล้ว เห็นได้ชัดว่ายังมีการลดความเร็วอยู่บ้าง ดีตรงที่ แม้จะลดความแรงแล้ว แต่ก็ยังถือว่าแรงอยู่นะ

แถมให้เล็กน้อย คือผู้เขียนขอลองชนกับอีกค่ายอย่างจัง ทดสอบชิปเซตคู่กับ iPhone 15 Pro Max แบบตัวต่อตัว ในอากาศเดียวกัน และเวลาเดียวกัน ก็ได้คะแนนที่ต่างกันค่อนข้างพอสมควรเลย คือชิป Apple A17 Pro ยังคงทิ้งห่างทั้ง Snapdragon 8 Gen 3 และ Exynos 2400 อยู่ทั้งคู่ แต่ก็ไม่ได้มากอย่างมีนัยสำคัญมากนักนะครับ

เราเทสต์พร้อมกันจริง ๆ นะ !

สำหรับคนทั่วไปอาจจะรู้สึกถึงความต่างไม่มาก แต่ถ้าใช้การ Process ที่มากขึ้น เช่นถ่ายภาพ วิดีโอ เล่นเกมหนัก ๆ อาจจะเห็นผลอยู่บ้างนะ ลองดูตารางเทียบคะแนนกันดู

รุ่นSingle CoreMulti Core
Samsung Galaxy S24+
(Exynos 2400)
2,2036,677
iPhone 15 Pro Max
(A17 Pro)
2,9637,471
เทียบคะแนน Geekbench 6.2 ของทั้ง 2 รุ่น

ส่วนคะแนนของการทดสอบ 3DMark Wild Life Extreme Unlimited ของทั้ง 2 รุ่นนั้น ฝั่ง Exynos 2400 ที่ใช้การ์ดจอ Xclipse 940 นั้นทำคะแนนได้ดีกว่าพอสมควรเลยครับ ถือว่าเป็นผลที่น่าสนใจเลยทีเดียว

รุ่นคะแนนที่ได้FPS เฉลี่ย
Samsung Galaxy S24+4,29225.70
iPhone 15 Pro Max3,09618.50
เทียบคะแนน 3DMark Wild Life Extreme Unlimited ของทั้ง 2 รุ่น

และที่พลาดไม่ได้คือการเล่นเกมครับ ต้องอธิบายก่อนว่า ด้วยความที่ชิปเซต Exynos 2400 แม้ตัวชิปจะเป็นชิปที่มีแรงดิบ ๆ ในตัว (Raw Power) ค่อนข้างมาก แต่การที่ชิปไหนจะเล่นเกมได้ดี ต้องมาจากการ Optimize ของเกมที่ดีด้วยครับ ซึ่งทำให้เกม RoV สามารถเล่นได้ปรับสุดที่ ภาพ HD สูงมาก, การแสดงผล สูง และเฟรมเรตโดนล็อกที่ 45FPS เท่านั้นครับ ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ตัวเกมยังไม่ได้ทำการ Optimize ให้เข้ากับเกมมากพอ เลยทำให้ตัวเกมไม่สามารถปรับการตั้งค่าได้นั่นเอง ซึ่งจุดนี้เป็นปัญหาของทาง RoV ที่ต้องแก้ให้สมาร์ตโฟนที่ใช้ชิป Exynos 2400 สามารถเล่นแบบปรับสุดได้ เพราะตัวมันเล่นไหวแน่นอนอยู่แล้ว เฟรมเรตค่อนข้างนิ่งมาก ๆ (แม้จะอยู่ที่ 45FPS ก็ตาม)

ในขณะที่เกมดังแห่งยุคอย่าง Genshin Impact สามารถปรับสุดได้ทุกอย่างเหมือนเดิม โดยถ้าเราตั้งค่าแบบปรับสุดทุกอย่าง และเปิดเฟรมเรตที่ 60FPS จะสามารถเล่นได้ที่เฟรมเรตประมาณ​ 58 – 60 FPS ครับ โดยเฟรมเรตจะแกว่งเล็กน้อยในช่วงที่กดเปิดแผนที่ และโหลดฉากเข้ามาใหม่ และแม้อุณหภูมิจะขึ้นสูงประมาณ 40-42 องศา แต่ก็ไม่เกิดอาการเฟรมดรอปใด ๆ เลย

ซึ่งที่สำคัญคือเรื่องของความร้อนนี่แหละครับ จากที่ได้ถือใช้มา คือปกติเราจะเห็นเทรนด์ที่ว่า ถ้าเครื่องร้อน เฟรมเรตจะดรอป คุณภาพเครื่องจะลดลง แต่ในด้านความ ‘ร้อน’ ของรุ่นนี้คือ แม้ว่ามันจะร้อนง่าย แต่คุณภาพของการใช้งานไม่ค่อยลดลงเท่าไหร่เลยครับ แรงอย่างไร ก็ยังแรงอย่างนั้นอยู่ เพียงแต่ว่าตัวมันร้อนเท่านั้นเอง

ซึ่งความร้อนนี้ เจอได้ในทุกสถานการณ์นะครับ ตั้งแต่เข้าเกม เล่นโซเชียลนอกบ้าน เข้ากล้องถ่ายรูปนาน ๆ ไปจนถึงการประมวลผล AI ภายในเครื่อง (เช่น Transcribe เสียงที่อัดมา 1 ชั่วโมง เป็นต้น)

แบตเตอรี่

ซึ่งนั่นนำไปสู่เรื่องของแบตเตอรี่ครับ เพราะความร้อนมักจะตีคู่มากับอาการ ‘แบตฯไหล’ ที่ชาว Exynos หลายคนรู้กันดี เรื่องนี้ผมเตรียมเขียนยาวเพื่อติเรื่องนี้ไว้เลย แต่เปล่า ! เพราะกลายเป็นว่าแม้มันจะทั้งร้อน ทั้งแรง แต่เรื่องแบตเตอรี่ของ S24+ เครื่องนี้ จัดการได้ดีเกินคาดเลย แม้จะยังไม่ผ่านการ Optimize ด้วยซอฟต์แวร์ของซัมซุง ที่ต้องคำนวณการใช้งานมาตลอด 1 อาทิตย์ก็ตาม

ตัวเครื่องนั้นมีแบตเตอรี่ให้มาที่ 4900 มิลลิแอมป์ครับ จริง ๆ คือแทบจะเท่ากับรุ่นพี่ Ultra แล้วด้วยซ้ำ โดยถ้าเราใช้งานยาวมาตั้งแต่ออกจากบ้าน 8 โมงเช้า ยาวจนถึงกลับบ้าน 4 ทุ่ม ใช้งานทั่วไป เล่นโซเชียล เข้ากล้องถ่ายภาพเรื่อย ๆ ตลอดทั้งวัน แบตเตอรี่ยังเหลือ 44% ได้เลย แต่ตัวเครื่องแจ้งว่า Screen On Time อยู่ที่ 2 ชั่วโมง 2 นาทีครับ (แม้จะนึกว่าใช้นานกว่านั้นก็ตาม) กล่าวคือ ถ้าใช้ทั่ว ๆ ไปแล้วเปิดจอไม่หนักมาก ก็พอจบวันได้แน่ แต่ถ้าใช้เยอะ อาจจะมีลุ้น ๆ บ้าง (แต่ต้องบอกก่อนว่าเลขนี้มาจากการที่เครื่องเรียนรู้การใช้งานมาแล้วนะ !)

ส่วนการชาร์จแบตเตอรี่กลับ สามารถรับได้เท่ารุ่น Ultra เลย คือชาร์จได้ที่ 45W แบบ PPS ซึ่งเครื่องไม่แถมอแดปเตอร์ชาร์จแบตเตอรี่ และยังต้องหาหัวชาร์จที่รองรับการชาร์จแบบ PPS ให้สามารถปล่อยไฟได้ 45W (เสียบชาร์จแล้วขึ้น Super Fast Charging 2.0) ก่อนด้วย แต่การชาร์จแบตเตอรี่กลับ แบบไม่ได้จับเวลา ก็ชาร์จได้ไวแบบไม่รู้สึกว่านานนักครับ (แต่คงสู้พวกแบรนด์ที่รองรับการชาร์จหลัก 80 หรือร้อยวัตต์ไม่ได้)

สรุปส่งท้าย

ถ้าจะให้ผู้เขียนนิยามความเป็น Samsung Galaxy S24+ เครื่องนี้ ผมขอยกให้เครื่องนี้เป็นตัวจบสำหรับคนเน้นใช้งานทั่วไปครับ คือเครื่องจับถือดี จอใหญ่ สีสวย(แบบเรียล ๆ) กล้องโอเค เล่นเกมไหว แม้เครื่องจะร้อนไปซะหน่อย แต่ด้วยขนาดเครื่องที่พอดี แบตเตอรี่ที่พร้อมใช้งาน แถมศูนย์บริการที่ค่อนข้างไว้ใจได้ ผมว่ารุ่นนี้เป็นอีกรุ่นที่ผมจะสามารถแนะนำให้ใคร ๆ เลือกซื้อเครื่องได้แบบไม่ยากนักครับ

ทั้งนี้ ราคาของ Samsung Galaxy S24+ นั้นจะแบ่งออกเป็น 2 ความจุครับ โดย

  • รุ่นแรม 12GB ความจุ 256GB ราคา 38,900 บาท
  • รุ่นแรม 12GB ความจุ 512GB ราคา 43,900 บาท

ถามว่าคนที่ใช้ S23+ ควรขยับมาเล่นรุ่นนี้เลยไหม คงไม่ครับ แต่ถ้าเป็นคนที่ใช้รุ่นเก่ากว่านั้น หรืออยากลอง AI หรือเครื่องเก่าพัง อยากได้เครื่องใหม่ที่พร้อมอยู่กับเราไปนาน ๆ (เพราะเขาให้อัปเดตซอฟต์แวร์ 7 ปี) รุ่นนี้ก็ถือว่าเป็นอีกรุ่นที่แนะนำให้ซื้อได้เลยนะ ! ใครที่สนใจอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม ลองเข้าไปอ่านที่หน้าเว็บของ Samsung ได้เลย !