รีวิวฉบับเต็มของ ROG Phone 8 Pro Edition กับการใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน จาก ต้าร์-คมสัน ดีไซน์ใหม่ดีไม่ดียังไง ความแรงยังเหมือนเดิมไหม แล้วกล้องใหม่ที่เขาอัปเกรดขึ้นมาแล้วเคลมว่าดีกว่าเดิมถ่ายแล้วภาพออกมาอย่างไร ติดตามได้ในบทความนี้

ดีไซน์

ปีนี้เนี่ย ROG Phone 8 Pro Edition เปลี่ยนดีไซน์ใหม่หมด จากที่เคยเป็นแนวเกมมิงจ๋า ๆ กลายเป็นแนวมือถือพรีเมียม ๆ แบบเรือธง ที่ฝาหลังนี่มีเส้นสายน้อยลงมาก เหลือไม่กี่จุดที่เห็นความเป็นเกมมิง ส่วนฝาหลังจากรุ่นเดิมที่เป็นกระจกใส ก็เปลี่ยนเป็นกระจกด้าน ให้สัมผัสนุ่มนิ้ว ๆ ที่สำคัญไม่ติดรอบนิ้วมือด้วยนะ

ฝาหลังรุ่นก่อน

ส่วนจอหลัง เอกลักษณ์ของ ROG Phone จากเดิมที่เป็นจอสี ตำแหน่งอยู่กลางเครื่อง รุ่นนี้ก็มีการปรับตำแหน่งไม่ให้พัดลมบัง กับเปลี่ยนมาเป็น AniMe Vision แบบเดียวที่อยู่ในโน้ตบุ๊ก ROG Zephyrus G14!

ที่เห็นนี่เป็นไฟ Mini LED สีขาว ซ่อนอยู่ใต้ฝาหลังนะ บอกเลยว่า “โคตรเท่” เราสามารถเปิด – ปิดได้ตามการใช้งานเลยนะ ถ้าอยากได้แบบเกมมิง ๆ ก็เปิดให้มันวิบวับ ๆ แต่ถ้าไม่อยากให้ใครรู้ว่าเราใช้มือถือเกมมิง ก็ปิดไว้แบบนี้

ด้านดีไซน์อื่น ๆ ที่เปลี่ยนไปคือ ขอบข้างจะมีความเหลี่ยมขึ้น ตัวเครื่องบางลง ตำแหน่งลำโพงจากเดิมที่อยู่ด้านหน้า ก็ถูกย้ายไปอยู่ด้านล่างคู่กับช่องใส่ซิม

อีกจุดคือ โมดูลกล้องหลัง ที่ทั้งหนาและใหญ่กว่าเดิม เนื่องจากมีการใส่เลนส์ซูมเข้ามา และอัปเกรดกล้องให้ดีขึ้นกว่าเดิม ส่วนพอร์ต USB-C 2 ช่อง กับช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. รวมถึง AirTrigger ก็ยังมีมาเหมือนเดิม ไม่ได้ตัดออกไปแต่อย่างใด และการกันน้ำก็สูงขึ้น จากเดิม IP54 ที่กันละอองน้ำ มาเป็น IP68 ที่เอาลงน้ำได้ 1.5 เมตร

นอกจากนี้เคส “กันรอย” ไม่กันกระแทก เขาก็แถมมาให้ในกล่องด้วย ใส่แล้วก็จะเป็นแบบนี้เลย เว้นตรงกลางไว้ใช้กับพัดลม AeroActive Cooler X ที่เขาปรับดีไซน์ใหม่ให้มีหน้าสัมผัสกว้างขึ้น และมีน้ำหนักเบาลงกว่าเดิม แต่ก็ตัดบางฟีเจอร์ออกไปเช่น Trigger ด้านหลัง จากเดิมมี 4 ปุ่ม เหลืออยู่เพียงแค่ 2 ปุ่ม และตัดลำโพงออกไป

โดยรวมเรื่องดีไซน์ ROG Phone 8 Pro Edition เขาปรับลดความเกมมิงลง และเพิ่มความพรีเมียมมากขึ้น เพื่อให้เหมาะกับการใช้ในสถานการณ์ ถามว่าสวยไหม เอาจริง ๆ แล้วแต่คนชอบเลย แต่ส่วนตัวมองว่าดีไซน์ใหม่ หยิบใช้ง่ายกว่า เวลาใช้ในที่สาธารณะ หรือที่ที่มันทางการ ก็จะไม่เด่นสะดุดตาจนเกินไป

สเปก

หน้าจอใช้เป็น LTPO AMOLED จาก SAMSUNG ที่มีขนาด 6.78 นิ้ว ความละเอียด 2448 x 1080 พิกเซล กับค่ารีเฟรชเรต 165 Hz และ Touch Sampling 720 Hz รวมถึงค่าความสว่าง 2500 Nit

จอเนี่ย ก็ลื่น และแล้วก็แสดงสีดีได้ดีไม่ต่างจากรุ่นก่อนหน้า แต่ที่รู้สึกว่าดีกว่าเดิมมากคือความสว่าง ที่สามารถเอาไปเล่นสู้แสงแดดได้แล้ว และขอบจอยังบางเท่ากันทุกด้าน เพราะเขาย้ายตำแหน่งกล้องมาเป็นแบบเจาะรูบนจอแล้ว นอกจากนี้ยังมี LTPO ที่ปรับรีเฟรชเรต 1-120Hz ได้ด้วย อันนี้ก็จะช่วยเรื่องการประหยัดแบต

ด้านชิปเซ็ตก็เป็น Snapdragon 8 Gen 3 ที่แรงที่สุดในมือถือฝั่ง Android แรมก็เป็นแบบ LPDDR5X ที่มากถึง 24GB (ทั่วไปอย่างมากก็ 12GB) ส่วนรอมก็เป็น UFS4.0 ขนาด 1TB ที่เร็วและเยอะซะจน ไม่รู้จะโหลดเกมอะไรมาลงให้เต็ม การเชื่อมต่อไร้สายก็เป็น Bluetooth 5.3 กับ WiFi 7 เวอร์ชันใหม่ที่เพิ่งประกาศใช้ ส่วนแบตเตอรี่อันนี้ให้มา 5,500 mAh ซึ่งน้อยกว่ารุ่นเก่าที่ให้มา 6,000 mAh อยู่เล็กน้อย

ส่วนการระบายความร้อน ROG ก็ใช้ GameCool 8 ที่มีโครงสร้างไม่ต่างจากรุ่นก่อนเท่าไหร่ แต่เขาเพิ่ม Rapid-cooling Conductor เข้ามาที่บริเวณชั้นในสุดเพื่อดึงความร้อนจากชิปออกไประบายให้ไวกว่าเดิม และถ้าใช้คู่กับ AeroActive Cooler X จะดีที่สุด

ส่วนความแรง ลองเอาไปเทสด้วย Geekbench 6 แบบเปิดให้ทำงานเต็มสูบ (X โหมด) ได้คะแนน Multi Core ไป 7,044 คะแนน (สูงกว่ารุ่นก่อนที่ทำได้ประมาณ 5500 คะแนน)

ส่วนด้านกราฟิกก็ลองด้วย 3DMark Wildlife Stress Test กับ Solar Bay Stress Test ที่ใช้ทดสอบ Ray Tracing ในมือถือ โดยลองทั้งติดพัดลม กับไม่ติดพัดลม ผลคือติดพัดลมทำคะแนนได้ดีกว่า และสูงกว่ามือถือที่ใช้ 8 Gen 3 ด้วยนะเอ้อ

คะแนนสูงสุดของ Wildlife ที่ทำได้คือ 18,521 คะแนน และต่ำสุดที่ 17,528 กับความนิ่ง 94.6% และความร้อน 50 องศา ส่วน Solar Bay คือ 8648 คะแนน และต่ำสุด 8327 กับความนิ่ง 96.3% และความร้อนสูงสุด 48 องศา ซึ่งนับได้ว่าเสถียรมาก ๆ

กับการเล่นเกมได้ลองเล่น Genshin Impact แบบปรับสุดทุกอย่างกับตั้งค่าเฟรมเรตที่ 60FPS ผลคือเล่นได้ลื่น ๆ เลยล่ะ ส่วนความร้อนก็อยู่ที่ 35 – 42 องศา เรียกว่าอุ่น ๆ มือ เล่นไป 24 นาทีแบตเตอรี่ลดไปประมาณ 10%

ส่วนเกม ROV อันนี้เล่นได้ลื่น ๆ ความร้อนอยู่ที่ประมาณ 35-40 องศา เล่นหนึ่งเกมประมาณ 18 นาที แบตลดลงประมาณ 6%

ว่าเรื่องความแรง ROG Phone 8 Pro Edition ถือว่าเหลือ ๆ เลย เล่นเกมทุกเกมบนมือถือได้ลื่น ๆ เลยล่ะ แต่ถึงอย่างนั้นเรื่องความร้อนสูง 50-60 องศา แบบที่จับเครื่องไม่ได้ อันนี้ต้องบอกว่า เกิดขึ้นแค่ตอนใช้แอปจำลองการเทสหนัก ๆ ซึ่งไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ในสถานการณ์ใช้งานจริง แต่กับการถือเล่นจริงจะอยู่ประมาณ 35-43 องศา ซึ่งอุ่นนิด ๆ แต่ถ้าอยากเย็นกว่านี้ติดพัดลมเข้าไปความร้อนก็อยู่ที่ 30-35 องศาเท่านั้น

ส่วนเรื่องแบตเตอรี่ที่เห็นว่าความจุลดลงเหลือ 5,500 mAh เพื่อให้เครื่องบางลง เอาจริง ๆ จากที่ถือใช้ก็ไม่ได้รู้สึกว่าแบตหมดไวอะไร ถ้าใช้ทั่วไปก็อยู่ได้ทั้งวัน แต่ถ้าเล่นเกมนี่ยังไงก็หมดก่อนวันนะ เราต้องพกอะแดปเตอร์ HyperCharge 65W ที่เขาแถมมาในกล่องติดตัวไว้ ซึ่งสามารถชาร์จจาก 0% ไปจนเต็ม 100% ได้ในระยะเวลาประมาน 39 นาทีเท่านั้น และก็ยังเอาไปชาร์จโน้ตบุ๊กได้ด้วยนะ

กล้อง

สุดท้ายเป็นเรื่องกล้อง เคยบ่นมาหลายปีว่า กล้อง ROG Phone ถ่ายไม่ดีเท่ากับมือถือทั่วไปในระดับราคาเดียวกัน เพราะเกมเมอร์ไม่ค่อยสนใจเรื่องกล้อง แต่เอาจริง ๆ ยังไงยุคนี้กล้องก็สำคัญ มีใครบ้างไม่ถ่ายรูปจากมือถือ ROG Phone 8 Pro Edition เขาก็เลยอัปเกรดกล้องให้ดีขึ้น และเพิ่มกล้องอีกตัวเข้ามา

เริ่มจากสเปกกล้องหลัก 50MP ที่ใช้เซนเซอร์ IMX890 จาก Sony แบบเดียวที่เห็นในมือถือเรือธงหลาย ๆ รุ่น นอกจากนี้ยังมีกันสั่นแบบ 6 แกน และซูมได้แบบ 2 เท่าโดยไม่เสียความละเอียด

จากที่ลองเอาไปใช้ถ่ายดูก็รู้สึกว่า กล้องดีขึ้นจริง ๆ เก็บรายละเอียดและสีสันได้กว้างเลยล่ะ แต่อาจจะมีการเพิ่มความคมชัดให้สูงขึ้น ถ้าเอาไปถ่ายคนโทนภาพมันจะดูเข้ม ๆ หน่อย ส่วนการถ่ายกลางคืนอันนี้เซอร์ไพรส์รูปที่ออกมาดูดีเลยนะ เก็บแสงเก็บรายละเอียดได้ดี ส่วนกล้องมุมกว้าง 13MP อันนี้ก็ถือว่าพอใช้ได้ถ้าถ่ายในที่แสงเยอะ แต่ถ้าเข้าในร่ม หรือที่ ๆ แสงไม่พอความคมชัดก็จะลดลง

ส่วนสุดท้ายกล้องซูมอันนี้เป็นกล้องตัวใหม่ที่เพิ่มเข้ามา มีความละเอียดอยู่ที่ 32MP เป็นแบบ Quad Pixel Sensor ที่มีระยะซูมปกติอยู่ที่ 3 เท่า และซูมแบบไม่เสียรายละเอียดที่ 5 เท่า, และซูมแบบ Hyper Clarity ที่ 10 เท่า, และสูงสุดที่ 30 เท่า อันนี้ต้องบอกว่าแม้จะใส่กล้องซูมเข้ามา แต่ระยะที่หวังผลได้คือ 3-5 เท่า ไกลกว่านี้ภาพจะเริ่มแตกขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าลองเทียบกับมือถือที่เน้นเรื่องกล้องซูมจริง ๆ ก็จะเห็นความต่างเลยล่ะ

เรื่องวิดีโอด้วยความที่กล้องหลัก มีกันสั่นแบบ 6 แกน ทำให้เวลาเดินถ่ายวิดีโอค่อนข้างนิ่งเลยล่ะ และถ้าเราอยากจะซูมเข้าซูมออก และใช้ฟีเจอร์กันสั่นแบบ Adaptive ก็ต้องถ่ายที่ความละเอียด 1080p 60fps เท่านั้น แต่ถ้าถ่ายที่ความละเอียดสูงกว่านั้น หรือเปิดฟีเจอร์กันสั่นแบบ HyperSteady เลนส์ซูมกับมุมกว้างจะใช้ไม่ได้ ส่วนคุณภาพของวิดีโอที่ออกมา ก็เป็นอย่างที่เห็นกันเลย การโฟกัสก็ทำได้ดี แต่ถึงอย่างนั้นฟีเจอร์เรื่องวิดีโอยังมีให้เล่นค่อนข้างน้อยอยู่นะ

ส่วนกล้องหน้า 32MP คุณภาพที่ออกมาก็เป็นอย่างที่เห็นเลย ถ้าถ่ายภาพนิ่ง เก็บรายละเอียดดี ให้สกินโทนที่สมจริง แต่ถ้าเป็นการถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงสุดจะได้แค่ 1080p 30fps เท่านั้น ถ้าอยากได้ 60fps ต้องลดลงไปเหลือแค่ 720p ซึ่งความคมชัดก็จะน้อยลง

สรุปโดยรวมเรื่องกล้องเลยนะ ว่านี่คือมือถือเกมมิงที่อัปเกรดเรื่องกล้องมาจน ถ่ายภาพได้ดี กลบเรื่องที่เคยโดนแซวมาหลายรุ่น แต่ถ้าพูดตรง ๆ ลองเอาไปชนกับมือถือที่ทำเรื่องกล้องโดยเฉพาะ ต้องบอกว่าลูกเล่นมีให้ใช้น้อยกว่าพอสมควร น่าจะต้องรอการพัฒนาจาก ASUS อีกที แต่นี่ก็เป็นสัญญาณที่ดี

ข้อสังเกต

อย่างแรกคือตำแหน่งลำโพง ที่ถูกเปลี่ยนไปอยู่ด้านล่างตัวเครื่อง ทำให้เวลาจับแนวนอน มือด้านขวาจะไปบังทำให้เสียงลำโพงไม่เท่ากัน ส่วนอีกจุดคือกล้องหน้าที่ถ่ายวิดีโอได้แค่ 1080p 30fps เท่านั้น ไหน ๆ ทำกล้องหลังให้ดีแล้ว ก็น่าจะทำกล้องหน้าไปด้วย

ราคา

ROG Phone 8 Pro Edition แรม 24GB รอม 1TB ที่มีพัดลม AeroActive Cooler X มากับกล่องอลังการแบบนี้ โดยมีตัวเครื่องสีดำ Phantom Black สีเดียว มีราคาอยู่ที่ 47,990 บาท อันนี้คือตัวท็อปสุดเลย

แต่ถ้าใครอยากได้รุ่นกลาง ๆ ก็จะมี ROG Phone 8 Pro ธรรมดา แรม 16GB รอม 512GB โดยมีตัวเครื่องสีดำ Phantom Black สีเดียวเช่นกัน ในราคา 37,990 บาท ซึ่งจะต่างแค่แรมกับรอม และไม่มีพัดลมเท่านั้น

หรือถ้าอยากได้รุ่นเริ่มต้น ก็จะมี ROG Phone 8 แรม 12GB รอม 256GB โดยมีสีให้เลือก 2 สี คือ สีดำ Phantom Black และสีเทา Storm Grey (สตอร์มเกรย์) ที่ขายในราคา 29,990 บาทนะ