รีวิว OPPO Reno11 F 5G : สมาร์ตโฟนหมื่นต้นที่ให้ของมา (เกือบ) ครบ แถมคุ้มสุดในตระกูล (ฉบับอัปเดต)
Our score
8.2

OPPO Reno11 F 5G

10,990 บาท

จุดเด่น

  1. เป็นสมาร์ตโฟนที่สามารถถ่ายภาพคนออกมาได้เป็นธรรมชาติมากขึ้นแล้ว รวมถึงภาพวิวและวัตถุต่าง ๆ ด้วย
  2. มาพร้อมกับฟีเจอร์ใหม่ ๆ ให้ได้ลองใช้ เช่น AI Eraser ที่ใช้ลบวัตถุภายในภาพได้
  3. ใช้ชิปเซตเดียวกันกับ OPPO Reno11 5G เลย ในราคาที่คุ้มกว่า
  4. ให้หน้าจอแบนมาแล้ว ! รวมถึงมีขอบของจอที่ค่อนข้างเล็กด้วย
  5. ซอฟต์แวร์ภายในเครื่องใช้งานได้ดีมาก ๆ ไม่มีบัค ไม่หน่วง ไม่หนักเครื่อง แม้จะมีโฆษณาในเครื่องก็ตาม

จุดสังเกต

  1. มอเตอร์สั่นยังเป็นมอเตอร์แบบเดิม ไม่ใช่ Linear ฟีลลิ่งการพิมพ์อาจไม่ดีเท่า
  2. พอร์ตที่ให้มายังเป็นพอร์ต USB-C 2.0 อยู่ และไม่มีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มิลลิเมตรมาให้
  3. ชิปเซตยังไม่เหมาะต่อการเล่นเกมมากนัก
  4. ลำโพงที่ให้มายังเป็นลำโพงเดี่ยวอยู่
  5. แบตเตอรี่ที่ยังใช้งานได้ค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับรุ่นพี่ในตระกูล
  • หน้าจอ

    8.5

  • กล้อง

    8.0

  • แบตเตอรี่

    8.0

  • เสียง

    8.0

  • ประสิทธิภาพ

    8.0

  • ดีไซน์

    8.5

  • ความคุ้มค่า

    8.5

ก่อนที่ผู้เขียนจะได้มาเขียนรีวิวนี้ ผู้เขียนได้เตรียมเนื้อหาสำหรับ beartai hitech เรื่องสมาร์ตโฟน Midrange ที่ดีขึ้นในทุก ๆ ปี ซึ่งในนั้น ผู้เขียนก็ได้หาข้อมูลมาว่า สมาร์​ตโฟนโดยเฉพาะระดับกลางในทุก ๆ วันนี้ มีคุณภาพที่ดีขึ้นในทุก ๆ ปี ทั้งกล้องที่ดีขึ้น สเปกที่ดีขึ้น แบตเตอรี่ที่ดีขึ้น และทุก ๆ คนก็สามารถใช้งานเป็นสมาร์ตโฟนหลักของบแต่ละคนได้ ในระดับราคาที่ไม่หนักมากนัก

หนึ่งในรุ่นที่ผู้เขียนได้แนะนำไว้ในไลฟ์ครั้งนั้น คือ OPPO Reno 11 5G ครับ ซึ่งเป็นสมาร์ตโฟนระดับกลาง ที่ราคา 14,990 บาทจาก OPPO ที่มีจุดเด่นอยู่ที่ ถ่ายคนได้, ชิปเซตดี, ซอฟต์แวร์ดี และใช้งานได้ดีด้วยเช่นกัน แต่ถ้าจะให้บอกว่า OPPO Reno11 F 5G เครื่องนี้ คือ Reno 11 ที่ถูกกว่าล่ะ !? บทความนี้เราจะมาเจาะลึกเจ้าสมาร์ตโฟน Midrange รุ่นประหยัดที่สุดในตระกูล OPPO Reno 11 Series เครื่องนี้กัน ! (ในแบบฉบับที่อัปเดตกว่าเดิมด้วยนะ)

สเปกภายในเครื่อง

  • หน้าจอ : AMOLED ขนาด 6.7 นิ้ว รีเฟรชเรต 120Hz แบบแบน 10 bit ความละเอียด FHD+
  • ชิปเซต MediaTek Dimensity 7050 รองรับ 5G
  • หน่วยความจำขนาด 256GB UFS2.2
  • RAM : 8GB LPDDR4X
  • กล้องหลัง 3 ตัว ประกอบไปด้วย
    • กล้องหลักความละเอียด 64 ล้านพิกเซล (f/1.8)
    • กล้องเลนส์ Ultra-Wide ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล (f/2.2) 112 องศา
    • กล้องถ่ายภาพมาโคร ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล (f/2.4)
  • กล้องหน้าขนาด 32 ล้านพิกเซล Sony IMX615
  • แบตเตอรี่ 5000 mAh พร้อมชาร์จไว 67W SUPERVOOC
  • ซอฟต์แวร์ ColorOS 14 (Based on Android 14)
  • มีสีให้เลือก 3 สี ได้แก่สีม่วง Coral Purple, สีฟ้า Ocean Blue และสีเขียว Palm Green

ดีไซน์

ดีไซน์โดยภาพรวม ๆ ของ OPPO Reno11 F 5G เรียกได้ว่าเป็นสมาร์ตโฟนที่ออกแบบตามแนวทางสมาร์ตโฟนขอบเหลี่ยมครับ ถ้าให้ว่ากันสั้น ๆ ตำแหน่งการวางปุ่มและพอร์ตออกไปทางคล้ายกันกับใน Reno11 รุ่นอื่น แต่มีความต่างมากกว่าจากรุ่น Reno11 ไปรุ่น Reno11 Pro นะ โดยมีปุ่มกดทั้งหมดอยู่ด้านบนขวา ทั้งปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง และปุ่มเปิด-ปิดเลย ส่วนด้านบนมีแค่ไมโครโฟนเท่านั้น และด้านล่าง มีพอร์ต USB-C 2.0 ไมโครโฟน และลำโพง (ซึ่งเป็นลำโพงเดี่ยวด้านล่างของตัวเครื่องเลย) ส่วนด้านซ้ายจะมีแค่ช่องใส่ซิมที่ใส่ได้ 2 ซิม หรือ 1 ซิม และเพิ่ม Micro SD Card ได้ด้วยครับ ซึ่งถือว่าโอเคสำหรับการเป็นสมาร์ตโฟนที่เรตราคานี้ ติดแค่อย่างเดียวคือไม่มีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มิลลิเมตรแล้ว และเหมือนว่าเทรนด์การตัดพอร์ตหูฟัง 3.5 มิลลิเมตรออก จะค่อย ๆ เพิ่มระยะมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว จนกลายเป็นว่าตอนนี้มีแต่สมาร์ตโฟนระดับ Budget เท่านั้นถึงจะยังมีพอร์ตนี้อยู่

แต่ส่วนของดีไซน์ที่คิดว่าโดดเด่นมากที่สุดใน OPPO Reno11 F 5G เครื่องนี้ เห็นจะเป็นฝาหลังของเครื่องครับ ซึ่งฝาหลังของ Reno11 ทั้งซีรีส์จะได้แรงบันดาลใจจากธรรมชาติครับ ซึ่ง Reno11 F ก็ยังได้แรงบันดาลใจจากทะเลเหมือนกัน อย่างรุ่นที่รีวิวอยู่นี้คือสีฟ้า Ocean Blue เหมือนน้ำทะเลสะท้อนแสงออกมา เลยทำให้ออกมาดูเหมือนเราไปเที่ยวทะเลอยู่ตลอด (อันนี้ OPPO บอกมา) แต่โดยส่วนตัวแล้ว ให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าเป็นที่พักสายตาได้เหมือนกัน เพราะได้ความรู้สึกคล้าย ๆ จะไปทะเลอยู่เหมือนกัน ยิ่งเอียงเครื่องให้สะท้อนแสงไปมา ยิ่งทำให้เป็นเหมือนน้ำทะเลเลยล่ะ พูดถึงทะเลแล้ว สมาร์ตโฟนรุ่นนี้รองรับมาตรฐานการกันน้ำและฝุ่นที่ IP65 ด้วยนะ ! อาจจะกันน้ำได้ไม่มากเหมือนเรือธง แต่กันฝุ่นได้เท่าแน่นอน

แต่นอกจากนั้น ก็ยังมีสีอื่น ๆ อีก อย่าง Coral Purple หรือสีม่วง ที่เท่าที่มองมาแล้วรู้สึกเหมือนสีชมพูมากกว่า แต่ใส่ลายแบบปะการังแทน ทั้งสองสีนี้มีฝาหลังเป็นแบบใสครับ แต่ยังมีสีเขียว Palm Green ที่ออกไปทางเขียวเข้มขัดด้าน ซึ่งเป็นฟีลลิงการสัมผัสที่แตกต่างกันไปเลยด้วยครับ แต่โดยส่วนตัวแล้วผู้เขียนก็แอบชอบสีนี้เหมือนกัน

การจับถือโดยรวมถือว่าทำออกมาได้ค่อนข้างโอเคครับ แต่ว่าด้วยความขอบตัด ก็คงสัมผัสกระชับมือได้ไม่เข้ามือเท่าพวกขอบโค้งแน่ ๆ แต่ว่าด้วยเคสที่แถมในกล่อง ก็ทำให้การถือโอเคขึ้นแล้วครับ หรือจะหาเคสมาใส่เพิ่มก็จะเทำให้การจับถือโอเคได้เหมือนกัน แต่ถ้าเราใช้งานแบบไม่ใส่เคสเลย จะรู้สึกตะหงิด ๆ สักหน่อย แต่ถ้าชินกับสายขอบเหลี่ยมมาแล้ว ก็จะไม่มีปัญหาเรื่องนี้

กล้องถ่ายภาพ

OPPO เขาวางตลาดของ Reno11 Series นี้ไว้เหมือนกัน คือเป็นสมาร์ตโฟนที่ ‘ถ่ายคนอย่างโปร’ ทั้งหมดเลย และนั่นรวมถึง OPPO Reno11 F 5G เครื่องนี้ด้วย ซึ่งชุดกล้องหลังของรุ่นนี้จะแอบต่างกับ Reno11 ไปซะหน่อย โดยเปลี่ยนจากกล้องถ่ายภาพซูม ลดเหลือเป็นกล้องมาโคร ความละเอียด 2 ล้านพิกเซลแทน แต่กล้องถ่ายภาพหลักจะแอบคล้ายกับ Reno11 นะ เป็นกล้องหลักความละเอียด 64 ล้านพิกเซล และกล้องถ่ายภาพมุมกว้าง 8 ล้านพิกเซล เดี๋ยวมาลองดูภาพถ่ายทั่วไปกันก่อน ก่อนจะไปดูภาพคนกัน

อย่าลืมกดดูที่ภาพเพื่อดูภาพขนาดเต็ม และเลื่อนดูภาพอื่น ๆ กันด้วยนะ !

ภาพถ่ายระยะ 1 เท่าของ OPPO Reno11 F 5G จะออกไปทางคล้ายกับ Reno11 เลยครับ ด้วยสีที่ไม่ได้ปรับให้สดมากจนเกินไป และออกไปทางเรียล ๆ มากหน่อย ความ Vibrant ของสีจะเข้มไม่มากเหมือนที่ OPPO เคยทำกันมา แต่ว่า ข้อดีของการทำสีให้หม่นลงก็คือ สีเหล่านี้สามารถนำไปแต่งต่อได้ง่ายครับ แต่ความคมชัดของภาพยังก้าวไปไม่ถึง Reno11 นะ แน่นอนว่าเรายังตั้งฟิลเตอร์สี Vivid ได้เหมือนกับรุ่น Reno11 เลย แต่ผมว่าสำหรับ OPPO Reno11 F 5G แล้ว ใช้แค่ Original ก็พอแล้วนะ

ความสามารถในการถ่ายภาพด้วย OPPO Reno11 F 5G ถือว่าอยู่ในระดับที่ยังพอไปใช้งานได้ครับ เก็บรายละเอียดแบบพอได้ ในสภาพแสงที่ดี แม้จะไม่สามารถก้าวข้ามไปถึงระดับรุ่นพี่ แต่ถ้าเราอยากได้สมาร์ตโฟนที่พอถ่ายรูปได้ ไปเที่ยว แวะถ่าย ลงโซเชียล บางทีแค่ Reno11 F ก็พอแล้วเหมือนกันนะ (แต่แน่นอนครับว่าถ้าอยากได้ให้โหดกว่านี้ ก็ต้องกระโดดไปหารุ่นพี่นะ)

นอกจากนั้น ก็ยังเปิดลายน้ำของภาพแบบกรอบได้ด้วย คือมีรายละเอียดของภาพอย่างละเอียดให้ได้ดู เช่นระยะของเลนส์ F-Stop ความเร็วชัตเตอร์ และ ISO ให้ได้ดูด้วย คือนอกจากจะแสดงตัวตนแล้ว ยังโชว์ความเป็นโปรได้อีกด้วย

กล้องถ่ายภาพบุคคล

มาถึงช่วงที่เป็นจุดเด่นของเขาคือการถ่ายคนกันบ้างครับ คือในรีวิวของ OPPO Reno11 ที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่ามีการใส่กล้องถ่ายภาพซูมมาเพื่อการถ่ายภาพคนโดยเฉพาะ และทำให้ระยะของการถ่ายภาพทำได้ดี แต่ใน OPPO Reno11 F นี้ ก็ยังใช้การครอปซูมของกล้องถ่ายภาพหลักในการถ่ายได้ดีเช่นเดียวกัน แม้ว่าคุณภาพเวลาซูมอาจจะไม่โหดเท่ารุ่นพี่ก็ตาม ลองดูภาพถ่ายคนกันดู

เท่าที่ได้ลองถ่ายภาพบุคคลมา ยังเก็บรายละเอียดการถ่ายคนได้ไม่แย่เลยทีเดียว ความดีงามของกล้องถ่ายภาพคนคือ สีผิวไม่ได้มีการหลุดไปจากของจริงมากนัก ไม่ติดเหลือง ไม่อมสีอื่นมาก และเอาจริง ๆ คือถ่ายภาพคนออกมาได้สวย และคมชัดดีเลยทีเดียว ซึ่งแม้ว่าการตัดขอบและเบลอหลังจะออกมาค่อนข้างแปลกจนต้องปรับ f-stop ของการถ่ายคนลงไปบ้างเล็กน้อย แต่ว่าถ้าผ่านการตั้งค่าที่ดี เล็งมุมดี ๆ แสงกระทบโอเค ภาพถ่ายคนก็จะออกมาได้ดูดีได้เช่นเดียวกันเลย

ซึ่ง OPPO Reno11 F 5G ก็ยังมีระบบที่ชื่อ ‘Portrait Expert Engine’ ที่เป็นระบบประมวลผลการถ่ายภาพบุคคลของ OPPO ที่ปรับค่ารูรับแสงและค่าสมดุลแสงสีขาว เพื่อให้สามารถถ่ายภาพบุคคลได้สีผิวที่เป็นธรรมชาติมากที่สุดด้วย เลยทำให้การถ่ายภาพบุคคลออกมาได้ดีอยู่เหมือนกัน

ถ้าจะให้เป็นข้อสังเกตเล็กน้อยก็คือเวลาถ่ายภาพบุคคล จะรู้สึกได้ว่าค่อนข้างชัตเตอร์ยากอยู่พอสมควรครับ หมายความว่าเรายังไม่อาจจะสามารถรัวชัตเตอร์เพื่อถ่ายภาพรัว ๆ ได้ อาจจะด้วยการประมวลผลหลังจากถ่ายแล้วที่ค่อนข้างมากหน่อย (เพราะพรีวิวก่อนถ่ายคุณภาพแอบแตกต่างจากภาพหลังถ่ายพอสมควร) ดังนั้นแนะนำว่าก่อนถ่ายลองเล็งภาพให้ดี ๆ ก่อนจะช่วยให้ภาพออกมาดีขึ้นได้มากเลยครับ

กล้องถ่ายภาพมุมกว้างมาก และการซูม

ทีนี้ ด้วยกล้องถ่ายภาพมุมกว้างมากที่เหมือนกันกับ OPPO Reno11 แล้ว ทำให้คุณภาพการถ่ายภาพมุมกว้างมากของ Reno11 F นี้ จะออกมาคล้ายคลึงกันกับในรุ่นนี้เลยนี่แหละ เช่นคุณภาพของกล้องถ่ายภาพมุมกว้างมากที่จะคล้ายกับกล้องถ่ายภาพหลักหน่อย หรือการเก็บรายละเอียดที่อาจจะยังสู้กับกล้องถ่ายภาพหลักไม่ได้อยู่บ้าง ยังไงลองดูตัวอย่างภาพเทียบกันระหว่าง 2 ระยะนี้ดูครับ

ส่วนการซูม ด้วยการที่ OPPO Reno11 F 5G ไม่มีกล้องถ่ายภาพซูมแยก เลยจะทำให้การซูมทุกระยะ มาจากการครอปภาพเข้ามาจากกล้องถ่ายภาพหลักทั้งหมดเลยครับ ก็เลยจะทำให้ระยะหวังผลการซูมได้ไม่เกิน 2 เท่าเท่านั้น และซูมเข้าไปได้ลึกสุด ๆ แค่ 10 เท่าเท่านั้นเอง (ในภาพด้านล่างคือภาพที่ระยะ 0.6 เท่า, 1 เท่า, 2 เท่า, 5 เท่า และ 10 เท่าตามลำดับ)

ภาพถ่ายกลางคืน

ส่วนการถ่ายภาพกลางคืน เอาจริง ๆ ก็ถือว่าทำได้ค่อนข้างโอเคเลยครับ โดยสามารถถ่ายได้ทั้งจากโหมดกล้องถ่ายภาพทั่วไป และโหมดกลางคืน โดยตัวเครื่องจะคำนวณเวลาที่จำเป็นในการถ่ายให้แบบอัตโนมัติ ซึ่งเอาจริง ๆ เรื่องนี้อาจจะไม่ใช่จุดเด่นที่สุดของเขาสักเท่าไหร่ แต่ด้วยเรตราคาถ่ายได้ขนาดนี้ถือว่าค่อนข้างดีเลย ลองดูภาพเทียบระหว่างสองโหมดนี้กันดูครับ

เซลฟี่

แและกล้องหน้าของ OPPO Reno11 F 5G ใช้กล้องหน้าเดียวกันกับใน OPPO Reno11 ครับคือเป็นกล้องหน้าความละเอียด 32 ล้านพิกเซล ซึ่งการถ่ายภาพเซลฟี่ คุณภาพของภาพที่ได้ก็เลยจะออกมาคล้ายคลึงกันกับใน Reno11 ด้วยเช่นเดียวกัน คือได้สีผิวที่ออกมาเหมือนกับกล้องหลัง คือเก็บสีได้ดี ไม่อมทางสีไหนไปเป็นพิเศษ และถ่ายได้ระยะเดียวแบบใน Reno11 ด้วย ลองดูตัวอย่างภาพกันได้นะ

เดี๋ยวนี้ OPPO ก็มี AI แล้ว !?

ก่อนจะผ่านพ้นเรื่องกล้องกันไป OPPO เขาเพิ่งจะเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ล่าสุดที่เพิ่มเข้ามาใน OPPO Reno11 Series นี้ และเราก็ได้มาลองก่อนเวลาด้วย นั่นคือ ‘AI’ แน่นอนว่าในช่วง 1-2 ปีมานี้ คำว่า AI แทบจะเป็น Buzzword ที่ทำมาเพื่อใส่ความล้ำเข้ามาในสิ่งต่าง ๆ ไปทั่ว มีเพียงน้อยเจ้าที่ฟีเจอร์ต่าง ๆ จะเข้ามาเป็น ‘AI’ ได้จริง ๆ ซึ่ง OPPO ก็ค่อย ๆ เพิ่มฟีเจอร์ AI เข้ามาให้ได้ลองครับ โดยฟีเจอร์ที่เพิ่มเข้ามานี้คือ ‘AI Eraser’ ครับ อย่างแรกคือ ปกติแล้วในสมาร์ตโฟน Android จะมีฟีเจอร์การลบวัตถุออกจากภาพอยู่แล้ว (มักจะคุ้น ๆ ชื่อกันในนาม Object Eraser) แต่ว่า OPPO เขาใช้ AI มาช่วยคำนวณ ช่วยคิดในเรื่องการลบวัตถุออกจากภาพ และ Generate ภาพเข้าไปแทรกภายในแทนครับ (นึกภาพ Generative Fill ใน Photoshop) ซึ่งใน AI Eraser ของ OPPO จะใช้ AI ของ AndesGPT ซึ่งเป็น Large Language Model ของ OPPO ที่ประกาศใส่เข้ามาตั้งแต่การประกาศการเข้ามาของ ColorOS 14 ในช่วงปลายปีที่ผ่านมาแล้ว แต่ยังไม่มีฟีเจอร์อะไรที่ใช้ AI นี้ (เพราะจะอยู่ใน Breeno ซึ่งเป็น Assistant ของ OPPO ในเครื่องที่ขายในจีน) จนกระทั่งการเข้ามาของฟีเจอร์นี้นี่แหละครับ

แม้จะอธิบายมายืดยาว แต่ฟีเจอร์นี้เป็นฟีเจอร์ที่เข้าใจง่าย ๆ มากเลยครับ ก็คือ พอผ่านการอัปเดตมาเรียบร้อยแล้ว ฟีเจอร์การลบใน Gallery ของเราจะหายไป และใช้ AI เข้ามาประมวลผลเวลาลบวัตถุในภาพแทนครับ โดยในโหมดนี้สามารถลบได้ 2 แบบครับ คือ Smart Lasso ซึ่งจะให้เราวงล้อมรอบวัตถุที่เราต้องการลบ แล้ว AI จะเลือกวัตถุให้แบบอัตโนมัติ แล้วลบวัตถุนั้นออกให้เราเองเลย และ Paint Over ที่จะใช้การระบายทับวัตถุที่ต้องการลบ และลบวัตถุนั้นออกไปจากในภาพครับ ซึ่งทั้ง 2 แบบนี้ ความดีงามของมันต่างกัน และใช้งานง่ายต่างกันด้วย อย่างผู้เขียนค่อนข้างชอบ Smart Lasso ที่สามารถเลือกวัตถุได้ง่ายมาก และ Smart Lasso ก็เลือกลบเฉพาะวัตถุที่คาดว่าเราต้องการจะลบจริง ๆ แม้ว่าจะเราจะวงครอบทับทั้งโซนก็ตาม

ลองดูตัวอย่างภาพระหว่างก่อน และหลังวงเพื่อลบภาพนี้ดูครับ (ลองกดดูภาพเต็มและซูมเทียบกันดู)

จะมีข้อสังเกตเล็กน้อยเท่านั้น คือ AI Eraser ที่ใช้ AndesGPT นี้ จะเป็นการประมวลผลการลบวัตถุผ่าน Cloud เท่านั้นนะ ทำให้ ถ้าเราไม่ได้ต่ออินเทอร์เน็ตไว้ ฟีเจอร์นี้จะไม่สามารถทำงานได้นะ แต่หลาย ๆ ฟีเจอร์ AI ของหลาย ๆ สมาร์ตโฟน ก็จำเป็นจะต้องส่งไปประมวลผลบน Cloud ด้วยเหมือนกัน

หน้าจอ

หน้าจอของ OPPO Reno11 F 5G เป็นหน้าจอ AMOLED แบบแบน ขนาด 6.7 นิ้ว รีเฟรชเรต 120Hz แบบแบน 10 bit ความละเอียด 2412×1080 (FHD+) ความสว่างสูงสุด 500 Nits (Global default maximum brightness) ที่เอาจริง ๆ คือเดี๋ยวนี้สมาร์ตโฟนราคานี้ให้จอที่สุดขอบขนาดนี้ได้แล้วถือว่าทำออกมาได้ดีมากครับ ซึ่งตัวหน้าจอทำสีออกมาได้ค่อนข้างคล้ายกับใน OPPO Reno11 อยู่เหมือนกันนะ คือเป็นสีที่ไม่ได้สดมากเกินไป แต่ก็ให้ความตรงของสีที่ดีแทน ซึ่งเอาจริง ๆ ถือว่าให้ความจริงของสีที่ค่อนข้างดีเลยด้วย มองแล้วสบายตา ไม่แสบตามากนัก แต่เวลาออกกลางแดดมาก ๆ จะสู้แสงแดดประเทศไทยไม่ค่อยไหวเท่าไหร่ (ยิ่งช่วงที่แดดแรงขนาดนี้ ในช่วงที่รีวิวอยู่นี้ด้วย)

นอกจากนี้ ยังสามารถเล่นวิดีโอ YouTube ได้สูงสุดที่ 4K 60FPS HDR ดูคลิป Reels Facebook แบบ HDR สว่างวาบขึ้นมาได้ด้วย หน้าจอของรุ่นนี้สามารถใช้เพื่อเสพคอนเทนต์ได้แบบสบาย ๆ หายห่วงแน่นอน ด้วยความคมชัดของจอ และอัตราส่วนของจอที่ถือว่าแคบมากสำหรับจอที่แบนไปทั้งจอขนาดนี้ และด้วยเรตราคาที่ถุูกลงเรื่อย ๆ แบบนี้ด้วย

ส่วนเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ OPPO Reno11 F 5G เองก็มีมาให้เช่นเดียวกัน ซึ่งตำแหน่งถือว่าอยู่โซนด้านล่างของหน้าจอ แต่ก็ไม่ได้เป็นตำแหน่งที่ต่ำจนเกินไปนะ ส่วนความเร็วในการสแกนก็ถือว่าโอเค ไม่ได้เร็วและไม่ได้ช้าเกินไป (ถ้าสแกนซ้ำ ๆ ไว้ จะได้ความเร็วที่มากกว่านะ)

สเปกภายในเครื่อง ประสิทธิภาพ และการเล่นเกม

อ่านมาตั้งขนาดนี้แล้ว OPPO Reno11 F 5G มีส่วนที่คล้ายกับใน OPPO Reno 11 อยู่เยอะมากเลยทีเดียว และส่วนสำคัญที่เป็นเหมือนสมองของสมาร์ตโฟนเครื่องนี้อย่างชิปเซตเอง ก็มีความเหมือนอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน เพราะ OPPO Reno11 F 5G เครื่องนี้ ใช้ชิปเซตภายในเครื่องเป็น MediaTek Dimensity 7050 ซึ่งเป็นชิปเซตระดับกลางของ MediaTek ที่รองรับ 5G ด้วย และก็อย่างที่เคยบอกเอาไว้แล้วในรีวิวของ Reno11 คือชิปเซต Dimensity 7050 เป็นชิปที่เพียงพอมาก ๆ แล้วสำหรับการทำงานโดยทั่วไป และเป็นชิปที่เหมาะกับ ‘Everyday Phone’ จริง ๆ อย่างที่เคยว่าไว้ เพราะการใช้งานโดยทั่วไปนี่แทบจะไม่รู้สึกถึงความหน่วงของเครื่องแต่อย่างใดเลยครับ

แต่แน่นอนว่า ยังไงเราก็ต้องทำการทดสอบอยู่แล้ว เพื่อให้ออกมาเป็นผลคะแนนที่ชัดเจน โดยเราได้ทดสอบ CPU ผ่าน Geekbench 6.2.2 ได้คะแนน Multi-Core อยู่ที่ 2,328 คะแนน และคะแนน Single-Core อยู่ที่ 893 คะแนน และทดสอบกราฟิกผ่าน 3DMark ชุด Wild Life Stress Test คะแนนสูงสุดจะอยู่ที่ 2,291 คะแนน และต่ำสุดที่ 2,201 คะแนน ความนิ่งของคะแนนอยู่ที่ 96.1% และอุณหภูมิสูงสุดอยู่ที่ 34 องศา ซึ่งโดยรวม ๆ แล้วเป็นคะแนนที่ใกล้เคียง จนเกือบจะเหมือนกันกับใน OPPO Reno11 เลย แม้จะไม่ใช่คะแนนที่ดีเด่นมาก แต่ด้วยเรตราคาแล้ว รุ่นนี้ถือว่าทำออกมาได้ค่อนข้างคุ้มค่าตัวอยู่เหมือนกันครับ

ส่วนการลงสนามจริงด้วยการทดสอบเกม Genshin Impact ที่ปรับคุณภาพของกราฟิกไว้ที่สูงสุด และตั้งค่า 60FPS มา ตัวเครื่องแจ้งว่าเฟรมเรตที่ได้จะอยู่ที่มากสุด 30 FPS เฉลี่ยไม่เกิน 25 FPS ครับ อาจจะเป็นตัวเลขที่ไม่ได้สูงมากนัก แต่ด้วยความที่สมาร์ตโฟนเครื่องนี้เน้นในส่วนการใช้งานทั่วไปและถ่ายรูปมากกว่า ถ้าอยากเล่นเกมด้วย แนะนำให้ลดคุณภาพของกราฟิกลง จะทำให้เล่นได้นิ่งกว่าครับ

แบตเตอรี่

แบตเตอรี่ของ OPPO Reno11 F 5G นั้นได้ให้มาที่ 5000 มิลลิแอมป์ครับ เป็นตัวเลขมาตรฐานของสมาร์ตโฟนในยุคนี้เลย ซึ่งจากการที่เราได้ทดสอบใช้งานจริงจากการเปิด 5G ตลอดเวลาที่ทดสอบ ตั้งแต่ช่วง 9 โมงเช้า จนถึง 3 ทุ่ม แบบที่ไม่ได้เล่นเกมอะไร แต่มีการเปิดหน้าจอเพื่อเล่นโซเชียล ถ่ายภาพ และค้นหาข้อมูล คือใช้งานทั่วไปแบบที่ปกติใช้งานกันเลยนี่แหละ ได้ Screen On Time ไป 3 ชั่วโมง 31 นาทีครับ แบตเตอรี่ลดจาก 100% เหลืออยู่ 25% ครับ เอาจริง ๆ ถามว่าดีไหม จริง ๆ ก็ค่อนข้างโอเค แต่ยังถือวง่าแอบน้อยกว่าในรุ่น Reno11 อยู่บ้างครับ

แต่เรื่องนี้ก็โดนลบล้างด้วยการชาร์จแบตเตอรี่กลับด้วยระบบชาร์จแบตเตอรี่กลับของ OPPO ที่ 67W SUPERVOOC แทน ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่ค่อนข้างสูงมากทีเดียวสำหรับสมาร์ตโฟนเรตราคานี้ โดยเราได้ลองจับเวลาชาร์จดู สามารถชาร์จกลับจาก 5% – 100% ได้ในเวลาไม่เกิน 50 นาทีครับ ถือว่าทำได้ค่อนข้างดีและไม่เป็นอุปสรรคต่อการใช้งานมากนักครับ

สรุปส่งท้าย

OPPO Reno11 F 5G เป็นสมาร์ตโฟนไม่ได้ดีที่สุดในเรตราคานี้ครับ แต่ถ้าให้พูดถึงความ ‘ดีที่สุด’ ของแต่ละคนก็จะไม่เหมือนกันอีกแน่นอน เช่น ใครที่อยากได้แค่สมาร์ตโฟนที่ใช้ 5G ได้ เล่นโซเชียลดี ถ่ายรูปได้โอเค อาจจะไม่เน้นเกมมาก รุ่นนี้ก็เหมาะกับคุณแน่นอน แต่ถ้าใครที่อยากได้สมาร์ตโฟนเน้นเล่นเกมก็อาจจะยังไม่เหมาะมากนัก แต่ผมมั่นใจว่าสมาร์ตโฟนรุ่นนี้มีตลาดของมันแน่นอน หรือใครที่แค่ต้องการสมาร์ตโฟนที่ใช้งานได้โอเค เน้นถ่ายภาพ แต่ในงบประมาณที่จำกัด ดีไซน์สวย แถมยังใช้ AI ลบภาพได้ด้วย OPPO Reno11 F 5G ก็เป็นสมาร์ตโฟนอีกรุ่นที่แนะนำให้ใครไปซื้อมาใช้กันได้อยู่นะ (ยิ่งถ้าติดโปร หรือได้โค้ดลดจาก Shopee Lazada ได้อีกอาจจะยิ่งคุ้มเลย !)

ซึ่ง จากที่เคยบอกไว้ในต้นรีวิว ว่านี่คือ OPPO Reno11 Series ที่อาจจะเรียกได้ว่าคุ้มราคาที่สุดก็ว่าได้ครับ ด้วยสเปกภายในหลาย ๆ อย่างที่เรียกว่าให้มาใกล้เคียงหรือเปมือนกันกับ OPPO Reno11 5G เลย ทำให้ใครที่อยากได้สมาร์ตโฟนสักเครื่องจาก OPPO ที่สามารถทำอะไรได้เหมือนกับรุ่นพี่ในตระกูล ในราคาที่เบากว่า OPPO Reno11 F 5G อาจจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมได้เช่นกัน

และแน่นอนว่ารีวิวที่ดีก็ต้องมีราคา โดยราคาวางจำหน่ายของ OPPO Reno11 F 5G จะอยู่ที่ 10,990 บาท (วางจำหน่ายแค่ความจุเดียว) โดยวางจำหน่ายใน 3 สี ได้แก่สีม่วง Coral Purple, สีฟ้า Ocean Blue และสีเขียว Palm Green หาซื้อได้ทั้งผ่านร้านค้าตัวแทนจำหน่าย, เครือข่ายผู้ให้บริการ และ Official Store ของ OPPO ทั้งบน Shopee และ Lazada ได้เลย !