รีวิว realme 12 Pro+ 5G : หมื่นกลางแบบใด ทำไมมี Periscope ด้วย !
Our score
8.6

realme 12 Pro+ 5G

สมาร์ตโฟนหมื่นกลางรุ่นเดียวในตลาดที่จัดกล้องซูมแบบ Pericope มาให้ แต่จะสู้กับเจ้าอื่นในเรตราคาเดียวกันได้แค่ไหน ?

นี่คือ realme 12 Pro+ 5G สมาร์ตโฟนรุ่นกลางตัวท็อปรุ่นใหม่จาก realme ที่เปิดราคามาแค่ 13,999 บาท แต่ได้จัดเต็มสเปกกล้องมาด้วยกล้องถ่ายภาพหลักเซนเซอร์ Sony IMX890 และกล้องถ่ายภาพซูมแบบ Periscope 3x (OV64B) มาให้รุ่นเดียวในเรตราคานี้ ณ ขณะนี้เลย บทความนี้เราจะมาหาคำตอบกันว่า สมาร์ตโฟนรุ่นท็อป (ในตอนนี้) จาก realme จะสามารถสู้กับเจ้าอื่นในเรตราคาเดียวกันได้แค่ไหน และการให้กล้องโหดขนาดนี้มาจะต้องแลกกับอะไรบ้าง ?

จุดเด่น

  1. เป็นสมาร์ตโฟนรุ่นเดียวในเรตราคานี้ที่ให้กล้องโหดระดับ IMX890 และกล้องถ่ายภาพซูมแบบ Periscope 3X มาในตัว
  2. ฟิลเตอร์กล้องถ่ายภาพสวยงาม และนำไปใช้ได้จริง
  3. ดีไซน์ตัวเครื่องสวยมาก ๆ ใส่ใจรายละเอียดในการใส่ดีไซน์ฝาหลังด้วยหนังวีแกน และคาดลาย รวมถึงทำกรอบกล้องคล้ายนาฬิกา
  4. แบตเตอรี่ที่อาจจะไม่ได้ดีที่สุดในเรตราคา แต่ยังพอสามารถใช้งานได้จนจบวัน
  5. มอเตอร์สั่นภายในเครื่องที่ให้มาแบบ Linear ให้ความรู้สึกพรีเมียมเวลาใช้งานได้ดีมาก ๆ

จุดสังเกต

  1. หน้าจอสีสดเว่อจนอาจจะดูสดเกินความเป็นจริงไปบ้างเล้กน้อย
  2. สเปกภายในเครื่องที่จัดว่าอยู่ตรงกลางในเรตราคาเดียวกัน
  3. หน้าจอเป็นหน้าจอโค้ง ทำให้หาฟิล์มติดได้ยากกว่าจอแบบแบน
  4. USB-C ให้มาเป็นเวอร์ชัน 2.0
  5. ลดสเปกการชาร์จเร็วจากรุ่นที่แล้วที่ 100W SUPERVOOC เหลือ 67W SUPERVOOC แทน
  • หน้าจอ

    8.0

  • กล้อง

    9.0

  • แบตเตอรี่

    8.5

  • เสียง

    8.0

  • ประสิทธิภาพ

    8.0

  • ดีไซน์

    9.5

  • ความคุ้มค่า

    9.0

ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผู้เขียนก็ได้ผ่านตาสมาร์ตโฟนระดับหมื่นกลางมาหลากหลายรุ่นมาก ๆ ครับ แต่ไม่เคยเห็นสมาร์ตโฟนหมื่นกลางรุ่นไหนที่ให้สเปกกล้องมาแน่นสุด ๆ ขนาดนี้มาก่อน นี่คือ realme 12 Pro+ 5G สมาร์ตโฟนหมื่นกลางตัวบนของ realme ที่แม้จะให้เซนเซอร์กล้องถ่ายภาพหลักระดับเรือธงมา แถมกล้องซูมก็ใช้เลนส์ Periscope ด้วย แต่ตั้งราคาขายเริ่มที่แค่ 13,999 บาทเท่านั้น ! มือถือหมื่นสี่จะให้อะไรกันขนาดนี้

คำตอบแบบสั้นก็คือ มันต้องมีอะไรแลกกันบ้างแน่นอนครับ ส่วนคำตอบแบบยาว และคำตอบของคำถามที่ว่า สมาร์ตโฟนรุ่นนี้ คุ้มค่าที่จะหามาเล่นไหม มาหาคำตอบไปพร้อมกันครับ

สเปกภายในเครื่อง

  • หน้าจอ : AMOLED ขนาด 6.7 นิ้ว รีเฟรชเรต 120Hz แบบโค้ง (100% DCI-P3) ความละเอียด FHD+ (2412 x 1080) ความสว่างสูงสุด 950 nits
  • ชิปเซต Qualcomm Snapdragon 7s Gen 2 รองรับ 5G
  • หน่วยความจำขนาด 256GB, 512GB UFS 3.1
  • RAM : 8GB, 12GB LPDDR4X
  • กล้องหลัง 3 ตัว ประกอบไปด้วย
    • กล้องหลักความละเอียด 50 ล้านพิกเซล (f/1.8) เซนเซอร์ SONY IMX890
    • กล้องถ่ายภาพซูมความละเอียด 64 ล้านพิกเซล (f/2.8) เซนเซอร์ Omnivision OV64B
    • กล้องเลนส์ Ultra-Wide ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล (f/2.2) 112 องศา เซนเซอร์ Hynix HI-846
  • กล้องหน้าขนาด 32 ล้านพิกเซล (f/2.4) เซนเซอร์ Sony IMX615
  • แบตเตอรี่ 5,000 mAh พร้อมชาร์จไว SUPERVOOC 67 W
  • ซอฟต์แวร์ realmeUI 5.0 (Based on Android 14)
  • มีสีให้เลือก 2 สี ได้แก่ สีน้ำเงิน Submarine Blue และสีเบจ Navigator Beige
  • ราคาวางจำหน่ายในประเทศไทย 13,999 บาท (8+256GB) และ 16,999 บาท (12+512GB)

ดีไซน์รอบตัวเครื่อง

หลาย ๆ คนมักจะพูดถึงการที่กล้องถ่ายภาพของมันดีมาก ๆ ซึ่งผู้เขียนเองก็สนใจเรื่องนี้มาก ๆ เหมือนกัน แต่อย่างหนึ่งที่ใช้แล้วชอบมาก ๆ ก็เห็นจะเป็นเรื่องของดีไซน์ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราจะมองเห็นมาตลอดอยู่แล้ว (แม้เราจะเอาไปใส่เคสบ้างอะไรบ้างก็ตาม) แต่ดีไซน์ของตัวเครื่อง เรียกได้ว่าแทบไม่ข้ามเลยครับ เขาใส่ใจรายละเอียดในการดีไซน์ไม่น้อยเลย เพราะ realme เขาได้ใช้ดีไซเนอร์ Ollivier Savéo (โอลิวิเยร์ ซาเวโอ) ดีไซเนอร์นาฬิกาหรูของฝรั่งเศสที่เคยออกแบบนาฬิกามาแล้วหลายรุ่น มาช่วยออกแบบ โดยได้วางการออกแบบตัวเครื่องโดยใช้องค์ประกอบต่าง ๆ จากนาฬิกาแบรนด์มาใส่ไว้ในฝาหลังของรุ่นนี้เลยครับ อย่างเช่น หน้าปัดของนาฬิกาก็เอามาใส่ไว้ตรงกรอบกล้อง, ลาย Diamond Pattern ก็เอามาใส่ไว้เป็นลายคาดกลางเครื่อง, หรือฝาหลังที่ใช้วัสดุหนังวีแกนที่ว่ากันตรง ๆ สัมผัสค่อนข้างดีมาก มารวมกันอยู่ในฝาหลังของ realme 12 Pro+ 5G เครื่องนี้เลย

ซึ่งว่ากันตรง ๆ ดีไซน์ที่ออกมา ถ้าไม่ได้บอกว่าเป็นดีไซน์จากดีไซเนอร์ของนาฬิกาหรู ก็ถือว่ามีดีไซน์ที่ออกมาคล้ายคลึงกับ realme 11 Pro / 11 Pro+ เมื่อปีที่แล้วอยู่ไม่น้อยเลยละครับ แต่ใน realme 12 Pro+ 5G จะมีดีไซน์ที่ออกไปทางเรียบหรูกว่า และสีใหม่อย่างสีน้ำเงิน Submarine Blue ก็ทำให้ตัวเครื่องดูสวย และหรู เหมาะจะถือใช้ได้ทุกคนจริง ๆ ครับ ผู้เขียนจะออกไปทางชอบสีนี้มากกว่าอีกสีอย่าง Navigator Beige ด้วยนะ

ส่วนดีไซน์ส่วนอื่น ๆ ก็ถือได้ว่าไม่ได้แตกต่างจากสมาร์ตโฟนโดยทั่ว ๆ ไปเลยครับ เช่น ด้านบนที่มีแค่ช่องลำโพงด้านบน, ไมโครโฟนตัดเสียงรบกวน, ฝั่งขวามีปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง และปุ่มเปิดเครื่อง, ด้านล่างมีลำโพงด้านล่าง, ช่องใส่ซิม (ได้ 2 ซิม และเพิ่ม MicroSD Card ไม่ได้) และพอร์ต USB-C 2.0 แล้วปล่อยด้านซ้ายโล่งไปเลยครับ โดยวัสดุที่ใช้ทำกรอบข้างเครื่องทั้งหมดจะเป็นพลาสติกนะครับ โดยตัวเครื่องยังผ่านมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่นที่ IP65 แล้วด้วยเช่นกัน

ซึ่งเวลาจับถือตัวเครื่องเองก็ทำได้ดีไม่น้อยเลยครับ อย่างที่บอกว่าตัวเครื่องนั้นสัมผัสการจับถือค่อนข้างดีมาก ๆ แล้วด้วยการที่สัมผัสดี ทำให้ realme 12 Pro+ 5G เป็นสมาร์ตโฟนอีกรุ่นที่ผู้เขียนอยากจะถือใช้โดยไม่ใส่เคสเลย แม้จะทำให้เกิดความเสี่ยงด้านสีลอกจากกรอบเครื่องแบบพลาสติกอยู่บ้างก็ตาม แต่ในด้านความกว้างของตัวเครื่องถือว่าทำออกมาได้ดี ถือสบาย ไม่กว้าง ไม่ใหญ่ไปมากนัก อาจจะมาจากการที่ตัวเครื่องมีหน้าจอที่โค้ง แล้วดีไซน์ฝาหลังก็ทำแบบลงโค้งเพื่อรับกันเอาไว้แล้วด้วยนั่นเองครับ

อีกส่วนที่ชอบมากก็คือเรื่องของมอเตอร์สั่นที่ realme 12 Pro+ 5G ได้ให้มอเตอร์สั่นแบบ Linear มาในรุ่นนี้แล้วด้วย แม้ว่าจะเป็นมอเตอร์สั่นที่ไม่ได้สั่นแรงและหนักแน่นมากแบบที่เจอในสมาร์ตโฟนราคาหลัก 20,000 บาท แต่ว่าก็ยังเป็นมอเตอร์สั่นที่ให้ความรู้สึกดีมาก ๆ เวลาใช้งาน ไม่ว่าจะตอนพิมพ์ ตอนเลื่อนหน้าจอต่าง ๆ ที่มีการเอามอเตอร์สั่นนี้ไปใช้ประโยชน์ (เช่นการตั้งค่าเสียง) ทำให้ความรู้สึกการใช้งานตัวเครื่องในภาพรวมถือว่าพรีเมียมมากอยู่เลยทีเดียว

กล้องถ่ายภาพ

ทีนี้สิ่งที่ realme 12 Pro+ 5G ให้มามากที่สุดในรุ่นนี้ของเขาก็คือกล้องถ่ายภาพครับ เพราะอย่างที่เกริ่นเอาไว้แต่แรกแล้วว่า กล้องถ่ายภาพของสมาร์ตโฟนรุ่นนี้ให้มาสูงสุดในเรตราคาเดียวกันแล้ว ทั้งกล้องถ่ายภาพหลักที่กระโดดไปใช้กล้องถ่ายภาพ 50 ล้านพิกเซล เซนเซอร์อดีตเรือธง Sony IMX890 และกล้องถ่ายภาพซูมแบบ Periscope เซนเซอร์ Omnivision OV64B รุ่นเดียวในเรตราคานี้เลย พูดไปก็เหมือนจะขายของ แต่ว่าการใส่เซนเซอร์ระดับท็อปมา มีผลต่อคุณภาพของภาพถ่ายไม่น้อยเลยครับ แม้การถ่ายภาพจะต้องพึ่งพา Post-Processing อยู่ไม่น้อยเลยก็ตาม

การถ่ายภาพทั่วไป

ซึ่งการถ่ายภาพทั่วไปด้วยการใช้เลนส์หลัก ที่หลังจากได้ผ่านการอัปเดตต่าง ๆ มาแล้ว สามารถถ่ายภาพออกมาได้สวยงามสมเซนเซอร์เรือธงมากอยู่ครับ โดยการถ่ายภาพทั่ว ๆ ไปสามารถถ่ายออกมาได้สวยงามมาก ทั้งการเก็บรายละเอียด เก็บสี ความคมชัดต่าง ๆ ที่อยู่ในระดับที่ดี ไม่สดเว่อร์และไม่ซีดจนเกินไปด้วยครับ

ซึ่งนอกจากโหมดกล้องถ่ายภาพสีแบบธรรมดาแล้ว ยังมีโหมดฟิลเตอร์สีของกล้องถ่ายภาพที่ได้มีการจูนมาเพื่อใช้ถ่ายภาพกับ realme 12 Pro+ 5G โดยเฉพาะ โดยได้มี Claudio Miranda (คลอดิโอ มิแรนด้า) นักกำกับภาพชื่อดัง ซึ่งได้ร่วมออกแบบฟิลเตอร์สีตามภาพยนตร์เรื่องดังที่ Claudio เคยได้กำกับภาพมา ประกอบไปด้วย ‘Journey Filter’ ที่ได้แรงบันดาลใจจาก ‘Life of Pi’, ‘Memory Filter’ ที่แรงบันดาลใจจาก ‘The Curious Case of Benjamin Button’ และ ‘Maverick Filter‘ ที่ได้แรงบันดาลใจจาก ‘Top Gun: Maverick’ ด้วย (ลองดูความแตกต่างของแต่ละฟิลเตอร์สีได้จากด้านล่างเลย

ซึ่งโดยปกติแล้วผู้เขียนจะไม่ค่อยสนใจในการใช้ฟิลเตอร์สีเพื่อย้อมภาพเท่าไหร่นัก แต่ว่าหลังจากที่ได้ลองใช้ฟิลเตอร์มาเพื่อถ่ายภาพเซตมา จริง ๆ แล้วการมีฟิลเตอร์จะช่วยขับอารมณ์ของภาพได้ค่อนข้างดีเลยเหมือนกันครับ อย่างเช่นเซตนี้ที่ได้ถ่ายร้านโกโก้ ที่ให้ความรู้สึกถึงความเก่าแก่อยู่บ้าง การใช้ฟิลเตอร์ Maverick ทำให้ได้อารมณ์ของภาพที่ดีไม่น้อยเลยทีเดียว (อย่างเซตด้านล่างที่ใช้ฟิลเตอร์ Maverick ล้วน ๆ เลยนั่นเองครับ

การถ่ายภาพซูมและการถ่ายภาพมุมกว้าง

แน่นอนว่า นอกจากที่ realme 12 Pro+ 5G จะได้กล้องถ่ายภาพหลักที่ดีมาก ๆ แล้ว กล้องถ่ายภาพซูม Periscope ที่ซูมแบบ Optical ได้ 3 เท่า, ซูม In-Sensor แบบไม่เสียรายละเอียดมากนักได้ 6 เท่าเองก็ได้เฉิดฉายเหมือนกัน จากการที่ใช้เซนเซอร์ Omnivision OV64B โดยจากการซูมที่ 3 เท่า ซึ่งเป็นระยะที่ไม่ได้ซูมลึกมากจนเกินไป ทำให้เป็นระยะที่แม้จะเอาไปถ่ายภาพวิวแบบมีมุมมองที่ลึกขึ้น หรือถ่ายวัตถุที่เกิดความหน้าชัดหลังเบลอขึ้นมาอีกเล็กน้อย ทำให้เราสามารถถ่ายภาพซูมล้วน ๆ ใช้แทน หรือประกอบร่วมกันกับกล้องถ่ายภาพหลักไปด้วยได้นะครับ ลองดูภาพที่ถ่ายเซตนี้ที่มาจากการถ่ายภาพซูมล้วน ๆ ดูครับ

นอกจากนั้นแล้ว การที่กล้องถ่ายภาพซูมเป็นแบบ Periscope จะช่วยให้สามารถถ่ายภาพแบบซูมแล้วเสียรายละเอียดน้อยลงไปได้ลึกมากขึ้นเยอะอยู่ครับ จะว่าไปแล้ว ก็สามารถถ่ายได้ไกลกว่ารุ่นอื่น ๆ ในเรตราคาเดียวกันมากอยู่นะ โดยสามารถถ่ายซูมได้ลึกสุดไปถึงที่ 120 เท่าเลย แต่ระยะหวังผลจะอยู่ที่ไม่เกิน 10 เท่านะครับ ซึ่งว่ากันตรง ๆ สำหรับสมาร์ตโฟนที่ราคาเท่านี้ และสามารถถ่ายภาพซูมให้หวังผลได้ลึกขนาดนี้ ถือว่าหาตัวจับได้ยากเลยทีเดียว โดยภาพที่เราได้เอามาให้ชมกันนี้มาจากการถ่ายที่ระยะ 0.6x, 1x, 2x, 3x, 6x, 10x, 20x, 30x, 60x และ 120x ตามลำดับ

แต่ถ้าจะให้ติเรื่องชุดกล้องที่ให้มาสักหน่อย ก็เห็นจะเป็นกล้องถ่ายภาพมุมกว้างมากนี่แหละครับ เพราะกล้องถ่ายภาพมุมกว้างมากนี้คือสิ่งที่เราต้องแลกมาเมื่อใช้ realme 12 Pro+ 5G เครื่องนี้เลยก็ว่าได้ เพราะกล้องถ่ายภาพมุมกว้างมากของรุ่นนี้ให้มาแค่ 8 ล้านพิกเซลเท่านั้นเอง ทำให้คุณภาพของภาพอาจจะออกมาแตกต่างจากกล้องถ่ายภาพหลักอยู่บ้างครับ เช่นการเก็บรายละเอียดในที่มืดได้ไม่ดีเท่า หรืออาจจะได้ภาพที่ไม่คมชัดมากเท่าในกล้องถ่ายภาพหลักอยู่บ้างครับ แต่โดยรวมแล้ว ถ้าสภาพแสงออกมาดีพอ ก็ยังถือว่าพอใช้กล้องถ่ายภาพมุมกว้างมากในการถ่ายวิวได้ดีอยู่นะ

การถ่ายภาพบุคคล

อีกข้อดีของการที่ realme 12 Pro+ 5G ใส่กล้องถ่ายภาพซูมที่ดีมาก ๆ มา นั่นก็คือความสามารถในการถ่ายภาพบุคคลนี่แหละครับ ที่ทำให้ตอนนี้สามารถถ่ายภาพบุคคลได้ทั้งที่ระยะ 1 เท่า (~24mm) และ 3 เท่า (~80mm) ได้แล้วครับ ปกติแล้ว realme จะได้จุดเด่นด้านการถ่ายภาพในแบบ Street มากกว่าที่จะเน้นการถ่ายภาพบุคคล แต่แน่นอนว่าในรุ่นนี้ realme เขาบอกว่าเขาพร้อมแล้ว ที่จะไปเป็น ‘Portrait Master’ หรือผู้ชำนาญในการถ่ายภาพกันเลยทีเดียว แล้วรุ่นนี้ทำผลงานออกมาได้เป็นยังไงบ้างล่ะ ?

จากภาพที่ได้เห็นกันไปในเซตนี้แล้ว เห็นได้ว่า realme 12 Pro+ เป็นสมาร์ตโฟนอีกรุ่นที่ขึ้นไปแข่งถ่ายภาพบุคคลได้ดีเลยทีเดียวครับ แม้ว่าผู้เขียนคงไม่อาจจะเรียกได้เต็มปากว่าเป็นสมาร์ตโฟนที่ถ่ายภาพคนได้ดีที่สุดในเรตราคานี้ (เพราะตำแหน่งนั้นการแข่งขันสูงมากจริง ๆ) แต่ถ้าถามถึงความครบถือว่าทำได้ครบครับ ทั้งการถ่ายภาพทั้ง 2 ระยะที่เก็บรายละเอียดได้ดี สกินโทนที่ไม่ได้สดเว่อร์ไปทางใดทางหนึ่ง กับสีในภาพรวมที่ถือว่าทำออกมาได้ดูดีเลยทีเดียว แต่ภาพสไตล์นี้ผมค่อนข้างมั่นใจว่าจะต้องมีคนชอบแน่นอน ยิ่งความสามารถในการถ่ายภาพบุคคลไปพร้อมกับการเปิดฟิลเตอร์ Journey, Memory และ Maverick และการเบลอหลังสไตล์แบบภาพยนตร์ด้วยแล้ว เรื่องของโทนสีถือว่าอยู่ที่แต่ละคนชอบและเลือกได้เลยล่ะครับ

การถ่ายภาพกลางคืน

นอกจากนั้น การถ่ายภาพกลางคืนเอง ก็สามารถถ่ายได้ผ่านกล้องถ่ายภาพทุกเลนส์ และถ่ายได้โดยไม่ได้ใช้เวลาในการถ่ายภาพนานมากนักด้วยครับ โดยถ้าใช้โหมดกลางคืน ตัวภาพก็จะผ่านการ Process ให้ออกมาสว่างขึ้นมาอยู่ แต่ในขณะเดียวกันก็ให้โทนที่แตกต่างกันเวลาเราถ่ายภาพกลางคืนด้วย ถ้าชอบให้ภาพออกไปทางมืดเล็กน้อย ก็สามารถใช้โหมดกล้องถ่ายภาพธรรมดาถ่ายก็ได้ หรือถ้าอยากให้ออกมาสว่างหน่อย โหมดกลางคืนจะช่วยไว้ได้มากอยู่เลยครับ

เซลฟี

ส่วนกล้องหน้าของ realme 12 Pro+ 5G ที่ให้มาเป็นเซนเซอร์ Sony IMX615 32 ล้านพิกเซลนั้น ถือว่าทำออกมาได้สมกับเซนเซอร์ Sony ไม่น้อยครับ ต้องบอกว่าเซนเซอร์นี้เราจะได้เห็นในสมาร์ตโฟนหลาย ๆ รุ่นกันอยู่แล้ว ซึ่งถ่ายภาพได้ออกมาได้ค่อนข้างคล้ายกับกล้องหลังครับ มีการ Process ภาพออกมาได้ไม่สดเด้งมากนัก แต่อยู่ในระดับที่พอใช้งานได้ครับ แต่โดยรวมแล้วก็ยังให้อยู่ในระดับที่พอไหวนะ

สรุปเรื่องกล้องถ่ายภาพในภาพรวม

ซึ่งโดยภาพรวมของกล้องถ่ายภาพนั้นถือว่า realme มาถูกทางแล้วจริง ๆ ครับ ในด้านการเป็นสมาร์ตโฟนที่เด่นถ่ายวิวมาก ๆ เอาจริง ๆ ผู้เขียนยกเครื่องมาถ่ายภาพวิว หรือวัตถุต่าง ๆ บ่อยมาก ๆ อาจจะไม่ได้ถ่ายภาพได้ดีมากที่สุด แต่อีกจุดที่เขาเด่นอย่างการถ่ายภาพ Street ก็ยังสามารถถ่ายได้ดีมาก ได้โทนที่ตอนแรกผู้เขียนก็ว่าจะไม่ชอบ แต่พอได้ลองแล้วคือประทับใจมากเลยล่ะครับ ส่วนการถ่ายภาพบุคคล แม้ในรีวิวผู้เขียนจะใช้คำว่าไม่ได้ดีที่สุด แต่ก็ไม่ได้เป็นสมาร์ตโฟนที่แย่ในด้านการถ่ายภาพบุคคลเลยนะครับ อาจจะออกไปทางชอบซะด้วยซ้ำ ถ้าชอบการถ่ายภาพแบบเน้นโทนสีให้ออกไปทางหม่น ๆ ตามฟิลเตอร์หน่อย จะออกมาสวยงามและมีคาแรกเตอร์ไม่น้อยเลยทีเดียว

นอกจากนั้น ตลอดเวลาที่เราได้เห็นภาพถ่ายกันมา จะเห็นว่าลายน้ำของ realme 12 Pro+ 5G เครื่องนี้เปลี่ยนไปด้วย เพราะนอกจากเขาจะได้เพิ่มการแสดงตัวตนผ่านชื่อรุ่น รายละเอียดการถ่ายภาพแล้ว ยังได้ใส่สี Key หรือโทนสีหลักจากภาพที่เราถ่าย เพื่อใช้เป็น Reference ในการนำสีไปใช้งานอื่น ๆ ต่อไปได้อีกด้วยนะ การออกแบบแนวนี้ถือว่าน่าสนใจมากเลยทีเดียว

ตัวอย่างลายน้ำที่มาพร้อมกับสี Key ของภาพ

หน้าจอ

อีกส่วนที่เราจะได้มองกันเป็นหลักอย่างหน้าจอ realme ก็ใส่มาแน่นพอสมควรครับ โดยใส่มาเป็นหน้าจอ AMOLED แบบโค้ง ขนาด 6.7 นิ้ว รีเฟรชเรต 120Hz (100% DCI-P3) ความละเอียด 2412 x 1080 ที่ให้ฟีเจอร์ของหน้าจอมาเยอะเหมือนกัน ทั้งโหมดเร่งแสงเฉพาะจุดของจอ (Pro-XDR) เวลาเราเปิดภาพที่เราถ่ายมา (แล้วเป็นจุดที่มีดวงไฟ หรือมีความสว่างมาก ๆ) เพื่อให้ภาพออกมาดูสว่างแบบเดียวกับที่เราเห็นภาพจริงได้ครับ หรือจะเป็น 2160Hz PWM Dimming หรือฟีเจอร์การกะพริบของหน้าจอที่เร็วจนตาเรามองไม่เห็น เพื่อให้ตาเราสบายมากขึ้นเวลามองจอนาน ๆ ด้วยนะ

โดยสเปกถือว่าให้มาได้ประทับใจมากเลยทีเดียวสำหรับสมาร์ตโฟนราคาหมื่นกลางในช่วงนี้ แต่ในขณะเดียวกัน จากที่ผู้เขียนลองใช้มาแล้วนั้น หน้าจอของรุ่นนี้ถือว่าให้สีที่สดมากครับ คำว่าสดมากในที่นี้ คือสดจริง ๆ นะ สดแบบบางสถานการณ์ภาพจะออกไปทางสดเกินความเป็นจริงไปสักเล็กน้อย แม้ว่าเราจะลดความสดของสีได้ในการตั้งค่า แต่โดยรวมแล้วก็ยังออกสดมากอยู่ครับ ซึ่งถามว่าเป็นปัญหาไหม เอาจริง ๆ แล้วก็ไม่เลยครับ แค่เป็นเหมือนจุดที่สังเกตเห็นได้จากการมองจอเทียบกันไปมาซะมากกว่า แต่เรื่องของสีจอที่ดีนั้น ก็เป็นเรื่องของแต่ละคนครับว่าชอบสีจอแบบไหนมากกว่ากัน

แต่ว่าด้วยเรื่องความคมชัดและการใช้งานจริงแล้ว ถือว่าไม่มีปัญหาเลยครับ สามารถใช้งานได้เป็นอย่างดี ไม่มีปัญหาใด ๆ เลย สามารถดู YouTube ที่ 4K 60FPS ได้เป็นปกติ แต่ตั้งค่า HDR ไม่ได้นะ คาดว่าหน้าจออาจจะยังไม่รองรับการแสดงผลแบบ HDR แต่ว่าการนำหน้าจอไปใช้ในที่แสงมาก ๆ ก็ถือว่ายังสู้ชาวบ้านมากไม่ได้ เพราะสว่างสูงสุดที่ 950 nits เท่านั้น แต่ตอนใช้งานก็ไม่ได้เป็นปัญหามากนักครับ

และด้วยหน้าจอแบบ AMOLED เลยทำให้ realme 12 Pro+ 5G มีเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอให้ได้ใช้กันด้วยนะครับ การสแกนลายนิ้วมือถือว่าตอบสนองได้ค่อนข้างเร็วดีเลย อาจจะไม่ได้เร็วมาก ๆ แต่ไม่ได้ช้าอย่างน่าหงุดหงิดแน่นอน

สเปกภายในเครื่อง ประสิทธิภาพ และการเล่นเกม

ส่วนสเปกภายในเครื่องของ realme 12 Pro+ 5G ถือว่ายกเครื่องจากรุ่นที่แล้วอย่าง realme 11 Pro+ มาอยู่พอสมควรเลยล่ะครับ โดยได้เปลี่ยนชิปเซตจากค่าย MediaTek ที่เป็น Dimensity 7050 (แบบที่เราเห็นจากอีกแบรนด์) มาใส่เป็น Qualcomm Snapdragon 7s Gen 2 แทน (อย่าเพิ่งสับสนกับ Snapdragon 7+ Gen 2 นะครับ เจ้านั้นบั๊กของจริง แรงเกินเหตุ) แต่ว่า Snapdragon 7s Gen 2 เป็นชิปเซตของสมาร์ตโฟนที่เป็นระดับกลาง ๆ เน้นด้านการใช้งานทั่วไป ในขณะที่ยังพอใช้เล่นเกมได้อยู่บ้างเล็กน้อยด้วยครับ แต่ว่าสามารถรีดประสิทธิภาพได้ดีกว่า Dimensity 7050 อย่างแน่นอน สังเกตได้ตั้งแต่การใช้งานทั่วไปที่ถือว่าลื่นไหล และการเล่นเกมด้วยเลย ส่วนนี้เดี๋ยวเราค่อยมาว่ากันทีละส่วนนะครับ

ขอเริ่มที่การวัดคะแนนกันก่อน โดยการทดสอบ CPU ผ่าน Geekbench 6.3.0 ได้คะแนน Multi-Core อยู่ที่ 2,800 คะแนน และคะแนน Single-Core อยู่ที่ 940 คะแนน และทดสอบกราฟิกผ่าน 3DMark ชุด Wild Life Stress Test คะแนนสูงสุดจะอยู่ที่ 3,088 คะแนน และต่ำสุดที่ 3,078 คะแนน ความนิ่งของคะแนนอยู่ที่ 99.7% และอุณหภูมิสูงสุดอยู่ที่ 35 องศาครับ ถ้าเทียบหมัดต่อหมัดกับ Dimensity 7050 จะถือว่าเอาชนะได้อยู่พอสมควร แต่ก็ยังไม่อาจจะขึ้นไปชนะ Snapdragon 7 Gen 3 ซึ่งเป็น CPU เจนใหม่ได้นะ

Disclaimer : realme 12 Pro+ 5G รุ่นที่เรารีวิวอยู่นั้นเป็นรุ่นที่ให้ RAM ขนาด 12GB และหน่วยความจำ 512GB ซึ่งเป็นตัวท็อปของรุ่นนี้นะ

ลองดูกราฟเปรียบเทียบคะแนนของ CPU ทั้ง 3 รุ่น ในเรตราคาที่ใกล้กันนี้ดูครับ

เปรียบเทียบคะแนน Benchmark

คะแนนยิ่งสูง ยิ่งดี

ส่วนสเปกภายในอื่น ๆ ที่เข้ามาเสริมกันก็ให้มาไม่น้อยหน้าเจ้าอื่น ๆ ในตลาดนะ ทั้ง RAM ขนาด 8GB หรือ 12GB LPDDR4X และหน่วยความจำขนาด 256GB หรือ 512GB แบบ UFS 3.1 ที่เร็วกว่าหลาย ๆ รุ่นที่อาจจะให้มาเป็นแค่ Version 2.1 ด้วย ดังนั้นถ้ามองในมุมการใช้เป็นสมาร์ตโฟนเพื่อใช้งานทั่วไปแล้ว realme 12 Pro+ นั้นยิ่งกว่าสอบผ่านซะอีกครับ

แต่ถ้าเป็นการลงสนามเล่นเกมจริง อย่าง Genshin Impact ที่เราได้ปรับการตั้งค่าสูงสุดทั้งหมด ตั้งค่า 60FPS แล้ว ตัวเครื่องแจ้งว่าจะได้เฟรมเรตอยู่ที่ไม่เกิน 30FPS เท่านั้น แต่ยังเกาะ ๆ ที่หลัก 28-29 FPS ครับ ซึ่งแม้เราจะปรับการตั้งค่าลงไปบ้างแล้ว แต่เฟรมเรตก็ยังเกาะอยู่ที่ประมาณเดิม แต่ความนิ่งของเฟรมเรตจะมากขึ้นแทนครับ ซึ่งเราก็แนะนำให้ปรับลดการตั้งค่าลงมาสักหน่อย จะช่วยให้สามารถเล่นได้ไม่ปวดหัวมากขึ้นแน่นอนครับ

ในภาพรวมแล้ว ชิปเซต Qualcomm Snapdragon 7s Gen 2 ไม่ใช่ชิปเซตที่แย่เลยครับ อาจจะดีกว่าสมาร์ตโฟนบางรุ่นในเรตราคาเดียวกันด้วยซ้ำ แต่ว่าก็ไม่ได้เป็นชิปที่แรงที่สุดในเรตราคาเดียวกันเหมือนกัน เรียกว่าเป็นตรงกลางของเรตราคาเลยก็ว่าได้ครับ ดังนั้นถ้าคาดหวังจะซื้อ realme 12 Pro+ 5G มาเพื่อเล่นเกมด้วย ถามว่าทำได้ไหม ก็คงได้ครับ แต่ก็อาจจะยังติดขัดเล็กน้อย แต่ถ้าอยากได้สมาร์ตโฟนที่ถ่ายรูปได้ดีด้วย และเล่นเกมพอไหวด้วย ก็ค่อนข้างตอบโจทย์อยู่นะ

แบตเตอรี่

แบตเตอรี่ของ realme 12 Pro+ 5G ให้มาที่ 5,000 มิลลิแอมป์ และชาร์จได้เร็วสุดที่ 67W SUPERVOOC ครับ อาจจะเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างเยอะดีเลย แต่ตัวเลขนี้จริง ๆ ยังถือว่าน้อยกว่าในรุ่นที่แล้วที่ให้มา 100W นะ แต่ในขณะเดียวกัน ตัวเลขการชาร์จแบตเตอรี่ที่ 67W ก็ใช่ว่าเป็นตัวเลขที่น้อยเลยนะ นี่ก็ถือว่าให้มาค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว ผู้เขียนได้ลองจับเวลาการชาร์จแบตเตอรี่มา โดยสามารถชาร์จจาก 3% – 80% ได้ใน 41 นาที และปล่อยชาร์จต่อจนถึง 100% ได้ในประมาณ 58 นาทีเท่านั้นเอง โอเคว่าอาจจะไม่ได้เร็วมากจนน่าตกใจ แต่ด้วยความเร็วระดับนี้ ก็ถือว่าเร็วมากโดยที่ไม่ต้องรอนานมากนักครับ

ส่วนอายุการใช้งานของแบตเตอรี่นั้น ด้วยการทำงานของตัวเครื่องทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ถือว่าให้อายุการใช้งานของแบตเตอรี่อยู่ที่ระดับกลางค่อนสูงครับ โดยเราได้ชาร์จแบตเตอรี่จนเต็ม แล้วใช้งานรวด 12 ชั่วโมง โดยใช้งานทั่วไป เล่นโซเชียลทั่ว ๆ ไป (Screen On Time ที่ 4 ชั่วโมง 5 นาที) และยังมีแบตเตอรี่เหลือกลับบ้านที่ 17% อีกด้วยนะครับ อาจจะไม่ได้อึดมาก ๆ แบบที่เราเห็นกันในสมาร์ตโฟนบางรุ่น แต่ก็ไม่ได้น้อยจนรู้สึกว่าแบตเตอรี่ไม่พอแต่อย่างใด

สรุปส่งท้าย

ต้นบทความผมได้พูดถึงคำตอบยาวของคำถามที่ว่า สมาร์ตโฟนราคาประมาณ 14,000 บาท ทำไมถึงให้สเปกมาแน่นขนาดนี้ คำตอบของคำถามนั้นก็คือ สเปกภายในส่วนอื่น ๆ ที่โดนลดทอนลงมาบ้างนั่นเองครับ ทั้งกล้องถ่ายภาพมุมกว้างที่ให้มา 8 ล้านพิกเซล, หน้าจอที่ยังให้แสงสว่างไม่มาก และเหมือนจะยังไม่รองรับ HDR, สเปกภายในที่ไม่ได้ใช้ CPU เจนใหม่ แต่ยังสามารถใช้งานได้โอเค และแบตเตอรี่ที่ลดอัตราการชาร์จไวจาก 100W มาเหลือแค่ 67W เท่านั้น ทุก ๆ จุดดูจะมีการปรับออกไปทั้งหมดเลย

แต่ต่อให้ส่วนอื่น ๆ จะมีการปรับไปเท่าไหร่ก็ตาม เราก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า realme 12 Pro+ 5G นั้นให้กล้องที่สำคัญมาแน่นจริง ๆ ทั้งกล้องถ่ายภาพหลักที่ให้เซนเซอร์เรือธง (ปีที่แล้ว) อย่าง Sony IMX890 และกล้องซูม Periscope ที่ไม่รู้จะหาราคาเปิดตัวได้ถูกขนาดนี้ได้อีกหรือเปล่าด้วย และคุณภาพที่ออกมาก็เป็นคำตอบที่ชัดเจนเลยว่า realme 12 Pro+ 5G นี้เกิดมาเพื่อใครกันแน่

ผมตอบคำถามของคำถามยาวเหล่านี้มาแล้ว ผมว่าคุณผู้อ่านทุก ๆ ท่านเองก็คงจะสามารถตอบคำถามได้แล้วเหมือนกันว่า realme 12 Pro+ 5G รุ่นนี้เหมาะกับฉันหรือเปล่า ถ้าสิ่งที่ต้องแลกมาจากสมาร์ตโฟนรุ่นอื่น ๆ ในตลาด เพื่อกล้องที่ดีระดับนี้คุ้มค่ากันแล้ว realme 12 Pro+ 5G เครื่องนี้ก็น่าจะเป็นคำตอบของคุณแล้วครับ

มาพูดเรื่องราคาปิดท้ายกันหน่อยดีกว่า realme 12 Pro+ 5G วางจำหน่ายที่ 2 ความจุเท่านั้นครับ โดยรุ่นความจุ 8+256GB นั้นวางจำหน่ายที่ราคา 13,999 บาท และรุ่นความจุ 12GB+512GB ที่เรารีวิวกันอยู่นี้จะวางจำหน่ายที่ 16,999 บาทเท่านั้น (เป็นราคาเปิดตัวที่ถูกกว่าใน realme 11 Pro+ เมื่อปีที่แล้วซะอีกนะครับ) ถ้าให้มองในมุมของผู้เขียนแล้ว ถือว่าเป็นสมาร์ตโฟนที่ให้ความคุ้มในด้านการเป็นกล้องถ่ายภาพมาก ๆ และถ้าการถ่ายภาพ (โดยเฉพาะการถ่ายภาพสตรีตและผสมการถ่ายคนอีกสักหน่อย) คือเป้าหมายในการซื้อสมาร์ตโฟนของคุณแล้วล่ะก็ realme 12 Pro+ 5G คือตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว

ช่องทางการสั่งซื้อ :