รีวิว ‘Fitbit Charge 5’ สายรัดข้อมืออัจฉริยะ เพื่อนักวิ่งมืออาชีพ
Our score
9.0

Fitbit Charge 5

จุดเด่น

  1. เหมาะสำหรับสายออกกำลังกายแบบสุด ๆ เพราะมีฟีเจอร์การวัดโซนการออกกำลังกาย เตือนเมื่อปรับโซน พร้อมบันทึกในแอป
  2. ดีไซน์ที่ดูเรียบหรู แต่ยังพร้อมสำหรับการออกกำลังกายจริง
  3. ใส่แล้วให้ความรู้สึกเหมือนริสแบรนด์ ทำให้ใส่สบายจนบางทีรู้สึกเหมือนไม่ได้ใส่ (โดยเฉพาะกับคนใส่นาฬิกาเป็นประจำอยู่แล้ว)
  4. แอปในสมาร์ตโฟนมีประโยชน์มากกว่าสมาร์ตวอทช์รุ่นอื่น ๆ ในท้องตลาด ข้อมูลนำไปใช้จริงได้
  5. กันน้ำได้ลึกถึง 50 เมตร ทำให้ใส่ว่ายน้ำได้ ใส่ออกกำลังกาย โดนเหงื่อได้เต็มที่
  6. แบตเตอรี่ทนมาก หลังจากใช้งานเต็มที่มากว่า 3 วันแล้ว แบตเตอรี่ยังลดไปไม่ถึง 30% เลย

จุดสังเกต

  1. ยังคงไม่รองรับภาษาไทย แม้ว่าจะผ่านมาซักพัก และมีอัปเดตภาษาไทยสำหรับสมาร์ตวอทช์บางรุ่นของ Fitbit แล้ว แต่รุ่นนี้ยังไม่รองรับ
  2. ขนาดหน้าจอที่อาจจะเล็กไปสักหน่อย แต่ไม่ได้มองเห็นยากจนเกินไป
  3. หน้าปัดของนาฬิกาที่ไม่สามารถดาวน์โหลดมาติดตั้งเพิ่มได้แบบง่าย มีจำนวนหน้าปัดจำกัด
  4. ต้องใช้สายนาฬิกาของตัวเอง ไม่สามารถใช้สายมาตรฐานในท้องตลาดได้
  5. ระบบ Premium ที่อาจจะราคาแพงมากไปหน่อยสำหรับผู้ที่ไม่ได้ใช้งาน
  • คุณภาพวัสดุ

    9.5

  • คุณภาพหน้าจอ

    9.0

  • ความเหมาะสมสำหรับผู้ออกกำลังกาย

    9.5

  • ความเหมาะสมสำหรับผู้ใช้ทั่วไป

    8.5

  • ความคุ้มค่า

    8.5

หลังจากที่ฟิตบิต (Fitbit) บริษัทผลิตสมาร์ตวอทช์ชั้นนำได้เปิดตัวสายรัดข้อมืออัจฉริยะรุ่นใหม่ล่าสุด ‘Fitbit Charge 5’ พร้อมฟีเจอร์ต่าง ๆ มากมายที่สายออกกำลังกายจะต้องชอบอย่างแน่นอน แล้ววันนี้ เราจะมาแบไต๋ รีวิวกันให้ชัดเจนเลยว่าสายรัดข้อมือ (ที่เป็นนาฬิกาด้วย) รุ่นใหม่นี้ มีดีอย่างไรบ้าง !

สเปกและดีไซน์โดยภาพรวม

  • ขนาดตัวเรือน 36.7 x 22.7 x 11.2 มม. น้ำหนัก 28 กรัม (รวมสายแล้ว) พร้อมมาตรฐานกันน้ำ 5ATM (หรือดำน้ำได้ลึกกว่า 50 เมตร สามารถใส่ไปล้างมือ, ตากฝน, ล้างรถ, อาบน้ำ, ว่ายน้ำ รวมถึงออกกำลังกายได้อย่างดี)
  • จอสีสัมผัส AMOLED 1.04 นิ้ว (0.86×0.58px) ความสว่าง 450nits อัปเกรดจากเดิมที่เป็นแค่จอสีขาวดำเท่านั้น
  • เซนเซอร์ และส่วนประกอบอื่น ๆ ภายในเครื่อง
    • เครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจแบบ Optical (ใช้แสง)
    • แอคเซเลอโรมิเตอร์ (Accelerometer) หรือเครื่องวัดความเร็วแบบ 3 แกน
    • มี GPS + GLONASS ในตัว
    • เซนเซอร์สีแดงและอินฟราเรดสำหรับการตรวจวัด SpO2 หรือระดับออกซิเจนในเลือด
    • เซนเซอร์วัดอุณหภูมิอุปกรณ์
    • มอเตอร์สั่น
    • เซนเซอร์ตรวจจับแสง
    • รองรับ Bluetooth 4.0
    • มี NFC สำหรับใช้งาน Fitbit Pay
    • มีเซนเซอร์ไฟฟ้าอเนกประสงค์ที่ใช้ร่วมกับแอป ECG และแอป EDA Scan
  • อายุการใช้งานแบตเตอรี่ทั่วไป 7 วัน (Standby ไม่เปิดจอ ได้ 10 วัน) ใช้เวลาในการชาร์จต่อรอบ 2 ชั่วโมง
  • รองรับการบันทึกข้อมูลการเคลื่อนไหวโดยละเอียด 7 วัน และบันทึกยอดรวมรายวันในช่วง 30 วันที่ผ่านมา
  • รองรับการทำงานกับอุปกรณ์ iOS 12.2 หรือ Android 8.0 ขึ้นไป โดยเชื่อมต่อผ่านแอป Fitbit
  • สีที่วางจำหน่าย Graphite/Black, Soft Gold/Lunar White, Platinum/Mineral Blue
  • ราคาขายในไทย 7,690 บาท

มาลองแกะกล่อง พร้อมชมดีไซน์ของ Fitbit Charge 5 นี้กันเลยดีกว่าครับ !

รูปทรงกล่องของ Fitbit Charge 5 ที่ขนาดไม่ใหญ่หรือเล็กจนเกินไป

Fitbit Charge นั้นเป็นหนึ่งใน Gadget ที่ให้ประสบการณ์ในการแกะที่ค่อนข้างดี และสร้างความประทับใจได้ตั้งแต่เริ่มแกะแพ็คเกจจิงเลยก็ว่าได้ เมื่อเราแกะกล่องออกมาจะมีอุปกรณ์ตามนี้เลยครับ

  • Fitbit Charge 5
  • สายข้อมือที่มีวิธีการใส่แบบใหม่ ที่เรียกว่า Infinity Band โดยในกล่องจะมีสายทั้งแบบสายสั้น (ไซซ์ S) และสายยาว (ไซซ์ L) เรียกได้ว่าคิดมาเผื่อสำหรับข้อมือทุกขนาดเลยทีเดียว !
  • สายชาร์จแบบแม่เหล็ก ที่สามารถชาร์จ Fitbit Charge 5 ได้ โดยที่ไม่ต้องถอดตัวเรือนออกจากสายรัดข้อมือ
  • คู่มือ และใบรับประกัน

ดีไซน์ของตัวเรือน จะเป็น ‘ดีไซน์แบบแอโรไดนามิกส์ที่เพิ่มสมรรถภาพและดีไซน์ทางวิศวกรรมสำหรับการสวมใส่แบบไร้รอยต่อ’ เหมือนที่ได้กล่าวไว้ตอนเปิดตัว โดยเมื่อนำมาใส่จริง ดีไซน์ที่ไร้รอยต่อนี่แหละ ที่เป็นนิยามที่ดีที่สุดของสายรัดข้อมืออัจฉริยะนี้ เพราะว่าเมื่อต่อสาย Infinity Band เข้ากับตัวเรือนแล้ว จะทำให้รูปทรงของตัวเรือนทั้งหมดนั้นเรียบเนียนเข้าด้วยกัน ไร้รอยต่ออย่างที่ว่าไว้จริงอย่างที่ว่าไว้เลย

อีกทั้ง สาย Infinity Band นี้สามารถถอดออกและเสียบเข้าไปใหม่ได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่กดที่ปุ่มปลดล็อกสายนาฬิกาใต้เรือนเท่านั้น ก็สามารถหาสายสีใหม่ ลายใหม่ที่เข้ากับเรามาใส่ได้เลย

ข้อต่อระหว่างสายข้อมือ และตัวเรือนของ Fitbit Charge 5 ที่สามารถกดปุ่มเพื่อถอดสายอย่างง่ายดาย

ด้วยรูปทรงที่ไร้รอยต่อจนเหมือนเป็นริสแบนด์ที่มีความอัจฉริยะมากขึ้น จึงทำให้ Fitbit Charge 5 นั้นสวมใส่ได้ค่อนข้างง่าย และใส่สบายได้ตลอดทั้งวัน จนบางครั้งรู้สึกเหมือนไม่ได้ใส่เลย ด้วยน้ำหนักรวมเพียงแค่ 28 กรัมเท่านั้น โดยเฉพาะกับผู้ที่ใส่นาฬิกาเป็นประจำอยู่แล้วเช่นผู้เขียน

Fitbit Charge 5 ที่ผู้เขียนได้รับมานั้น มาในสี Steel Blue / Platinum ด้วยสายของตัวเรือนเป็นวัสดุแบบยางที่ไม่ระคายเคืองผิว แต่ยังคงดูเรียบหรู สีออกน้ำเงินเข้มเล็กน้อย และตัวเรือนที่ทำมาจากสเตนเลสสตีล ทำให้ดูหรูหราเมื่อนำมาเข้าคู่กันอีกด้วย โดยเจ้า Fitbit Charge 5 นี้ยังมาในสีอื่นอย่าง Black / Graphite และ Lunar White / Soft Gold ด้วยนะ

Fitbit Charge 5 ที่ต่อสายเรียบร้อยแล้ว จะเห็นได้ว่าสายข้อมือจะคล้องเข้าด้านใน เพื่อให้รูปลักษณ์ภายนอกดูราบเรียบทั้งเส้น

หน้าจอของสายรัดข้อมือนี้ เป็นจอ AMOLED สีคมชัดที่มาพร้อม Always-On Display ในขนาด 1.04 นิ้ว สามารถแสดงผลหลายสิ่งหลายอย่างได้ในเรือนเดียวเลย ด้านข้างหน้าจอทั้งสองข้างมีแผ่นเหล็กที่สามารถใช้เพื่อวัดระดับความเครียดของเราได้ ซึ่งจะกล่าวถึงต่อไป

การเริ่มตั้งค่าใช้งานจริง

การเริ่มใช้งานสายรัดข้อมือนี้ก็ไม่ยากเลย เพียงแค่เรานำ FItbit Charge 5 นี้ไปต่อสายและชาร์จแบต เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ Fitbit Charge 5 นั้นเริ่มทำงาน จากนั้นก็เชื่อมต่อกับสมาร์ตโฟนไม่ว่าจะเป็น iOS หรือ Android ผ่านแอปพลิเคชัน Fitbit ใน App Store และ Play Store ได้เลย

เมื่อเราดาวน์โหลดแอป Fitbit แล้ว ให้ทำตามขั้นตอนที่แอปได้บอกไว้ จากนั้นก็เชื่อมต่อด้วยเลขที่ขึ้นบนหน้าจอของ Fitibit Charge 5 ก็เชื่อมต่อได้เลย !

เมื่อตั้งค่าเสร็จสิ้น ภายในแอปจะสอนการใช้งานเบื้องต้นให้กับเรา ซึ่งทำให้ไม่ต้องอ่านคู่มือก็สามารถเริ่มใช้งานได้อย่างคร่าว ๆ เลยนั่นเอง

เมื่อเข้ามาในแอปแล้ว จะเริ่มเข้าสู่การใช้งานจริง โดยจะมีหน้าตาแอปที่แตกต่างจากการเชื่อมต่อกับ Fitbit รุ่นอื่น ๆ นั่นก็คือการวัดการออกกำลังกายแบบ Zone Minitues ซึ่งเราจะพูดถึงต่อไป และนอกจากนั้นก็ยังมีหน้า Discover ที่จะมีทั้งวิธีการใช้งานให้เราได้เลือก ได้ใช้งานสายรัดข้อมือนี้ได้อย่างรอบด้านมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงความท้าทาย (Challenge) ที่ให้เราทำเป้าหมายตามเป้าที่ตั้งเอาไว้ให้ได้ตามที่แอปกำหนดไว้อีกด้วย และฟีเจอร์สุดท้ายก็คือ Community ที่จะให้เราได้เข้าไปร่วมวง ร่วมกลุ่มกับผู้ใช้ Fitbit ที่ชื่นชอบในการออกกำลังกายคล้าย ๆ กับเรา ชอบวิ่ง ชอบว่ายน้ำ ชอบปั่นจักรยาน หรือแค่ชอบเดิน ก็เลือกได้เลย !

การใช้งานตัวสายรัดข้อมือก็ไม่ยากเลย หน้าจอหลักของเราจะเป็นหน้านาฬิกา ซึ่งสามารถแตะที่หน้าจอเพื่อเปลี่ยนไปดูเป้าหมายอื่น ๆ ที่เราทำไปแล้วในวันนั้น ๆ (และจะรีเซตทุก ๆ เวลาเที่ยงคืน) ได้ ประกอบไปด้วย ก้าวเดินที่เราไปแล้วในวันนั้น, อัตราการเต้นของหัวใจขณะนั้น, แคลลอรีที่เผาผลาญไปได้, ระยะทางที่เราเดินไปแล้ว และจำนวน Zone Minute ที่เราทำได้นั่นเอง

เมื่อสไลด์ไปทางซ้าย-ขวา จะมีฟีเจอร์อื่น ๆ อย่างเช่น การแจ้งเตือน, การออกกำลังกายประเภทต่าง ๆ ประกอบไปด้วย การวิ่ง ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ วิ่งบนลู่ ยกน้ำหนัก และการออกกำลังกายตามจังหวะ, ตั้งปลุก, จับเวลา และการวัดระดับความเครียด ด้วย EDA Scan ของเรา

ถ้าสไลด์จากข้างบนลงมา จะเป็นการตั้งค่าต่าง ๆ ภายในสายรัดข้อมือ ส่วนถ้าเลื่อนจากข้างล่างขึ้นมา จะเป็นการอธิบายเป้าหมายที่เราทำได้แล้วจนถึงปัจจุบัน รวมถึงปริมาณแบตเตอรี่ที่เหลืออยู่ในสายรัดข้อมือนั้น ๆ ซึ่งในรุ่นนี้จะไม่มีปุ่มใด ๆ มาให้นะครับ ถ้าจะย้อนกลับจากหน้าก่อนหน้า ให้ทำการสไลด์จากขอบจอทางซ้ายไปทางขวา เพื่อย้อนกลับแทน

การใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน

ต้องบอกตรงนี้ก่อนว่าสายรัดข้อมือนี้สามารถเป็นได้ทั้งนาฬิกาข้อมือ และสายรัดข้อมืออัจฉริยะที่คอยบอกข้อมูลต่าง ๆ ให้กับเราได้เสมอ โดยเริ่มจากการเป็นนาฬิกาที่คอยแจ้งเตือนให้กับเราอยู่ตลอด โดยเมื่อเชื่อมต่อแอปเข้ากับสมาร์ตโฟนของเราแล้วจึงเข้าไปตั้งค่าเชื่อมต่อการแจ้งเตือน โดยต้องเปิดบลูทูธอยู่ตลอด

การแจ้งเตือนผ่านสายรัดข้อมือ และหน้านาฬิกา

โดยการแจ้งเตือนในเจ้า Fitbit Charge 5 นี้ค่อนข้างทันสมัย เนื่องจากเราสามารถสไลด์ขึ้น เพื่อตอบข้อความต่าง ๆ ที่ผู้ส่งส่งมาได้เลย โดยที่ไม่ต้องหยิบสมาร์ตโฟนของเราออกมา ตอบเป็นคำพูดหรืออิโมจิที่คาดว่าจะเหมาะสมได้เลย

แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ ปัจจุบัน Fitbit Charge 5 นั้นยังไม่รองรับการแจ้งเตือนภาษาไทย ทั้งการแสดงผล และการตอบกลับด้วยข้อความ ดังนั้นการตอบกลับด้วยข้อความภาษาอังกฤษกับผู้ที่พิมพ์ภาษาไทยมาอาจจะยังทำไม่ได้ ต้องรอดูทาง Fitbit อัปเดตต่อไป

การแสดงผลภาษาไทยของ Fitbit Charge 5 ที่ยังไม่สามารถทำได้

ส่วนหน้าที่เป็นนาฬิกานั้นสามารถปรับได้กว่า 24 แบบ แต่ว่าทางผู้เขียนยังไม่สามารถหาทางเพิ่มหน้าปัดลายอื่น ๆ นอกจากนี้ได้ผ่านทางแอป Fitbit คาดว่าน่าจะมีช่องทางให้เพิ่มลายของนาฬิกาบนหน้าจอใหม่ได้ในอนาคต

เซนเซอร์ EDA พร้อมวัดระดับความเครียด ดึงสติเราให้กลับมาพร้อม

นอกจากนั้น Fitbit Charge 5 ยังสามารถใช้เซนเซอร์ EDA เพื่อวัดการตอบสนองของร่างกายต่อความเครียด ที่วัดจากการเปลี่ยนแปลงของต่อมเหงื่อบริเวณนิ้วมือ วิธีการใช้ก็ง่ายมาก เพียงแค่เลื่อนไปทางขวา แล้วเลือกที่ EDA Scan แตะที่หน้าจอ จากนั้นก็จะให้จับที่ขอบด้านข้างของตัวเรือนทั้ง 2 ข้าง และจะสามารถวัดระดับความเครียดของเรา พร้อมให้คะแนนที่ละเอียดในแอป Fitbit ของเราได้เลย

ขณะวัดความเครียด ก็ต้องจับตัวเรือนไว้ให้มั่นแบบนี้เลย

เมื่อวัดความเครียดจนครบ 3 นาที ก็จะสามารถเข้ามาดูรายละเอียดระดับของสติของตัวเรา ซึ่งจะมีข้อมูลบอกอยู่สำหรับแต่ละ Session ที่เราทำการวัดระดับสติ อย่างเช่น เวลาที่เราทำการวัดไป อัตราการเต้นของหัวใจที่เปลี่ยนไป และจะวัดระดับความเครียดจากเซนเซอร์ EDA (Electrodermal Activity) หากอยู่ในระดับที่มีความเครียดมากจนเกินไป Fitbit ก็จะแนะนำการจัดการความเครียดด้วยวิธีต่างๆ เช่น ฝึกหายใจ ฝึกสมาธิ หรือให้นอนให้เร็วขึ้น เป็นต้น

ถ้าเรายังสงสัยเรื่องการทำงานของเซนเซอร์ EDA ใหม่นี้ เราก็สามารถรับชมวิดีโออธิบายในแอปได้เลย จากเมนู Mindfulness ที่อยู่ถัดลงมาด้านล่างของหน้าหลักแอป Fitbit

และวิดีโอบางตัว จะสามารถดูเพิ่มเติมได้เฉพาะผู้ที่สมัคร Fitbit Premium บริการพรีเมียมของทาง Fitbit ที่จะเพิ่มคุณสมบัติอีกหลายอย่างให้แก่แอป Fitbit ของเราได้

บันทึกการนอนหลับได้ง่าย ๆ ด้วยฟีเจอร์ Sleep Score

หากเราใส่ Fitbit Charge 5 ระหว่างที่เรานอนหลับ Fitbit Charge 5 จะวัดคะแนนการนอนหลับของเรา เพื่อตรวจสอบว่าเรานอนหลับไปกี่โมง และเข้าสู่ช่วงการนอนหลับแบบไหนบ้าง เช่น ช่วงสะดุ้งตื่น ช่วงนอนหลับลึก นอนหลับตื้น และ REM Sleep ซึ่งเป็นช่วงที่กล้ามเนื้อต่างๆ หยุดทำงานหมดยกเว้น หัวใจ กะบังลม กล้ามเนื้อตาและกล้ามเนื้อเรียบ เป็นช่วงการพักผ่อนที่ดีที่สุดนั่นเอง ซึ่งแต่ละวัน ในแอป Fitbit ก็จะมีคะแนนการนอนหลับมาบอกเราในทุก ๆ เช้า ในคืนที่เราใส่เจ้า Fitbit Charge 5 นอนนั่นเอง

การใช้งานเพื่อออกกำลังกาย

สำหรับ Fitbit Charge 5 แล้ว ฟีเจอร์ด้านการออกกำลังกายนั้นนับเป็นจุดเด่นของเขาเลยก็ว่าได้ เนื่องจากว่าเป็นสายรัดข้อมือที่ออกแบบมาเพื่อการใช้ออกกำลังกายโดยเฉพาะ และด้วยโหมดการออกกำลังกว่า 20 แบบ และยังมีระบบตรวจจับการออกกำลังกายอัตโนมัติ และค่าประมาณ V02 max อีกด้วย

แต่ว่า แค่การมานั่งอ่านฟีเจอร์ที่มีให้คงไม่พอ เราลองไปออกวิ่งจริงกันเลย !

วิธีการเริ่มก็ง่ายมาก ๆ เพียงแค่เราเลื่อนไปทางซ้าย จากนั้นก็แตะที่ Running แล้วกดเริ่ม แค่นั้นเราก็เริ่มวิ่งได้แล้ว ! โดยระหว่างวิ่งก็จะสามารถดูข้อมูลสำคัญสำหรับนักวิ่งอย่างเช่น Zone ซึ่งจะบ่งบอกระดับการเต้นของหัวใจเรา เมื่อเทียบกับคนอายุเท่าเรา ซึ่งเมื่ออยู่ในโซนที่พอเหมาะ Fitbit Charge 5 ก็จะแจ้งเตือนเราว่าตอนนี้อยู่ในระดับที่พร้อมเผาผลาญไขมันแล้วนะ รวมถึงบอกว่าเราอยู่ในโซนนั้นมานานกี่นาทีแล้วอีกด้วย

ในขณะเดียวกันก็จะบอกว่าเราวิ่งเป็นระยะทางเท่าไหร่, Pace หรือเวลาที่ใช้ในการวิ่งให้ได้ 1 กิโลเมตรนั้นอยู่ที่กี่นาที, แคลลอรี/ไขมันที่เผาผลาญไปแล้ว และเมื่อเราวิ่งเสร็จ ก็จะมีข้อมูลสรุปมาให้เราดูอีกรอบ พร้อมบันทึกรายละเอียดทั้งหมดลงไปในแอป Fitbit ของเราอีกด้วยนะ

หลังจากเราวิ่งเสร็จ ก็สามารถกดเข้ามาดูรายละเอียดหลังจากวิ่งเสร็จแล้วในแอป Fitbit ของเราได้เลย โดยในนั้นก็จะสรุปสิ่งที่เราเห็นใน Fitbit Charge 5 พร้อมบันทึกข้อมูลการออกกำลังกายของเราไปรวมอยู่ในการออกกำลังกายทั้งหมดในแต่ละวันของเรา ว่าตรงเป้าแล้วหรือยังนั่นเอง

นอกจากนั้น หลังเราวิ่งเสร็จ ยังสามารถแชร์ผลการวิ่งของเราลงไปในโซเชียลมีเดีย ซึ่งมีภาพให้แชร์ได้ถึง 4 รูปแบบเลยด้วยนะ

ทั้งหมดทั้งมวลนี้ สามารถใช้งานจริงได้ ได้ข้อมูลที่มากจนเหมือนกับเราวิ่งบนลู่วิ่ง แต่สามารถออกไปวิ่งบนพื้นที่จริงได้ แถมยังสามารถคาดการณ์การวิ่งของเราได้อย่างละเอียด ว่าเราควรจะวิ่งให้เร็วขึ้น หรือช้าลง เพื่อให้อัตราการเต้นของหัวใจเราไม่มากหรือน้อยจนเกินไปได้อีกด้วยนะ เหล่านักวิ่งทั้งหลาย จะต้องชอบฟีเจอร์การออกกำลังกายนี้อย่างแน่นอน !

ทำความรู้จักกับ Fitbit Premium

Fitbit Premuim เป็นบริการเสริมพิเศษของทาง Fitbit ที่จะเปลี่ยนให้สายรัดข้อมืออัจฉริยะของเรา กลายเป็นเทรนเนอร์ส่วนตัวของเราได้ ด้วยฟีเจอร์ที่เพิ่มเจ้ามาจำนวนมาก ในทุก ๆ ฟีเจอร์ที่เราได้กล่าวเอาไว้ก่อนหน้านี้ โดยทาง Fitbit นั้นได้ให้ทุกคนที่ซื้อ Fitbit Charge 5 ได้ใช้งานระบบ Fitbit Premium นี้นานถึง 6 เดือน แบบฟรี ๆ กันไปเลย ! เพื่อให้เราได้ทดลองใช้งานอย่างเต็มที่ก่อนที่จะเป็นระบบสมัครสมาชิก โดยค่าสมาชิกนั้นอยู่ที่เดือนละ 9.99 เหรียญ หรือประมาณ 330 บาท

โดยฟีเจอร์ที่เพิ่มมานั้นประกอบไปด้วย การวัดความพร้อมในการออกกำลังกายแต่ละวัน, เครื่องมือวิเคราะห์และจัดการความเครียด, กิจกรรมการรวบรวมสติกว่า 45 แบบ, คะแนนการนอนที่ละเอียดขึ้นกว่าเดิม (เช่นการเต้นของหัวใจระหว่างนอน หรือปริมาณออกซิเจนระหว่างนอน), วิดีโอสอนออกกำลังกายกว่า 150 แบบ, สูตรอาหารแบบวิดีโอที่พร้อมให้ทำตามจำนวนมาก, แผงควบคุมด้านสุขภาพภายในแอปที่ละเอียดขึ้น, การวิเคราะห์ข้อมูลส่วนตัวเชิงลึกในทุก ๆ วัน, รายงานความสบายดีของร่างกายตามเทรนด์ของสุขภาพ และความท้าทายแบบกำหนดเองเพื่อให้คุณ และเพื่อนของคุณได้เล่นกัน !

โดยส่วนตัวแล้วฟีเจอร์ที่ผู้เขียนชอบและได้ใช้บ่อยสุดก็คือการนอนหลับ โดยข้อมูลที่เพิ่มเติมมาจากการเป็นสมาชิกพรีเมียมนั้น จะมีการแจกแจงข้อมูลการนอนเป็นส่วน ๆ เช่นเวลาที่เรานอนหลับทั้งหมด เวลาที่เราหลับลึกและอยู่ช่วง REM Sleep และการพักผ่อน รวมถึงอัตราการเต้นของหัวใจระหว่างนอนหลับ และระดับออกซิเจนขณะที่เรากำลังนอนหลับอยู่ พร้อมอธิบายว่าที่เป็นแบบนี้ดีแล้วหรือยัง ปรับแต่งอย่างไรได้บ้าง และควรทำอย่างไรถึงจะนอนหลับได้อย่างดี ซึ่งเหมือนมีผู้ดูแลตั้งแต่เช้าถึงเข้านอนเลยทีเดียว

ซึ่งอีกอย่างที่ผู้เขียนชอบ ก็คือวิดีโอสาธิตการออกกำลังกายให้ทำตาม และวิดีโอสอนทำอาหารตาม ซึ่งสามารถเข้าไปดูได้ในแอปเดียวกัน รวมถึงทำตามได้อย่างไม่ยากเย็น เหมือนกับมีเทรนเนอร์ส่วนตัว คอยสอนเราออกกำลังกายไปด้วยเลย

แต่ส่วนตัวของผู้เขียนมองว่าเป็นการปิดกั้นบางฟีเจอร์มากเกินไปหน่อย โดยเฉพาะการเก็บข้อมูลการนอนหลับ ที่ไม่น่าจะมีฟีเจอร์ไหนที่ควรล็อกไว้ แต่กลับล็อกฟีเจอร์อย่าง การเต้นของหัวใจระหว่างนอนหลับ และระดับออกซิเจนในเลือดระหว่างนอนหลับ ถึงแม้ว่าจะมีลูกเล่นที่เพิ่มขึ้นจนเหมือนมีเทรนเนอร์ส่วนตัว ที่วิดีโอสาธิตการออกกำลังกายมีประโยชน์มาก แต่ว่าการสมัครสมาชิกเดือนละ 330 บาท อาจจะมากเกินสำหรับผู้ที่ไม่ได้ใช้งานมากนัก ส่วนสำหรับสายออกกำลังกาย สมาชิก Premium ก็มีประโยชน์ไม่น้อยเลยนะ

สรุปและราคา

Fitbit Charge 5 เป็นสายรัดข้อมืออัจฉริยะที่มีความรอบด้าน (Well-Round) มาก ๆ สำหรับการใส่เพื่อเป็นสมาร์ตวอตช์ระดับเริ่มต้น และสำหรับใส่เพื่อออกกำลังกาย เนื่องจากข้อมูลด้านการออกกำลังกายนั้นละเอียดมาก มีข้อมูลที่มากพอที่นักวิ่งมืออาชีพสามารถนำไปใช้ประโยชน์เพื่อปรับการวิ่ง หรือการออกกำลังกายแบบอื่น ๆ ได้ง่าย ๆ เลย แต่อาจจะมีข้อสังเกตที่ขนาดหน้าจอที่เล็กไปสักเล็กน้อย แต่ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการมองเห็นมากนัก เนื่องจากจอที่เป็น AMOLED นั้นมีความคมชัดมาก มองเห็นได้ง่าย จึงยังเหมาะสมกับการใส่เพื่อเป็นสมาร์ตวอทช์ได้

สุดท้ายคือเรื่องของราคา Fitbit Charge 5 นั้นสนนราคาอยู่ที่ 7,690 บาท โดยจะได้รับสมาชิก Fitbit Premium ฟรีถึง 6 เดือน มูลค่ากว่า 1,980 บาทเลยทีเดียว ! ส่วนถ้าต้องการสมัครสมาชิกต่อ ค่าใช้จ่ายอยู่ที่เดือนละ 330 บาทนั่นเอง

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส