รีวิวเกม Splatoon 3 สงครามสาดสีน้ำหมึกฉบับอัปเกรด
Our score
9.0

Splatoon 3

จุดเด่น

  1. โหมดเล่นคนเดียวสนุกกว่าเดิม
  2. ระบบออนไลน์ยังคงยอดเยี่ยม

จุดสังเกต

  1. กราฟิกเหมือนกับภาค 2
  2. โหมดหลักยังเหมือนเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก

Nintendo ขึ้นชื่อว่าเป็นค่ายที่ชอบคิดต่างจากชาวบ้าน ทำให้เกมที่สร้างจากปู่นินจะเต็มไปด้วยไอเดียที่สดใหม่ เช่นเกมยิงปรกติจะใช้ปืนไล่ยิงกัน แต่ของ Nintendo เปลี่ยนมาเป็นการยิงน้ำหมึกสาดสีใส่กันแทน จนกำเนิดเป็นซีรีส์ใหม่อย่าง Splatoon วางขายในปี 2015 บน WiiU

และเนื่องจากมันประสบความสำเร็จทำให้มีการสานต่อภาค 2 บน Nintendo Switch ในปี 2017 ที่แม้จะได้รับเสียงวิจารณ์ว่ามันไม่ได้เปลี่ยนไปมากนักหากดูแค่ภายนอก แต่เมื่อได้สัมผัสก็เพิ่มเติมหลายส่วนรวมทั้งการเอาไปเล่นนอกบ้านได้ทำให้มันขายดีกว่าเดิม ทำให้มีการสร้าง Splatoon 3 วางขายในปี 2022 บน Switch เหมือนเดิม

เรื่องราวใน Splatoon 3 จะเปลี่ยนสถานที่ไปเกิดขึ้นใน Splatlands ดินแดนทะเลทรายที่เหล่า Inklings และ Octolings ต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด รวมทั้งเมือง Splatsville ที่ดูแตกต่างจาก 2 ภาคแรกอย่างมาก ในโหมดเล่นคนเดียวจะมาพร้อมกับการมาของสัตว์กลายพันธุ์ขนยาวที่ทำให้ตัวร้ายในภาคนี้อย่าง octarians มาพร้อมกับเส้นขนที่ดูแปลกแต่ยังคงน่ากลัวเหมือนเดิม

กราฟิกเหมือนเดิมแต่ลื่นไหลดี

สิ่งที่อาจจะทำให้แฟน ๆ ต้องผิดหวังเล็กน้อยเมื่อเห็นคือกราฟิกในเกมที่แทบจะถอดแบบมาจากภาค 2 ก็เข้าใจได้ว่ามันยังคงออกบน Nintendo Switch ที่น่าจะทำได้ดีที่สุดแค่นี้แล้ว แต่หากมองข้ามไปถือว่าไม่ได้เลวร้ายอะไรเลย รายละเอียดของตัวละครที่มาแนวการ์ตูนน่ารักก็ยังคงดูดีและคมชัด และที่ต้องชมคือความลื่นไหลในฉากหลักที่ยังคงทำได้ดีเหมือนเดิม แต่ในฉากเมืองยังคงพบปัญหาเฟรมเรตแต่ก็ไม่ได้เป็นส่วนสำคัญ

โดยรวมแล้วกราฟิกใน Spatoon 3 ยังคงไม่ได้ยกระดับให้ดูแตกต่างแต่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร เพราะซีรีส์นี้ภาพไม่ใช่เรื่องสำคัญอยู่แล้ว หันมามองที่เพลงประกอบที่ยังคงเดินตามรอย 2 ภาคแรกที่เต็มไปดนตรีธีมสนุกสนาน และมีความเป็น JPop แบบจัดเต็ม ที่การกลับมาครั้งที่ 3 ยังคงทำหน้าที่ของมันได้ยอดเยี่ยมมีดนตรีสนุก ๆ ที่ช่วยเสริมให้การทำสงครามสาดน้ำหมึกสนุกสนานกว่าเดิม แต่ภาคนี้ยังคงไม่มีเสียงพากย์ของตัวละครเหมือนเดิมซึ่งมันไม่ใช่ของเสียแต่มันเป็นเอกลักษณ์ของซีรีส์นี้ไปแล้ว

เกมเพลย์เหมือนเดิม

สำหรับผู้ที่ไม่เคยเล่น Splatoon มาก่อนขอเกริ่นสักหน่อย เกมเพลย์ของซีรีส์นี้จะเป็นเกมยิงมุมมองบุคคลที่ 3 ที่ผู้เล่นจะได้รับบทเป็นมนุษย์ปลาหมึก inkling และ octoling ที่จะใช้ปืนฉีดน้ำสาดสีโจมตีศัตรูและทำพื้นที่ และเราสามารถแปลงร่างเป็นปลาหมึกเพื่อดำดิ่งลงไปในน้ำหมึกที่เราสาดสีไปบนพื้นหรือกำแพงได้ และเมื่อเราดำอยู่ในน้ำหมึกจะมีความเร็วสูงมาก แต่ก็ต้องระวังเพราะหากไปโดนน้ำหมึกของทีมตรงข้ามก็จะพลังลดจนตายได้

ด้วยรูปแบบการดำน้ำหมึกทำให้ตัวละครเคลื่อนไหวได้หลากหลายไม่ว่าจะเป็นการไต่กำแพง หรือพุ่งตัวกระโดด ถือว่าเป็นไอเดียที่ยอดเยี่ยมที่ทำให้เกมยิงไม่มีความรุนแรง และยังเกิดเป็นรูปแบบการเล่นใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน และใน Splatoon 3 ยังคงใช้รูปแบบการเล่นเดิมทำให้ผู้ที่เคยเล่น 2 ภาคแรกมาก่อนไม่ต้องปรับตัวอะไรมาก แน่นอนว่าการบังคับในส่วนของมุมกล้องจะมีรองรับระบบจับการเคลื่อนไหวด้วย ซึ่งหากไม่ชอบก็ปิดได้เพราะการเล่นต้องมือนิ่งพอสมควรไม่งั้นมุมกล้องจะเปลี่ยนเร็วเกินไปจนเวียนหัวได้

โหมดเล่นคนเดียวสนุกกว่าเดิม

แม้ว่าการเล่นกับเพื่อนจะเป็นจุดเด่นของเกมยิง แต่โหมดเล่นคนเดียวใน Splatoon 3 ก็ทำได้โดดเด่นไม่แพ้กัน โดยในภาคนี้เราจะได้ต่อสู้กับสัตว์หน้าขน และได้ท่องไปในดินแดนใหม่ที่ถูกรุกรานในฉากจะเต็มไปด้วยสิ่งที่เป็นพิษที่ทำให้เรากลายเป็นสัตว์หน้าขนได้และจะตายต้องเริ่มใหม่ เราต้องรวบรวมเอาไข่ปลาแซลมอนมาเพื่อทำลายพิษให้หมดฉากและเพื่อปลดล็อกส่วนใหม่มาให้สำรวจ

และเมื่อเดินในฉากหลักที่เป็นเกาะจะพบกับทางเข้าฉากที่มารูปแบบเกมยิง ที่เราต้องออกไปต่อสู้กับตัวร้ายที่ภาคนี้จัดเต็มกว่าเดิมมาก ฉากมีความซับซ้อนที่เราต้องแก้ปริศนาหาทางไปต่อ ที่มีทั้งการค้นหากุญแจที่ซ่อนอยู่รวมทั้งใช้น้ำหมึกฉีดไปตามกลไกเพื่อปลดล็อกและเปิดทางไปต่อ ที่มีงานออกแบบปริศนาที่ดีกว่าภาค 2 รวมทั้งยังมีความยาวกว่าในแง่ของจำนวนฉากที่ซ่อนอยู่เกาะหลัก

และนอกจากด่านหลักแล้วยังมีความลับที่ซ่อนอยู่เพียบ ไม่ว่าจะเป็นไอเทมพิเศษ หรือมีฉากสั้น ๆ มาให้เล่นด้วย อีกส่วนที่ต้องชมคือบอสใน Splatoon 3 ที่มีความโหดพอตัว เพราะมีการโจมตีหลายรูปแบบ และเราต้องค้นหาจุดอ่อนเพื่อกำจัดมันที่มีความคล้ายเกมซีรีส์ Metroid Prime ไม่ได้ใช้อาวุธโจมตีโดยตรงแต่จะเน้นฝีมือและการค้นหาจุดอ่อนมากกว่า

แน่นอนว่าอีกส่วนที่เป็นจุดเด่นคือระบบอาวุธที่ในภาคนี้เพิ่มของใหม่มามากถึง 13 ชนิด มาให้เราใช้งานที่ในโหมดเล่นคนเดียวจะค่อย ๆ ปลดล็อกออกมาจากการเก็บไข่ปลาแซลมอน ที่ปืนแต่ละชนิดจะมีความสามารถแตกต่างกันมีทั้งปืนยิงไกล, ปืนคู่ที่เน้นความเร็วและยิงได้ต่อเนื่องแต่หมึกจะหมดเร็ว หรือแปรงทาสีหรือถังน้ำที่ไว้สาดใส่ระยะใกล้เปรียบเหมือนปืนยิงระยะประชิด หรือธนูก็มีมาให้ใช้งานถือว่าผสมผสานได้ลงตัวและยังมีระเบิดรวมทั้งระบบเก็บค่าพลังเพื่อใช้ท่าไม้ตายพิเศษที่มีพลังทำลายสูงมาให้ใช้งานด้วย

โหมดเล่นกับเพื่อนยังคงยอดเยี่ยม

อีกโหมดที่ต้องเล่นคือการแข่งกับเพื่อนแบบออนไลน์ ที่มีการใส่เข้ามาแบบจัดเต็มเช่นเดิมที่รู้จักกันดีในชื่อ Turf War ที่เราจะต้องลงสนามประลองแข่งกับเพื่อนที่แต่ละทีมจะมี 4 คน แต่การแพ้ชนะจะไม่ได้ขึ้นอยู่กับการฆ่าฟันกัน แต่จะนับผลแพ้ชนะกันตรงจำนวนสีที่สาดอยู่บนฉากว่าใครจะทำพื้นที่ได้มากกว่ากันในเวลาจำกัด ซึ่งแฟน ๆ Splatoon คุ้นเคยกันดี แน่นอนว่าผู้เล่นสามารถใช้อาวุธไล่ยิงทำสีในฉาก และยังมีการโจมตีด้วยอาวุธหลักรวมทั้งท่าพิเศษที่ช่วยเราทำพื้นที่ได้มากขึ้นมาให้ใช้งานด้วย ส่วนฉากก็มีการใส่เข้ามาทั้งของใหม่และฉากคลาสสิกเข้ามาให้เล่นกันด้วยรวมทั้งหมด 12 ด่านและจะมีการอัปเดตมาให้อีกในอนาคต

แน่นอนว่าภาคนี้มีส่วนของ Salmon Run มาให้เล่นกันด้วยที่ในโหมดนี้จะแตกต่างจากส่วนหลัก เพราะเราและเพื่อน ๆ จะต้องปกป้องฐานทัพของเราจากการบุกของปลาประหลาดที่กลายพันธุ์ และเราต้องออกไปค้นหาไข่ปลาแซลมอน ในฉากให้หมด และภาคนี้ฉากออกแบบมาได้ดีและซับซ้อนกว่าเดิม

แน่นอนว่าเราความดีงามของโหมดออนไลน์คือระบบล็อบบี้ที่ยังคงทำได้ยอดเยี่ยม การหาเพื่อนเล่นออนไลน์ยังทำได้ง่ายดายและสามารถเลือกผู้เล่นที่เข้ากับความสามารถเราด้วย รวมทั้งไฮไลท์ของเกมอย่างกิจกรรมงาน Splatfest ก็ยังคงอยู่ เสียดายเล็กน้อยที่ภาคนี้ยังไม่มีโหมดออนไลน์แบบใหม่หมด 100% มาให้เล่นในตอนนี้ แต่ผู้สร้างสัญญาว่าจะมีการอัปเกรดอีกในอนาคตแน่นอน

การกลับมาของสงครามสาดน้ำหมึกใน Splatoon 3 ทำได้ดีตามที่คาดหวังไว้ มีเกมเพลย์สนุกลื่นไหล โหมดเล่นคนเดียวก็มีความยาวพอสมควรเล่นได้ยาวนาน ส่วนโหมดออนไลน์ก็ทำได้ดีเหมือนเดิมแม้จะไม่ได้มีของใหม่เสริมเข้ามามากนัก แต่แค่นี้ก็ถือว่าทำได้ยอดเยี่ยมและเป็นอีกหนึ่งในเกมที่ไม่ควรพลาดหากคุณมี Nintendo Switch

https://www.youtube.com/watch?v=AOK8HpXo5g4

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส