เชื่อว่าหลาย ๆ คนที่เคยติดตามรายการ แบไต๋ไฮเทค มาแล้วก็น่าจะจำได้กับเรื่อง Bitcoin ที่เราได้เคยเล่ากันไปเมื่อช่วงปี 2014 ซึ่งเจ้า Bitcoin ถือว่าเป็น 1 ในค่าเงินแบบ Online ที่มีมูลค่าสูงมาก ๆ ในปัจจุบันและในช่วงปี 2014 นั้นสามารถขึ้นไปแตะที่ระดับเกือบ 40,000 บาทต่อ 1 Bitcoin เลยทีเดียว !! ซึ่งก่อนอื่นเลยเราก็จะขออธิบายถึงต้นกำเนิดของค่าเงิน ก่อนที่จะเข้าสู่ระบบของ Bitcoin เพื่อให้เข้าใจการทำงานของมันก่อนว่าทำไมเจ้าค่าเงินที่ไม่มีตัวตนจริง ๆ นี้จึงสามารถเป็นค่าเงินที่ใช้จ่ายกันได้ล่ะนี่ ?

Play video

ต้นกำเนิดของค่าเงิน (Currency)

แน่นอนว่าการกำเนิดของค่าเงินขึ้นมานั้น เพื่อเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้ากันแทนสินค้าที่บางครั้งทางผู้แลกไม่ได้ต้องการสิ่งนั้น ๆ ซึ่งในอดีตนั้นจะใช้โลหะมีค่าอย่างทองคำ ในการแลกเปลี่ยนตามกลไกของตลาด ซึ่งสาเหตุที่ใช้ทองนั้นเพราะเป็นโลหะมีค่าและเป็นสิ่งที่สามารถคงสภาพไว้ได้นาน จนกระทั่งทางรัฐบาลก็ได้มีการกำหนดค่าเงินออกมาให้เป็นเหรียญโดยนำทองคำมาแปรรูปเพื่อทำให้สะดวกในการแลกเปลี่ยนเพราะมันถูกกำหนดค่าเอาไว้แล้ว (และสะดวกในการเก็บภาษีกับเหล่าพ่อค้าอีกด้วย) และต่อมาเมื่อมีการแลกเปลี่ยนเป็นจำนวนมาก ๆ ก็ได้มีการสร้างเป็นตั๋วแลกเงินขึ้นมาเพื่อให้การแลกเปลี่ยนแต่ละครั้งสะดวกและปลอดภัยกว่าเดิม จนกลายเป็นธนบัตรในเวลาต่อมานั่นเอง และแน่นอนว่าจะต้องมีตัวกลางที่คอยรับแลกตั๋วแลกเงินนี้กับเงินจริง ๆ อยู่ตามแต่ละท้องที่ ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นธนาคารนั่นเอง

และหลังจากที่การซื้อขายแลกเปลี่ยนกระจายเป็นวงกว้างจนทำให้ทองคำไม่เพียงพอกับการใช้แลกเปลี่ยนอีกต่อไป ทางรัฐบาลของแต่ละประเทศจึงได้มีการสร้างค่าเงินของตัวเองขึ้นมาโดยกำหนดเอามูลค่าของค่าเงินขึ้นอยู่กับทองคำที่มีอยู่ในระบบมาเป็นแกนหลักในการตั้งมูลค่าของสกุลเงินตัวเองโดยให้ธนาคารกลางเป็นผู้คอยควบคุมไม่ให้เงินเฟ้อหรือฝืดเกินไป ซึ่งถ้าธนาคารกลางไม่สามารถควบคุมได้ดีพอ ก็จะส่งผลทำให้ระบบเศรษฐกิจล่มเลยทีเดียว

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือเงินสกุลดอลาร์ซิมบับเที่ 3 ที่ตอนนี้มูลค่าอยู่ที่ 1 บาทต่อ 284,182,104,340,114 ดอลล่าร์ซิมบับเวย์เท่านั้นเอง…

ที่มา: th.coinmill

การกำเนิดของ Bitcoin

แน่นอนว่าธนาคารนั้นมีหน้าที่ในการเก็บข้อมูลลูกค้าและรายการเดินบัญชีต่าง ๆ ที่กระทำเข้ามาผ่านหน้าหนังสือ Bookbank โดยทางธนาคารมีหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องของผู้เข้ามาทำรายการว่าเป็นเจ้าของหรือผู้ได้รับมอบอำนาจหรือไม่ เพื่อป้องกันการปลอมแปลง ซึ่งเรียกโครงสร้างแบบนี้ว่า Ledger System หรือ General Ledger

ซึ่งระบบแบบนี้กับเรา ๆ ท่าน ๆ ก็ไม่มีปัญหาอะไรซักเท่าไหร่ แต่พวกค้าของเถื่อน, ธุรกิจใต้ดินนั้นถือว่าเป็นระบบที่ค่อนข้างยุ่งยากเพราะสามารถตามตัวได้ง่ายและเสี่ยงต่อความปลอดภัยของพวกเขา ดังนั้นจึงได้มีหลาย ๆ คนที่พยายามสร้างสกุลเงินรูปแบบใหม่ที่ไม่จำเป็นต้องมีการตรวจสอบขึ้นมา ซึ่งแน่นอนว่าไม่เป็นที่นิยมแพร่หลายเพราะเงินเหล่านี้ไม่มีสินทรัพย์หรือทองคำมารองรับค่าเงิน ซึ่งผู้สร้างค่าเงินนั้นก็จะสามารถปั้มเงินออกมาได้เรื่อย ๆ ไม่จำกัดจนเกิดภาวะเงินเฟ้อและเสื่อมค่าลงอย่างรวดเร็ว (เงินสกุลดอลาร์ซิมบับเวที่ 3 ที่เฟ้อเละเทะก็เกิดจากสาเหตุนี้นั่นเอง) แถมยังไม่สามารถเชื่อใจองค์กรนั้น ๆ ได้อีกด้วย

ซึ่งในช่วงปี 2009 ณ ตอนนั้นเองก็ได้มีโปรแกรมเมอร์รายหนึ่งที่ใช้ชื่อ ID ว่า Satoshi Nakamoto ได้เสนอเงินออกมาในรูปแบบหนึ่งที่ไม่ต้องถูกควบคุมโดยรัฐบาลในชื่อ Bitcoin ซึ่งเงินตัวนี้เกิดจาก Algorithm การจำลองรูปแบบธนาคารกลางแบบกลับด้าน นั่นคือปกติทางธนาคารกลางจะเป็นผู้รับรองว่าเงินสกุลนี้มีมูลค่าเท่านั้นเท่านี้ แต่ Bitcoin นั้นจะให้ผู้ที่ถือเงินสกุลนี้เป็นผู้รับรองว่าเงินเหล่านี้มีมูลค่าเท่าไหร่แทน และจำนวนของ Bitcoin นั้นจะถูกบังคับว่าไม่เกิน 21 ล้านหน่วยเท่านั้น จึงไม่ทำให้เงินเฟ้ออย่างแน่นอน

มูลค่าของ Bitcoin เกิดจากอะไร?

Bitcoin นั้นถ้าดูตามรูปลักษณ์มันก็เหมือนเป็นเพียงตัวเลขชุดหนึ่งซึ่งเกิดจากการเชื่อมต่อกันแบบ P2P (เหมือนโหลดบิทนั่นแหละ) ผ่านเทคโนโลยี Blockchain ซึ่งในเครือข่ายก็จะมีการให้โจทย์มา 1 ก้อน โดยคำนวณจากผู้เชื่อมต่อในระบบ Bitcoin ณ ขณะนั้นและสร้างออกมา มีมูลค่า 50 BTC และลดลงครึ่งหนึ่งทุก ๆ 4 ปี (แน่นอนว่าตอนนี้เหลือเพียง 25 BTC แล้ว) ซึ่งเงินก้อนนี้เราจะขุดเองหรือการสร้าง Pool ขึ้นมาก็ได้ (ซึ่ง 99.99% จะใช้ระบบ Pool เพราะถ้าขุดเองบอกเลยว่าใช้เวลาเป็นปี ๆ กว่าจะขุดเสร็จ) โดย Pool คือกลุ่มคนที่เข้าไปทำการขุดโจทย์ตัวนั้น ๆ ซึ่งเครื่องใครที่คำนวณออกมาได้ไวก็จะได้จำนวน Bitcoin ไปมาก โดยการคำนวณจะคิดเป็น Hashrate ซึ่งแน่นอนว่าหากระบบนี้มีผู้ใช้เครือข่ายร่วมกันเกิน 51% ก็จะสามารถควบคุมได้ทุกอย่าง แต่ที่เขาไม่ทำเพราะว่ามันจะทำให้ระบบ Bitcoin ขาดความน่าเชื่อถือไปนั่นเอง (แถมใครจะสามารถ hack คอมเป็นแสน – ล้านเครื่องพร้อม ๆ กันได้ล่ะนี่ ? )

Bitcoin Program

ตัวอย่างหน้าตาของโปรแกรม Bitcoin

โดยเงิน Bitcoin ที่ถูกถอดออกมาได้จะเข้าสู่กระเป๋าเงินของเราโดยที่ทุกคนสามารถเห็นได้ว่าเงินเหล่านี้ได้มาอย่างไร แต่คนอื่นไม่สามารถถอดรหัสออกมาเพื่อใช้เงินตัวนี้ได้เพราะมีการเข้ารหัสชั้นสูงไว้ ผู้ที่ถอนเงินออกมาใช้ได้จะเป็นเพียงผู้ที่ถือ Private Key อยู่เท่านั้น และจะมี Pubilc Key ที่เราสามารถ Generate ได้เรื่อย ๆ สำหรับใช้ในการโอนเงินหรืออื่น ๆ ซึ่งแน่นอนว่าการทำสิ่งเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องมีการยืนยันตัวตนแต่อย่างใด (ทำให้ธุรกิจมืดเอามาใช้แลกเงินได้ง่ายมาก เช่นการสร้าง Virus Ransomware ที่เคยเป็นข่าวไปเมื่อไม่นานมานี้ก็เป็นอีก 1 ช่องทางการหาเงินของพวกใต้ดินนั่นเอง) และที่สำคัญคือ ถ้าใครพลาดทำ Private Key หายหรือหลุดก็เตรียมหมดตัวกันได้เลย

และมูลค่าของ Bitcoin เกิดจากความต้องการในตลาด ณ ขณะนั้น ซึ่งถ้ามีคนต้องการใช้มาก ราคาก็จะดีดตัวสูงขึ้นมาก แต่ถ้ามีคนต้องการใช้น้อย ราคาก็จะลดต่ำลงมาตามกลไกของตลาดโลกนั่นเอง

วิธีการหา Bitcoin หลัก ๆ มี 4 วิธีคือ

  1. ขุดโดยใช้โปรแกรมเฉพาะ ซึ่งจะใช้พลังจาก CPU และ GPU ในการขุด ซึ่งใครที่มี Hashrate ที่สูงก็จะได้ Bitcoin มาก (รายละเอียดตามด้านบน)
  2. นำเงินของเราไปแลกเป็น Bitcoin โดยร้านรับแลกออนไลน์ ซึ่งอัตราแลกเปลี่ยนขึ้นอยู่กับช่วงเวลานั้น ๆ โดย ณ ปัจจุบันอยู่ที่ 15,902.72 บาทต่อ 1 bitcoin (เคยสูงถึงเกือบ 40,000 บาทต่อ Bitcoin มาแล้ว !! )
  3. นำสินค้าไปแลกเป็นค่าเงิน Bitcoin ซึ่ง ณ ตอนนี้มี Brand มากมายที่สามารถชำระเงินผ่าน Bitcoin ได้แล้ว รวมไปถึงการซื้อขายของเถื่อนต่าง ๆ (ไม่แนะนำ) และในอนาคตระบบ Steam ก็จะรับชำระเงินค่าเกมเป็น Bitcoin ได้ด้วยนะ !!
  4. ได้จากการถอดรหัสค่าโอน Bitcoin ที่เกิดจาก Transaction ต่าง ๆ ที่มีในระบบ ซึ่งผู้โอนจะเป็นคนตั้งรางวัลเพื่อให้คนอื่นเข้ามาช่วยกันถอดรหัส จึงทำให้เมื่อจำนวนเงิน Bitcoin ถึง 21 ล้าน BTC แล้ว ผู้ใช้ระบบจะยังคงสามารถหาเงิน Bitcoin ต่อไปได้นั่นเอง

ปล. มีอีกวิธีคือการพัฒนาตัว Ransomware เพื่อเรียกค่าไถ่เป็นจำนวนเงิน Bitcoin ที่เราเคยอ่านข่าวเจอกันนั่นแหละ ซึ่งแน่นอนว่าไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง !!

Bitcoin Exchange Rate

ผู้ให้กำเนิด Bitcoin ตัวจริง ?

ในตอนนี้เราก็ได้พบคนที่น่าจะเป็นผู้ให้กำเนิด Bitcoin ขึ้นมาแล้ว โดยเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ด้านคอมพิวเตอร์ชาวออสเตรเลีย ชื่อ Craig Steven Wright ได้ออกมาบอกว่าเขาเป็น Satoshi Nakamoto คนที่อยู่เบื้องหลังการสร้าง Bitcoin ซึ่งเขาได้แสดงรหัสที่ใช้สร้าง Block อันแรกสุดของ Bitcoin ออกมา แต่อย่างไรก็ตามผู้คนส่วนใหญ่ก็ยังไม่เชื่อ 100% ว่าเขานั้นเป็นตัวจริง

สรุป

เรียกได้ว่าค่าเงิน Bitcoin เป็น 1 ในค่าเงินที่เปลี่ยนแปลงโลกก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นระบบ Blockchain ที่ปลอดภัย โปร่งใส เชื่อถือได้และใครก็สามารถเป็นเจ้าของ Bitcoin ได้ รวมไปถึงระบบความปลอดภัยของการ Hack ข้อมูลที่ไม่มีทางโดนอย่างแน่นอนเพราะต้องโดน Hack มากกว่า 50% ของทั้งระบบ (ยกเว้นเจออัลตรอนบุกโลก อันนี้ก็คงช่วยอะไรไม่ได้) และสุดท้ายคือการที่มีแบรนด์ดัง ๆ หลาย ๆ เจ้าเชื่อถือค่าเงินตัวนี้ จึงเรียกได้ว่า Bitcoin เป็นอีกช่องทางหนึ่งในการหาเงินของยุคปัจจุบันก็ว่าได้ แต่อย่างไรก็ตาม ช่องทางนี้ก็ยังคงมีความเสี่ยงอยู่ดี เราจึงแนะนำว่าควรศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุนนะครับ เพราะเคยมีข่าว Farm Bitcoin ไฟไหม้มาแล้ว เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน…

แหล่งอ้างอิง: techsauce.co | 51-attack | facebook