Resident Evil, God Hard, Dino Crisis  หากเอ่ยชื่อเกมเหล่านี้มี เกมเมอร์หลายๆท่านจะต้องร้องอ้อกันเป็นแน่แท้ แต่หากรู้ไม่ว่าผลงานระดับ 5 ดาวที่ว่ามานี้มีที่มาจากชายคนหนึ่ง ผู้ซึ่งเคยเป็นทั้ง Director, Producer และล่าสุดตอนนี้เป็น CEO ของทีม Tango Gamework ที่มีผลงานล่าสุดอย่าง The Evil Within 2 (อ่านรีวิวที่นี่) วันนี้ทีมงาน Beartai.com จะพาเหล่าเกมเมอร์ทุกท่านมารู้จักกับชายคนนี้ ชินจิ มิคามิ (Shinji Mikami) กันครับ

ชินจิ มิคามิ (Shinji Mikami) เกิดเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม ปี ค.ศ 1965 เขาเป็นทั้งผู้กำกับ และ โปรดิวเซอร์เกม หลังจากสำเร็จการศึกษาที่มหาวิทยาลัย Doshisha ได้ไม่นาน เขาก็เริ่มทำงานกับ Capcom ครั้งแรกในปี 1990 เขาได้ฝากผลงานขึ้นชื่อเอาไว้อย่างมากมาย หลักๆเลยก็คือ Resident Evil ในปี 1996 และ Dino Crisis ในปี 1999 ที่สร้างชื่อเสียงและโด่งดังไปทั่วโลก จนเป็นที่รู้จักของแฟนๆในปัจจุบันครับ


Early years


ผลงานแรกของเขาที่ทำให้กับ Capcom ก็คือเกม Capcom Quiz: Hatena? no Daibôken หรือที่รู้จักกันในชื่อ Capcom World ลงให้กับเครื่อง Gameboy โดยใช้ระยะเวลาแค่ 3 เดือนในการพัฒนาเท่านั้น ถัดมาเขาได้พัฒนาเกมเพิ่มอีก 3 เกม โดยทั้ง 3 นั้นจะเป็นเกมที่รับลิขสิทธิ์โดยตรงมาจากทาง Disney ได้แก่ Who Framed Roger Rabbit สำหรับ Gameboy ตามมาด้วย Aladdin และ Goof Troop สำหรับ Super Famicom

โดยเกม Aladdin นั้นถือว่าเป็นการประสบความสำเร็จครั้งแรกในอาซีพของเขา ด้วยยอดขายกว่า 1.75 ล้านชุดทั่วโลกหลังจากนั้น ชินจิ มิคามิ ได้เริ่มการพัฒนาเกมแข่งรถ F1 ที่ชื่อว่า Super Lap โดยมีแผนจะวางจำหน่ายให้กับเครื่อง Gameboy แต่ก็ต้องถูกยกเลิกไปเสียก่อนกับระยะเวลาพัฒนานานถึง 8 เดือน


Resident Evil and Dino Crisis


“Sweet Home (NES 1989)”

ในปี 1993 ชินจิ มิคามิ ได้วางแผน และเริ่มต้นโปรเจคใหม่ของเขาเป็นเกมแนว Horror Adventure สำหรับเครื่องคอลโซลใหม่ล่าสุดในยุคนั้นอย่าง Playstation โดยได้รับแรงบัลดาลใจมาจากเกม Sweet Home ในเครื่อง Famicom นั้นก็คือเกม Biohazard หรือ Resident Evil ที่พวกเรารู้จักกันนั้นเอง โดยในตอนแรกนั้นเกม Resident Evil ได้ถูกวางไว้ว่าจะให้เป็นเกม Remake จากเกม Sweet Home แต่ก็มีการปรับเปลี่ยน จนออกมากลายเป็นแบบที่เราเห็นกันในปัจจุบันครับ

“Resident Evil (PS1 1996)”

ปี 1996 Resident Evil ได้วางขายออกสู่สายตาชาวโลกเป็นครั้งแรก ตัวเกมได้รับคำชมจากทั้งสำนักสำนักวิจารณ์เกม และเหล่าเกมเมอร์ทั่วโลก ทำให้เกิดปรากฏการณ์ Resident Evil Fever ขึ้นมา ด้วยการใช้ Graphic แบบ 3D Polygon ผสมผสานกับ Pre-rendered ทำให้เหล่านักพัฒนาค่ายอื่นๆได้หันมาใช้เทคนิคนี้ในการสร้างเกมในอีกหลายๆเกมที่ออกมาตามๆกัน

“Resident Evil 2 & 3 Nemesis”

หลังจาก Resident Evil ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ทำให้ตัวชินจิ มิคามิเองได้เลื่อนขั้นจากนักวางแผนของบริษัท เป็น โปรดิวเซอร์ของบริษัททันที ในปีต่อๆมา Resident Evil 2 และ Resident Evil 3 ตัวเขาไม่ได้กำกับเกมอีกต่อไป (แต่ยังคงเป็นโปรดิวเซอร์อยู่) เนื่องจากนิสัยส่วนตัวเขาและในฐานะที่เขากลายเป็นโปรดิวเซอร์คนใหม่ของบริษัท เขาจึงต้องการจะพัฒนา และค้นหาอะไรใหม่ๆมากกว่า และนั้นจึงทำให้เกิด ซีรี่ส์ใหม่ Dino Crisis ตามมาในปี 1999

“Dino Crisis (PS1 1999)”

Dino Crisis ยังคงเป็นเกมแนว Survival Horror อยู่เช่นเดิม ในช่วงเวลานั้น ชินจิมิคามิ เคยพูดเอาไว้ว่าเขาต้องการหาแนวทางอะไรใหม่ๆให้กับเกมสยองขวัญ มากกว่าฉากแมนชั่นเก่าๆ เมืองที่ล้มสลายแบบที่เราได้เห็นกันไปใน Resident Evil นั้นจึงทำให้ Dino Crisis ออกมากลายเป็น Theme ไดโนเสาร์ ตัวเกมยังคงรูปแบบการเล่นเอาไว้เหมือนกับ Resident Evil และสิ่งที่แตกต่างกันมากๆนั้นก็คือตัวเกมจะใช้ Graphic แบบ Real-Time 3D environments ไม่ใช่ Pre-rendered แบบเดิมๆอีกต่อไปแล้ว

“Dino Crisis 2 (PS1 2000)”

อีกสิ่งหนึ่งที่ Dino Crisis ได้แตกต่าง และสร้างความแปลกใหม่ให้กับเกม Survival Horror เลยนั้นก็คือ การที่ศัตรูในเกมนี้เป็นไดโนเสาร์นั้นเองครับ ภายหลัง Capcom ได้นิยามคำว่า “Panic Horror” ขึ้นมาทำการตลาดให้กับเกมนี้ ด้วยการที่ไดโนเสาร์นั้นเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว และมีความน่ากลัวยิ่งกว่าซอมบี้เป็นหลายเท่า ตัวเกมมีการออกแบบใน AI ไดโนเสาร์ในเกมนี้ให้มีความเป็นสัญชาตญาณสัตว์มากที่สุด ในภายหลังตัวชินจิเองได้บอกว่า ตัวเขารู้สึกว่าเขายังพัฒนา AI ไม่เสร็จ แต่ด้วยข้อจำกัดของ Hardware ในยุคนั้น จึงจำกัดความจินตนาการการของเขาครับ

Dino Crisis ทำยอดขายไปได้ 2.4 ล้านชุดทั่วโลก ภายหลังมีการ Port ลงให้กับ Platform อื่นๆในยุคนั้น เช่น Sega Dreamcast , Windows PC และมีการทำภาคต่อออกมา Dino Crisis 2 ในปี 2000 แน่นอนว่าตัวมิคามิเองก็ไม่ได้กำกับตัวเกมในภาค 2 อีกเช่นเคยครับ (แต่เกมภาค 2 ก็ยังสนุกมากอยู่ดีนะ ส่วนเกมภาค 3 อย่าไปนับมันเลย มันแย่มาก)


Studio 4


ในช่วงปี 1999 หลังจากที่ Resident Evil 3: Nemesis ได้วางจำหน่าย Capcom จึงได้ก่อตั้งทีมพัฒนาใหม่ขึ้นมาในชื่อว่า Capcom Production Studio 4 เปิดตัวในปี 1999 4 ใน Studio นี้เต็มไปด้วยนักพัฒนาเกมคนสำคัญของ Capcom ที่รับผิดชอบเกมแนว Survival-Horror ไว้เกือบทั้งหมด ซึ่งชินจิก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้จัดการทั่วไปของ Studio นี้ และทำงานเป็นผู้อำนวยการสร้างให้กับเกมดังๆอีกหลายเกม ยกตัวอย่างเช่น Devil May Cry นั้นเองครับ

Resident Evil Code: Veronica

โดยเกมแรกที่อยู่ในการดูแลของ Studio 4 ก็คือ Resident Evil Code: Veronica ถูกพัฒนาลงให้กับเครื่อง Dreamcast ซึ่งถือว่าเป็น Console ที่มีประสิทธิภาพมากที่สูง ณ เวลานั้น ตัวเกมวางขายในปี 2000  และทำยอดขายไปได้ 1.1 ล้านชุดทั่วโลก ถึงแม้ว่ายอดขายของเครื่อง Dreamcast จะไม่ดีมากก็ตาม แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่ามีแฟนๆหลายคนยอมลงทุนชื้อเครื่อง Dreamcast มาเพื่อเล่นเกมนี้โดยเฉพาะเลยก็มี

ภายหลังตัวเกมได้ออกเวอร์ชั่น Complete Edition ขึ้นมา และวางขายในปี 2001 ตัวเกมจะมีการเพิ่มฉาก Cutscreen ยาว 10 นาทีเพื่อขยายความเนื้อเรื่องทั้งหมด แต่ที่น่าตกใจมากกว่านั้นคือ ตัวเกมได้ถูก Port ลงเครื่อง Console ใหม่ล่าสุดในยุคนั้นอย่าง PlayStation 2 อีกด้วย และสำหรับเวอร์ชั่น PS2 นั้นตัวเกมจะพ่วงมาด้วย Demo ของเกม Devil May Cry ตัวเกมวางขายไปได้ 1.4 ล้านชุดทั่วโลก

“3 Exclusive Game”

จนกระทั่งปี 2001 ปีที่เป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของการตัดสินใจทำธุรกิจ ชินจิ มิคามิ ได้ตกลงธุรกิจร่วมกันกับ Nintendo โดยให้สร้างเกม Resident Evil ลงให้กับเครื่อง Gamecube (เครื่องเกม Nintendo ใหม่ล่าสุดในยุคนั้น) แบบ Exclusive ทั้งหมด 3 เกม โดยเกมทั้ง 3 เกมที่ว่านั้นก็คือ Resident Evil Remake, Resident Evil Zero และ Resident Evil 4 (แต่ถึงอย่างนั้น ชินจิก็ต้องนำเอาเกม Resident Evil ภาคเก่าๆ มา Port ลงให้กับ Gamecube ด้วย นั้นจึึงทำให้เราได้เห็น RE3 Gamecube Edition ว่ากันว่าเป็นเวอร์ชั่นที่สมบูรณ์ที่สุด)

ในช่วงแรก ยอดขายของ Resident Evil Remake นั้นสามารถทำยอดขายได้ดีตามคาด แต่ด้วยการที่ตัวเกมลงให้กับ Gamecube เท่านั้น จึงไม่มากเท่าไรนัก ตามมาด้วย Resident Evil Zero ที่ยอดขายกลับทำได้ไม่ถึงเป้า วางขายวันแรกทำยอดไปได้แค่ 130,000 ชุดเท่านั้นนั้นจึงทำให้ Capcom กังวลว่า Resident Evil 4 อาจจะทำยอดขายได้ไม่ดีก็เป็นได้


Capcom Five


ถึงแม้ว่ายอดขายของ Resident Evil Zero ไม่ดีมากนัก แต่ตัวมิคามิเองก็ยังยืนยันต่อไปว่า ตัวเขากับทีมยังคงที่จะพัฒนาเกม Exclusive สำหรับเครื่อง Gamecube ต่อไป โดยเกมที่ว่านั้นก็คือ P.N.03 , Viewtiful Joe , Killer 7 และ Dead Phoenix ,Resident Evil 4 ภายหลัง 5 เกมนี้ถูกเรียกรวมๆว่า Capcom Five เป็นชื่อโปรเจคของมิคามิ ที่จะทำเกม Exclusive สำหรับ Gamecube ครับ

“Capcom 5”

เกมแรกที่วางจำหน่าย P.N. 03 ตัวเกมได้รับคำชมวิจารณ์ที่เข้าขั้นแย่มาก ส่งผลทำให้ยอดขายต่ำกว่ามาตราฐาน เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้ตัวมิคามิต้องออกมารับผิดชอบ ยอมลงจากตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ มาเป็นหัวหน้าของกลุ่มโปรดิวเซอร์แทนครับ

Play video

ในช่วงเวลาเดียวกัน Resident Evil 4 ที่ได้รับการกำกับและดูแลโดย Hiroshi Shibata อยู่นั้นได้พัฒนาได้ 40% แล้ว ชินจิ มิคามิได้ตัดสินใจเข้ายึดครองตัวงานทั้งหมดโดยทำการตกลงกับ Hiroshi Shibata ให้เขาไปนั่งที่โปรดิวเซอร์แทน ในปี 2003 ตัวเกมเวอร์ชั่น Demo ได้ออกฉายในงาน E3 2003 โดยตัวเกมนั้นยังคงรูปแบบการเล่นไว้แบบภาคก่อนๆ แต่สิ่งที่แตกต่างไปคือเมื่อตัวละครเล็งปืน มุมกล้องจะเปลี่ยนไปกลายเป็นแบบมองหลังหัวไหล่ แบบที่เราเห็นกันใน RE4 เวอร์ชั่นเต็มครับ

ในตอนงาน E3 2003 นั้นตัวมิคามิเองถึงกับพูดออกมาว่า เกม Resident Evil 4 นั้นจะมีความหลอน มีความน่ากลัวมากกว่าครั้งไหนๆ ถึงขั้นขนาดพูดออกมาว่า “ห้ามฉี่รดกางเกง ขณะเล่นเกมนี้” กันเลยทีเดียว แน่นอนว่าเกมนี้สร้างความหวัง และความ Hype ให้กับแฟนๆในยุคนั้นเป็นอย่างมาก เพราะด้วยการกลับมาของตัวละครหลัก Leon S. Kennedy พระเอกของเราจาก RE2 ครับ

และหลังจากนั้นไม่นานในช่วงเวลาก่อนที่เกมจะวางขายจริงในปี 2005 ชินจิ มิคามิ ได้สั่งให้ทีมงานโล๊ะตัวเกมออก (เกือบ) ทั้งหมด โดยเหลือไว้เพียง Concept Artwork และงานเก่าๆที่ทำมาเท่านั้น และได้นำเอาสิ่งเหล่านี้ที่มีอยู่ในเกมหลักอยู่แล้ว มา Rework ให้กลายเป็นเกมแบบที่เราเห็นในปัจจุบัน แต่อย่างไรก็ตาม ตัวเกมนั้นได้รับคำวิจารณ์ที่ดีมากๆ ถึงแม้ว่าตัวเกมจะวางขายไปได้เพียงแค่ 1.2 ล้านชุดภายใน 1 ปี แต่ตัวเกมก็ได้รับรางวัลมากมายภายในปีเดียวกัน และปีถัดๆมา

Resident Evil 4 ได้สร้างปรากฏการณ์ Resident Evil Fever ขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยการถือกำเนิดมาตรฐานใหม่ของแนวเกมที่พวกเราเรียกกันว่า Third Person Shooter หรือเกมยิงมุมมองบุคคลที่ 3 ขึ้นมา ทำให้มีหลายๆเกมในยุคนั้นได้รับแรงบัลดาลใจ ก่อให้เกิดเกมเดินหน้ายิงมุมมองบุคคลที่ 3 อื่นๆตามมามากมาย อาทิเช่น Gears of War, Dead Space ครับ

“มาตัดหัวผมไปได้เลย หาก Resident Evil 4 ไปลงให้กับ Console เครื่องอื่น” 

“ผมรู้สึกว่าเกม Resident Evil มันควรจะได้รับการปรับปรุงตั้งนานแล้ว หลังจากที่ใช้ระบบการเล่นเดิมๆมาตลอดหลายปี”

หลังจากนั้นไม่นาน Resident Evil 4 ก็ได้ออกมาวางขายให้กับเครื่อง Playstation 2 ในปี 2006 โดยมีการเพิ่มโหมดการเล่นเสริมเข้าไปโดยที่ผู้เล่นจะได้รับบทเป็น Ada Wong และลงให้กับ PC ต่อมาภายในปี 2007 โดยมี Ubisoft เป็นผู้ออกทุนให้ครับ ในภายหลัง ตัวชินจิ มิคามิเองได้ออกมาขอโทษที่ทำให้ Resident Evil 4 กลายเป็นเกม Mutiplatfrom ไปได้ ในบทสัมภาษณ์เมื่อปี 2017 นี้เองครับ


Clover Studio


หลังจากความสำเร็จของ Resident Evil 4 ตัวมิคามิเองก็คงยังค้นหาแนวเกมของตัวเองไปเรื่อยๆ เขาได้ลาออกจาก Studio 4 และเข้าร่วมกับ Clover Studio โดยทีมนี้ถือเป็นอีก 1 ทีมที่รวบรวมทีมพัฒนาแนวหน้าของ Capcom เข้าไว้เป็นอย่างมาก ในจำนวนนั้นมี Atsushi Inaba โปรดิวเซอร์จากเกม Steel Battalion และ Hideki Kamiya ผู้กำกับและดูแลเกม Devil May Cry ทันใดนั้นชินจิ มิคามิจึงได้เริ่มโปรเจคใหม่ทันที

God’s Hand เป็นอีกหนึ่งเกมที่ฮิตกันมากๆบนเครื่อง Playstation 2 ตัวเกมนั้นเป็นรูปแบบ beat ’em up โดยมีการนำเอาวัฒนธรรมของญี่ปุ่นและอเมริกามาล้อเลียน ตัวเกมวางจำหน่ายในปี 2006 ด้วยยอดขายที่ไม่ดีสักเท่าไรนัก แต่ถึงอย่างนั้นตัวเกมก็ยังคงได้รับคำวิจารณ์จากสื่อในหลายๆรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป

Clover Studio นั้นนอกจากจะมีผลงานอย่าง God’s Hard ออกมาวางขายแล้ว เกมอย่าง Viewtiful Joe ที่อยู่ใน List Capcom Five ก็อยู่ในการดูแลของทีมนี้เช่นกัน อีกทั้งยังมีเกม Ōkami อีกหนึ่งเกมจากผู้กำกับ Devil May Cry ที่เป็นผลงานของ Clover Studio เช่นกันครับ ภายหลังทีมนี้ได้ถูกปิดลงในปี 2007 ด้วยเหตุผลที่ยอดขายของเกมไม่ถึงเป้า และทำเอาได้แย่มากๆ ถึงแม้ว่าเกมจะออกมาดีก็ตาม


Platinum Games


Shadows of the Damned

หลังจากนั้นไม่นาน ชินจิ มิคามิ ได้ออกจากบริษัท Capcom โดยสมบูรณ์ เขาได้ร่วมก่อตั้งบริษัท Seeds Inc พร้อมกับนักพัฒนารายอื่นๆที่ประสบปัญหาเดียวกันกับมิคามิ คือเกมที่พวกเขาทำยอดขายได้ไม่ถึงเป้าสักเท่าไรนัก ภายหลังทีม Seeds Inc ได้รวมกับบริษัท Odd Ltd และกลายเป็น Platinum Games ชินจิ มิคามิ ได้ก่อตั้งทีมพัฒนาเล็กๆ ของตัวเองภายในบริษัทชื่อว่า Straight Story โดยพวกเขาทำงานภายใต้ชื่อของ Platinum Games นอกจากนั้น ชินจิ มิคามิได้ไปเป็นโปรดิวเซอร์ให้กับเกมอย่าง Shadows of the Damned ของคุณ Goichi Suda อีกด้วยครับ

Vanquish

ชินจิ มิคามิ ได้ออกมาเปิดตัวเกม Vanquish เป็นเกมที่ทีม Straight Story ได้พัฒนากันขึ้นมา และยังได้บอกอีกว่า ทีม Straight Story นั้นหลังจากทำงานชิ้นนี้เสร็จแล้วพวกเขาจะถูกแทนที่ด้วย Studio ใหม่ของตัวมิคามิเอง ที่กำลังก่อสร้างขึ้น นั้นก็คือ Tango Gamework นั้นเอง

เกม Vanquish ได้วางขายในปี 2010 ตัวเกมได้รับคำชมจากนักวิจารณ์เป็นจำนวนมากเช่นเคย ด้วยระบบการเล่นที่คล้ายกับ Resident Evil 4 แต่เพิ่มเติมมาด้วยระบบ Cover และ Sliding Shooter ที่ถือว่าใหม่มากในขณะนั้น โดยเกม Vanquish นั้นได้รับแรงบัลดาลใจมาจาก Anime TV เรื่อง Casshan ในปี 1970 ครับ


Tango Gameworks


ในวันที่ 18 เดือน มีนาคม ปี 2010 มีเว็บไซด์ Teaser เปิดตัวขึ้นมา พร้อมกับคำว่า “Mikami Project” และเวลานับถอยหลัง จากนั้นเว็บไซด์เปลี่ยนกลายเป็นเว็บสมัครพนักงานสำหรับ Tango Gameworks สตูดิโอเกมใหม่ที่ก่อตั้งโดย ชินจิ มิคามิ จริงๆ ต่อมาในเดือนตุลาคม ปีเดียวกัน ZeniMax Media บริษัทแม่ของผู้พัฒนา และจัดจำหน่ายเกมชื่อดัง “Bethesda Softworks” ได้ออกมาบอกว่า ทั้งตัว ชินจิ มิคามิเอง และบริษัท Tango Gameworks ได้เป็นส่วนหนึ่งของ ZeniMax Media แล้ว

ในปี 2012 บทสัมภาษณ์ของนิตรสาร Famitsu ชินจิ มิคามิ ได้ออกมาพูดเปิดตัวโปรเจคเกมที่มี Codename ว่า “Project Zwei” นั้นก็คือเกม Survival Horror ชื่อว่า “The Evil Within” นอกจากนั้นยังบอกอีกว่าพวกเขาใช้ Engine ทีได้รับการโมดิฟายมาอย่างหนัก แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นตัวไหน (ทางผู้เขียนขอเดาว่า Id Tech 5)

The Evil Within

The Evil Within ได้วางขายในเดือนตุลาคม ปี 2014 ตัวเกมนั้นได้รับคำวิจารณ์แยกออกเป็นหลายทางมากๆ บ้างก็บอกว่าดีมาก บ้างก็บอกว่าแย่ บ้างก็บอกว่าเฉยๆ แต่ถึงแบบนั้นตัวเกมก็ยังคงได้รับกระแสตอบรับที่ดีอยู่มากๆ ในด้านยอดขายนั้นก็ถือว่าทำได้ไม่เลว เพราะตัวเกมสามารถขึ้นไปเป็นเกมทืี่มียอดขายดันดับหนึ่งของ UK ได้ในสัปดาห์แรกที่ตัวเกมวางขาย แต่อย่างไรก็ตาม สถิตินี้ถูกทำลายโดยเกม Dying Light ที่วางขายตามมาในเดือน มกราคม ปี 2015 ครับ

จนกระทั่งในปี 2017 การมาของ The Evil Within 2 ครั้งนี้ตัวชินจิ มิคามิ ก็ไม่ได้เป็นผู้กำกับอีกต่อไปแล้วเช่นกัน แต่เขาไปเป็นโปรดิวเซอร์แทน ถือว่าไม่ใช่เรื่องแปลก ก่อนหน้านี้ตัวชินจิ มิคามิเองเคยออกมาพูดไว้ว่า The Evil Within อาจจะเป็นเกมสุดท้ายที่เขากำกับแล้วก็ได้ เพราะนี้คือสิ่งที่เขาอยากจะทำใน Resident Evil ตั้งแต่ทีแรกแล้ว นั้นเองครับ


และนี่ก็คือประวัติคร่าวๆ ของตัว Shinji Mikami (ชินจิ มิคามิ) โดยส่วนตัวแล้ว ผมมองว่าเขาเป็นบุคคลที่ชอบความท้าทาย และมองหาแนวทางใหม่ๆในการพัฒนาเกมอยู่เสมอๆ หากเราไม่นับ Resident Evil 4 ที่เป็นภาคต่อแล้ว เกมที่ มิคามิได้เป็นคนกำกับเองนั้นมีเพียงแค่ 6 เกมเท่านั้น โดยในแต่ละเกม ก็ถือว่าเป็นเกม IP ใหม่อีกด้วยครับ ในอนาคตหวังว่าเราอาจจะได้เล่นเกมที่มาจากแนวคิดของเขาอีก สำหรับวันนี้ ราตรี สวัสดิ์ท่านผู้อ่านทุกคนครับผม