24 ปีผ่านไปเร็วเหมือนโกหกกับเกมสยองขวัญภาคต่อในตำนานอย่าง ‘Resident Evil 2’ หรือ ‘Bio Hazard 2’ ที่วางจำหน่ายวันที่ 21 มกราคม 1998 ที่สร้างความหลอกหลอนให้คนเล่นเกมในยุค ‘PlayStation 1’ ได้สนุกกับเรื่องราวที่ขยายขนาดขึ้นกว่าภาคที่แล้ว ซึ่งจบลงแบบค้างคาว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป กับเรื่องราวใหม่ที่เฉลยปมที่ติดค้างในภาคก่อน แถมด้วยตัวละครใหม่ที่เกี่ยวกับตัวละครภาคที่แล้ว รวมถึงฉากใหม่กับความสนุกที่มากกว่าเดิมหลายเท่า  จนมาถึงปี 2019 ก็มีการเอาเกม ‘Resident Evil 2’ มาทำใหม่แบบยกชุด ที่เรียกว่า ‘Resident Evil 2 Remake’ ที่วางจำหน่ายในวันที่ 25 มกราคม 2019 ก็จะครบรอบ  3 ปีของภาคนี้ เรามาดูกันดีกว่าว่าในอดีตกว่าจะเป็นเกม ‘Resident Evil 2’ และ ‘Resident Evil 2 Remake’ ต้องผ่านอะไรมาบ้าง และมีเรื่องราวอะไรที่น่าสนใจบ้างมาดูไปพร้อมกันเลย

จุดเริ่มต้น Resident Evil 2 และ Resident Evil 2 Remake

Resident Evil 2 
Resident Evil 2 Remake

เริ่มต้นเรื่องแรกที่หลายคนน่าจะยังไม่ทราบกัน ว่ากว่าจะเป็นเกม ‘Resident Evil 2’ และ ‘Resident Evil 2 Remake’ ได้นั้นได้ผ่านเรื่องราวที่น่าสนใจหลายอย่าง เริ่มจากตัว ‘Resident Evil 2’ ฉบับเก่าต้องย้อนกลับไปเมื่อราว ๆ ปี 1996 เมื่อ ‘Resident Evil’ ได้รับความนิยมจนทาง ‘Capcom’ ไฟเขียวให้สร้างภาคต่อ พร้อมกับทีมงานเริ่มต้นเพียง 45 คน ซึ่งต่อมาทีมนี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของ ‘Capcom Production Studio 4’ ที่ให้กำเนิดนักพัฒนาเกมยอดนิยมในเวลาต่อมา โดยมีผู้อำนวยการ ฮิเดกิ คามิยะ (Hideki Kamiya) นำทีม จนปล่อยตัวอย่าง Resident Evil 2 ออกมาสู่สายตาประชาชน กับตัวเอกใหม่อย่างนายตำรวจที่มาทำงานสายอย่าง ลีออน สกอต เคนเนดี (Leon Scott Kennedy) กับฝั่งตัวละครหญิงที่เป็นนักศึกษาวิทยาลัยและนักแข่งรถมอเตอร์ไซค์ แต่ต้องเจอเหล่าซอมบี้จนต้องหักรถเข้ามาในโรงพักอย่าง เอลซ่า วอล์กเกอร์ (Elza Walker) ที่มีการเปิดเผยภาพรูปของเกมออกมา ซึ่งเมื่อทาง ชินจิ มิคามิ (Shinji Mikami) ผู้ให้กำเนิดเกมนี้มาทดลองเล่นก็พบว่าตัวเกมมันไม่ดีเท่าที่เขาพอใจ ทั้งที่ตัวเกมทำไปแล้วกว่า 80% โดยตัวเกมนี้ถูกตั้งชื่อในภายหลังว่า ‘Resident Evil 1.5’ ซึ่งมิคามิบอกกับสื่อในภายหลังว่า “ตัวเกม ‘Resident Evil 1.5’ ไม่ได้คุณภาพตามที่ผมต้องการ ความรู้สึกตอนเล่นเกมนี้คือน่าเบื่อแถมสถานที่ก็ซ้ำ ๆ ไม่มีอะไรน่าสนใจ” ก่อนที่มิคามิจะรื้อทุกอย่างทิ้งและทำใหม่ทั้งหมด และยังมีการแก้ไขเนื้อเรื่องของเกมทั้งหมด รวมถึงการเปลี่ยนตัวละครหลักจากเอลซ่า วอล์กเกอร์เป็น แคลร์ เรดฟิลด์ (Claire Redfield) น้องสาวที่มาตามหาพี่ชายที่ขาดการติดต่อ เปลี่ยนตัวละคร เอดา วอง (Ada Wong) จากนักวิทยาศาสตร์ที่เคยมีชื่อในรหัสคอมพิวเตอร์ในภาคที่แล้วมาเป็นสายลับชุดแดง จนออกมาเป็น ‘Resident Evil 2’ ที่เราได้เล่นตอนนี้

Resident Evil 1.5

ในส่วนของ ‘Resident Evil 2 Remake’ ก็มีเรื่องราวน่าสนใจไม่แพ้กัน โดยเรื่องนี้ต้องย้อนเวลากลับไปในปี 2015 ที่มีแฟนเกมกลุ่มหนึ่งที่ชื่อ ‘Invader Games’ ได้เริ่มพัฒนาเกม ‘Resident Evil 2 Remake’ ในแบบของตนเอง โดยใช้ ‘Unreal 4’ ในการพัฒนาขึ้นมาเพื่อลงบน ‘PC’ ซึ่งเป็นการนำตัวเกม ‘Resident Evil 2’ ฉบับเก่ามาเปลี่ยนกราฟิกแบบใหม่ให้ดูสวยสมจริง รวมถึงเปลี่ยนการควบคุมและมุมกล้องแบบ ‘Resident Evil 4’ พร้อมปล่อยตัวอย่างออกมาที่เรียกว่าเป็นการตบหน้า ‘Capcom’ เบา ๆ ที่ไม่ยอมทำ ‘Resident Evil 2 Remake’ ออกมาเสียที จนในเดือนสิงหาคม 2015 ทาง ‘Capcom’ ก็ออกมาเปิดเผยว่าตอนนี้ทาง ‘Capcom’ ที่โดนตบหน้าเบา ๆ ได้รู้ตัวและส่งโปรดิวเซอร์ โยชิอากิ ฮิราบายาชิ (Yoshiaki Hirabayashi) ประกาศบอกแฟน ๆ ว่า ‘Resident Evil 2 Remake’ ได้รับการอนุมัติและอยู่ในระหว่างการพัฒนาแล้ว พร้อมกับการโชว์เสื้อที่เขียนว่า “We Do It” ให้เราได้ชม พร้อมการประกาศยกเลิกพัฒนาเกม ‘Resident Evil 2 Remake’ ของทางทีมพัฒนา ‘Invader Games’ ก่อนที่ข่าวนี้จะเงียบหายไปหลายปีจนแฟน ๆ คิดว่าทาง ‘Capcom’ จะหวงก้างเท่านั้น จนมาถึงงาน E3 2018 ก็มีการปล่อยตัวอย่างแรกออกมา พร้อมคำสัมภาษณ์ของฮิเดกิ คามิยะผู้กำกับ ‘Resident Evil 2’ ภาคดั้งเดิมกล่าวว่า เขาได้ผลักดันให้ ‘Capcom’ สร้างเอา ‘Resident Evil 2 มา Remake หลายปีแล้วแต่ทาง ‘Capcom’ ไม่สนใจจนถูกลูบหน้าเบา ๆ จาก ‘Invader Games’ จึงได้เริ่มทำ นั่นคือที่มาของ 2 ภาคที่เป็นตำนานของเกมนี้

Resident Evil 2 Remake

Resident Evil 2 (1.5) ต้นแบบที่ถูกลืม

Resident Evil 1.5

ต่อเนื่องจากหัวข้อที่แล้วที่เราพูดถึง ‘Resident Evil 1.5’ ที่ทางทีมพัฒนาชุดเก่าทำไปกว่า 80% แล้ว แต่กลับถูกยกเลิกในวินาทีสุดท้ายและตัวเกมถูกเก็บไม่ได้พัฒนาต่อ จนมีคนได้เอาตัวเกม ‘Resident Evil 1.5’ มาปล่อยให้หลายคนได้ไปลองเล่นรวมถึงข้อมูลที่หลุดมามากมาย โดยตัวเกมนั้นยังไม่เสร็จสมบูรณ์จึงเล่นได้แบบติด ๆ ขัด ๆ และเล่นไม่จบ แต่ก็ทำให้เรารู้ว่าตัวเกม ‘Resident Evil 1.5’ ต่างกับเนื้อเรื่องใน ‘Resident Evil 2’ ปกติเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นฉากที่ถูกเปลี่ยนใหม่ทั้งหมดจากสถานีตำรวจมืด ๆ กับฉากของโต๊ะทำงานทั่วไป มาเป็นโรงพักกว้าง ๆ ที่มีห้องมากมายแทน รวมถึงเนื้อเรื่องของเกมที่ถูกเปลี่ยนซึ่งดูได้จากสองตัวละครที่เสียชีวิตตั้งแต่ต้นเกม อย่างชายร้านขายปืน โรเบิร์ต เคนโด้ (Robert Kendo) และนายตำรวจ มาร์วิน บรานาห์ (Marvin Branagh) ที่จะมีบทบาทเป็นผู้ช่วยลีออนและแคลร์ในการเดินทางเกือบตลอดทั้งเกม แต่พอ ‘Resident Evil 2’ ถูกเอามาทำใหม่ทั้งคู่ก็ถูกตัดตายตั้งแต่ต้นเกม รวมถึงมอนสเตอร์หลายตัวที่ไม่ได้ใส่ลงไปในเกม ซึ่งถ้าใครสนใจก็ลองไปหาวิดีโอดูได้ แล้วคุณจะรู้ว่าทำไมมิคามิถึงได้บอกว่าเกมภาคนี้ไม่สนุกจนต้องเอามาทำใหม่

Resident Evil 1.5

ระบบ Zapping หัวใจหลักที่ทำให้ Resident Evil 2 ที่ถูกตัดออกไปในฉบับ Remake

Resident Evil 2

คราวนี้มาดูสิ่งดีงามที่ ‘Resident Evil 2’ ฉบับเก่ามีและทำเอาไว้ดีมาก ๆ แต่ในฉบับ  Remake กลับถูกถอดออกไป กับระบบที่เรียกว่า ‘Zapping’ ที่ถ้าใครเคยเล่น ‘Resident Evil 2’ ฉบับเก่าจะเข้าใจระบบนี้ดี โดยตัวระบบ ‘Zapping’ นี้คือการเชื่อมเนื้อเรื่องของ A และ B ของสองตัวละครให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียว เหมือนกับว่าทั้งคู่นั้นอยู่ในสถานที่เดียวกัน ต่างกับในฉบับ Remake ที่เนื้อเรื่อง A กับ B จะแทบไม่ต่างกันเลย แต่ในฉบับเก่าเมื่อเราเล่นเนื้อเรื่อง A ของใครก็ได้จบลง พอมาเล่นเนื้อเรื่อง B สิ่งที่เนื้อเรื่อง A ทำทิ้งไว้เราจะเห็นได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นตัวเนื้อเรื่องถ้า A ที่เราเล่นเป็นแคลร์จะเดินเข้ามาในห้องพักของ ‘S.T.A.R.S’ ก็จะเจอลีออนอยู่ก่อนแล้ว แต่เมื่อเราเล่นเป็นเนื้อเรื่องลีออน B เราจะเจอแคลร์ที่เปิดประตูเข้ามา หรือในเนื้อเรื่องแคลร์เราได้ทิ้ง เชอร์รี่ เบอร์กิน (Sherry Birkin) ที่ติดเชื้อไว้และไปหายารักษาจนหาย พอมาเนื้อเรื่องลีออนเขาจะพาเชอร์รี่ไปที่รถไฟ  หรือจะเป็นการวิทยุคุยกันของสองตัวละคร ที่ในเกมทั้งคู่จะคุยกันหลายฉากเพื่อบอกเล่าสิ่งต่าง ๆ  ซึ่งถ้าเราเล่นในเนื้อเรื่อง A กับ B เราจะได้เห็นบทการสนทนาตอบโต้กันทางวิทยุของทั้งคู่ ที่เนื้อเรื่อง A ลีออนคุยอยู่ตรงนี้ พอมาเล่นในเนื้อเรื่อง B ของแคลร์ เราก็จะได้รับวิทยุจากลีออนเป็นเชื่อมเรื่องราวต่าง ๆ ได้อย่างลงตัว นี่ยังไม่นับการพบจระเข้ที่ถ้าเนื้อเรื่อง A ปราบไปแล้ว พอมาในเนื้อเรื่อง B เราก็จะไม่เจอ รวมถึงตัวหัวหน้าประจำด่านที่พบในเกมก็จะไม่เหมือนกัน  แต่เราจะพบการเติบโตของ วิลเลียม เบอร์กิน (William Birkin) ในร่าง ‘G’ ที่ในเนื้อเรื่อง A มันแพ้เรา พอมาในเนื้อเรื่อง B ตัว ‘G’ ก็จะวิวัฒนาการขึ้นไปอีกขั้น ซึ่งเราสามารถเล่นเกมนี้ได้ถึง 4 รอบเพื่อเก็บเนื้อเรื่องของ A และ B ของสองตัวละครที่มีเนื้อเรื่องต่างกันไปอีกแบบ ซึ่งถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้นในฉบับ Remake จะเป็นอะไรที่สมบูรณ์แบบสุด ๆ ไปเลย

Resident Evil 2

โหมดการเล่นหลังจบเกม Resident Evil 2 ฉบับเก่า

Resident Evil 2

ถ้าคุณคิดว่าใน ‘Resident Evil 2 Remake’ มีโหมดการเล่นอย่าง ‘The 4th Survivor’ ที่เล่นเป็น ‘HUNK’ ที่ต้องเอาเชื้อไวรัสหนีออกมา กับโหมด ‘The Ghost Survivors’ ที่เอาตัวละครที่เสียชีวิตมาดิ้นรนต่อสู้อีกครั้ง แถมด้วยโหมด ‘The Tofu Survivor’ ที่ว่าเยอะแล้ว มาดูโหมดพิเศษของ ‘Resident Evil 2’ ฉบับเก่ากันบ้างที่มาพร้อมกับโหมดการเล่นมากมายหลังจบเกม ไม่ว่าจะเป็น ‘The 4th Survivor’ เหมือนในฉบับ Remake ที่เราจะได้เล่นเป็น ‘HUNK’ เหมือนฉบับ Remake ด้วยเงื่อนไขคือเราต้องเล่นเนื้อเรื่อง A และ B ให้จบหนึ่งรอบจึงจะได้เล่นโหมดนี้ นอกจากนี้ก็ยังมีโหมด ‘The 4th Survivor Tofu’ ที่ต้องเล่นเกมนี้ให้จบ 3 รอบถึงจะได้เล่นเป็นเจ้าเต้าหู้ ซึ่งที่มาของมันนั้นก็เกิดจากความขี้เล่นของทีมงาน ที่อยากเอาเจ้าก้อน ‘Polygon’ ที่เป็นแท่งเหลี่ยม ๆ ที่มีไว้แทนตัวละครเพื่อเช็คฉากและการถูกปะทะของตัวละคร เอามาเป็นตัวละครในโหมดพิเศษนี้ ซึ่งกลายเป็นสีสันประจำภาคไปเสียอย่างนั้น จนถูกเอามาใส่อีกครั้งในฉบับ Remake กับอีกโหมดที่แถมมาคือ ‘Extreme Battle’ ที่มีเฉพาะฉบับ ‘DualShock Ver’ ที่เราจะได้เล่นเกมนี้ในระดับยาก ที่ซอมบี้จะอึดและเพิ่มจำนวนในฉากแถมกระสุนก็น้อย ที่เมื่อเล่นจบในระดับนี้เราก็จะได้ตัวละครพิเศษอย่าง เอดา วอง (Ada Wong) และ คริส เรดฟิลด์ (Chris Redfield) มาแทนลีออนและแคลร์ ยังไม่หมดยังมีโหมดกระสุนไม่จำกัด ที่จะทำได้ตั้งแต่เล่นรอบแรกระหว่างเล่นเกมให้กดปุ่ม ‘Select’ เพื่อเข้าหน้าเมนูให้เข้าไปในหัวข้อ ‘Key Config’ แล้วกดปุ่ม R1 ค้างไว้ ตามด้วยปุ่มสี่เหลี่ยม 10 ครั้ง เราจะเห็นคำว่า ‘Manual or Auto’ เปลี่ยนเป็นสีแดงแปลว่าใช้ได้ คราวนี้เราจะยิงซอมบี้แบบไม่ต้องห่วงกระสุนหมดอีกแล้ว แต่จะทำได้ในฉบับ  ฉบับ ‘DualShock Ver’ เท่านั้น เรียกว่าเยอะจนเอามาเล่นได้หลายรอบเลยทีเดียวในยุคนั้น

Resident Evil 2

ความลับที่ซ่อนในเกม Resident Evil 2 ฉบับเก่า

Resident Evil 2

เชื่อว่าแฟน ‘Resident Evil’ หลายคนน่าจะทราบกันอยู่แล้ว กับความลับต่าง ๆ เกี่ยวกับ ‘Resident Evil 2’ ไม่ว่าจะเป็นการสำรวจที่โต๊ะของ อัลเบิร์ต เวสเกอร์ (Albert Wesker) หัวหน้าของหน่วย ‘S.T.A.R.S.’ 50 ครั้ง เราจะได้เห็นความลับของนายแว่นดำคนนี้ว่าเขาได้แอบซ่อนรูปของเด็กใหม่ของ ‘S.T.A.R.S.’ อย่าง รีเบ็คก้า แชมเบอร์ (Rebecca Chambers) เอาไว้ในชื่อม้วนฟิล์มที่ชื่อว่า ‘Film D’ เหมือนต้องการบอกว่าเด็กคนนี้น่าสนใจจนต้องจับตาดูเอาไว้ (พยายามคิดเข้าข้างพี่แกที่สุดแล้ว) พอมาในฉบับ Remake ทางทีมพัฒนาก็ไม่พลาดที่จะใส่ลงไปอีกครั้ง แต่คราวนี้รูปได้เปลี่ยนเป็นภาพที่ชัดและดูน่ารักขึ้น เพื่อบอกให้รู้ว่าพี่เขาจับตาดูเด็กใหม่อย่างใกล้ชิดจริง ๆ (ขยี้ซ้ำ) นอกจากนี้ก็ยังมีการเชื่อมโยงไปยัง ‘Resident Evil 3 Nemesis’ ที่ถ้าเราไม่ยิงซอมบี้เลยตลอดทางที่มาโรงพัก เราจะเห็นซอมบี้ชุดสีเหลืองที่ชื่อ แบรด วิกเกอร์ (Brad Vickers) ที่ถูก ‘Nemesis’ ฆ่าตายในภาค 3 ที่เมื่อเราฆ่าเขาได้เราจะได้กุญแจเพื่อเปลี่ยนชุดตัวละคร ซึ่งลีออนจะมี  2 ชุดให้เปลี่ยน ขณะที่แคลร์จะมีชุดเดียวแต่ก็แถมปืนแบบพิเศษให้แทน เรียกว่าใส่ใจในรายละเอียดมาก ๆ

Resident Evil 2

คำวิจารณ์และคะแนนของ Resident Evil 2

Resident Evil 2

คราวนี้มาดูคำวิจารณ์และการให้คะแนนของเกม ‘Resident Evil 2’ ฉบับเก่ากันบ้าง ว่าคนในยุคนั้นนักวิจารณ์คิดอย่างไรกับเกมนี้ โดยเราจะขอยกมาเฉพาะฉบับ ‘PlayStation 1’ เพราะเป็นเครื่องแรกที่เกมลงให้ เริ่มจากทาง ‘Metacritic’ ที่ให้คะแนนซึ่งวัดจากฝั่งนักวิจารณ์และคนเล่นที่รวมแล้วให้คะแนนสูงถึง 89 เต็ม 100 เลยทีเดียว โดยส่วนมากจะชื่นชมบรรยากาศของเกมที่น่ากลัว เนื้อเรื่องกราฟิกเสียงและรูปแบบการเล่นที่สนุกน่าติดตาม แต่จะมีการติติงก็ตรงการควบคุมแบบเก่าที่ควบคุมยาก กับเสียงพากย์ที่แข็งไม่เป็นธรรมชาติเหมือนภาคก่อน ส่วนนิตยสาร ‘Computer and Video Games’ ยกย่องในระบบการเล่นปริศนาที่ใช้ความสยองขวัญที่ทำออกมาได้ดี กราฟิกเสียงและโหมดพิเศษที่ชวนให้คนเล่นเกมมาเล่นซ้ำได้หลายรอบ ทาง ‘GameSpot’ ที่ชื่นชมว่ามันคือประสบการณ์ที่เหมือนเรากำลังชมภาพยนตร์มากเล่นเกม กับคะแนน 8.9 เต็ม 10 ส่วนทาง ‘IGN’ ที่ให้คะแนนสูงถึง 9.3 เต็ม 10 ก็บอกว่าการออกแบบฉากนั้นทำออกมาได้น่ากลัว เต็มไปด้วยสยองขวัญและความตาย ตัวเกมสามารถเล่นซ้ำได้ถึง 4 รอบเป็นความสนุกที่ลงตัว ซึ่งนี่เป็นแค่บางส่วนเท่านั้น เพราะเมื่อเราไปดูการให้คะแนนทั้งหมดในตาราง จะพบว่าถ้าที่ไหนให้คะแนนเต็ม 100 หรือเต็ม 10 เราจะไม่เห็นที่ไหนให้ต่ำว่า 7 คะแนนเลย ที่บ่งบอกถึงความสนุกและดีงามของเกมภาคนี้ ที่เรียกว่าความสำเร็จเกิน 100% ก็ว่าได้

Resident Evil 2

เกม Resident Evil 2 Remake พากย์ไทย

Resident Evil 2 Remake

ปิดท้ายกับสิ่งดี ๆ ฝีมือคนไทย กับการเอาเกม ‘Resident Evil 2 Remake’ มาแปลเป็นภาษาไทยตลอดทั้งเกม แถมยังใส่เสียงพากย์ไทยที่มาจากนักพากย์มืออาชีพ ที่ถ้าใครเคยชมภาพยนตร์การ์ตูนพากย์ไทยน่าจะคุ้นเสียงเป็นอย่างดี โดยการทำ ‘Mod’ พากย์ไทยครั้งนี้เกิดจากการร่วมมือกันระหว่าง ‘Noob-Translator’ เจ้าของ ‘Mod’ แปลซับไทยที่หลายคนคุ้นเคย ที่มาร่วมมือกับ ‘Tanudan Studio’ ช่อง ‘YouTube’ ที่เอาเกมต่าง ๆ มาพากย์เสียงจากนักพากย์มืออาชีพ จนเราได้เห็นตัวเกมที่ให้เสียงพากย์ที่สมบูรณ์แบบ ใครที่ยังไม่ได้ลองบอกเลยว่าคุณพลาดของดีไปแล้ว ตัว ‘Mod’ โหลดฟรีไปหามาลองกันได้ และในอนาคตก็จะมี ‘Mod’ พากย์ไทยอีกหนึ่งเกมอย่าง ‘Resident Evil Village’ ที่ทาง เพจเกมพากย์ไทย ได้ทำขึ้นมา ซึ่งตอนนี้ได้มีการปล่อย ‘Mod’ เสียงไทยช่วงต้นเกมมาให้ลองกันแล้ว ใครมี ‘Resident Evil’ สองภาคนี้บน ‘PC’ ก็ไปลองกันได้ บอกเลยว่าคุณจะไม่รู้สึกเหมือนเล่นเกม แต่จะรู้สึกเหมือนกำลังชมภาพยนตร์ที่เราไม่เคยสัมผัสมาก่อน

Resident Evil 2 Remake
Resident Evil Village

ก็จบกันไปแล้วกับเรื่องราวต่าง ๆ ที่น่าสนใจของเกม ‘Resident Evil 2’ และ ‘Resident Evil 2 Remake’ ที่เราหยิบยกมานำเสนอหวังว่าจะถูกใจกัน ซึ่งถ้าใครที่ยังไม่เคยเล่นเกมนี้ในฉบับเก่า เราก็ขอแนะนำให้คุณไปหามาเล่นกัน เพราะตัวเนื้อหาระบบการเล่นแม้จะเก่าไปบ้าง แต่ถ้าได้ลองเล่นดูแล้วคุณจะรู้ว่าทำไมแฟนเก่าของ ‘Resident Evil 2’ ถึงไม่ค่อยพอใจกับสิ่งที่ ‘Resident Evil 2 Remake’ เป็น แม้ตัวเกมจะสมบูรณ์แบบมากแล้วก็ตาม พอเล่นแล้วรู้สึกยังไงก็เอามาพูดคุยกันได้ ส่วนคราวหน้าจะเป็นการครบรอบปีเกมดังซีรีส์ไหนอีกก็ติดตามกันได้ที่นี่ที่เดียว รับรองไม่พลาดทุกข่าวสารวงการเกมแน่นอน

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส