ฟรัง นรีกุล เกตุประภากร

[สัมภาษณ์] ฟรัง นรีกุล เกตุประภากร ชีวิตที่ขับเคลื่อนทุกอย่างด้วยความหาทำ

หมอฟรัง นรีกุล เกตุประภากร ทาเลนต์ใหม่ล่าสุดที่กำลังจะเข้ามาร่วมงานกับ beartai ให้นิยามตัวเองว่าเป็นคน ‘หาทำ’

แต่ถ้าอ่านบทสัมภาษณ์นี้ก็จะพอรู้ว่า เธอเป็นคนที่หาทำจริง ๆ จากเด็กเรียนดีที่ฝันอยากเปิดร้านช็อกโกแลต ได้ไปออกรายการเกมโชว์ตั้งแต่เด็ก (ซึ่งหลายคนคงจำเธอในวัยประถมได้จากรายการนั้น) กลายมาเป็นนักแสดงวัยรุ่นที่ถูกพูดถึงอย่างมากในซีรีส์ที่เป็นกระแส กลายมาเป็นนิสิตแพทย์อย่างที่ใจฝัน และเป็นยูทูบเบอร์ ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นเพราะความหาทำของเธอทั้งนั้น

หาทำในที่นี้คงไม่ใช่การหาเรื่องไปเรื่อยเปื่อยแน่นอน การหาทำของเธอในแต่ละจุดของชีวิต ส่งผลให้เธอประสบความสำเร็จมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร เธอเล่าให้ฟังแล้วผ่านบทสัมภาษณ์นี้ ที่เราก็อยากให้หาทำหาอ่านเช่นกัน


ฟรัง นรีกุล เกตุประภากร

อัปเดตชีวิตให้แฟน ๆ beartai รู้หน่อยทำอะไรอยู่บ้างตอนนี้

ฟรังเพิ่งจะเรียนจบค่ะ ตอนนี้กำลังทำงานเป็นแพทย์ใช้ทุนปี 1 อยู่ที่โรงพยาบาลในจังหวัดสมุทรปราการ ส่วนถ้าเป็นงานอื่น ๆ ตอนนี้ก็มีช่องยูทูบ ชื่อช่องว่า ‘laohaiFrung’ (เล่าให้ฟรัง) แล้วก็มีที่มาเป็นทาเลนต์กับทาง beartai นี่แหละค่ะ ซึ่งส่วนใหญ่ตอนนี้ก็จะเน้นทำงานอยู่บนโซเชียลมีเดีย เน้นช่องทางออนไลน์เป็นหลัก เพราะว่าฟรังเองค่อนข้างหาเวลาของตัวเองตรงกับคนอื่น ๆ ยาก ก็เลยทำงานที่เน้นงานที่สามารถจัดตารางเวลาของตัวเราเองได้ ประมาณว่าว่างวันไหนก็ค่อยถ่าย อะไรแบบนี้

แล้วก็สิ่งที่ฟรังสนใจตอนนี้ก็คือกำลังศึกษาเรื่องของการลงทุนและการบริหารค่ะ ก็เลยมีไปลงเรียนเพิ่มเล็ก ๆ น้อย ๆ ตอนว่าง ประมาณนี้ค่ะ

ตอนนี้เรียกคุณว่าหมอฟรังได้แล้วใช่ไหม

เรียกได้แล้วค่ะ เพราะว่าเรียนจบแล้ว เรียกได้ซักที เพราะว่าตอนเรียน เวลาคนชอบเรียกเราว่าหมอฟรัง เราเองก็จะรู้สึกเขินหน่อย ๆ เพราะว่าเราเองก็ยังเรียนไม่จบเลย (หัวเราะ)

ถ้าจะย้อนไปถึงจุดกำเนิดของคุณในวงการ น่าจะหมายถึงซีรีส์ ‘Hormones วัยว้าวุ่น ซีซัน 2’ แต่หลายคนน่าจะจำได้ว่าคุณเองแจ้งเกิดในรายการ ‘ถ้าคุณแน่? อย่าแพ้ เด็ก (ประถม)!’

ถึงตอนนั้นเลยเหรอคะ (ยิ้ม)

ใช่ สิ่งที่อยากถามคือ ตอนนั้นคุณเป็นเด็กเรียนเก่งไหม

ถ้าตอนนั้นฟรังว่าตัวเองเป็นเด็กเรียนดีมากกว่าค่ะ เพราะฟรังเองโตมาในครอบครัวที่ให้ความสำคัญกับการเรียน เขาก็เลยส่งเสริมเราในด้านการเรียนเป็นพิเศษ ถ้าเราอยากเรียนอะไรเขาก็จะส่งเสริม ก็เลยเป็นการปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กว่าต้องตั้งใจเรียนให้ดี ฟรังก็เลยคิดว่าตัวเองเรียนดี ไม่ได้ถึงกับเรียนเก่ง แต่ก็ไม่ทิ้งการเรียน อะไรแบบนี้มากกว่าค่ะ

เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมว่าตอนเด็ก ๆ คุณไปออกรายการนั้นได้อย่างไร

คือจริง ๆ ฟรังเองชอบดูรายการถ้าคุณแน่ฯ อยู่แล้วค่ะ เวลาฟรังดูรายการปกติก็จะนั่งดูกับคุณแม่ แล้วตอนนั้นเหมือนเห็นตัววิ่งขึ้นบนจอ ว่าประกาศรับสมัครเด็กตั้งแต่ ป.1 ถึง ป.6 ไปร่วมรายการ ฟรังก็เลยรู้สึกว่าน่าสนใจดี อยากไปออกรายการนี้ ก็เลยชวนเพื่อนอีกคนไปสมัครด้วยกันเลย ต้องไปที่ตึกมาลีนนท์เพื่อจะไปสมัคร แล้วตอนนั้นก็ได้ออกรายการทั้งคู่เลย

ถ้าพูดถึงรายการถ้าคุณแน่ฯ จริง ๆ แล้วเหมือนเขาเองก็ไม่ได้ต้องการเด็กเก่งอะไรขนาดนั้นด้วยล่ะค่ะ เพราะจำได้ว่าตอนที่เขามีบททดสอบมาให้ทำ ก็ไม่ได้ยากเกินไป แต่เหมือนเขาเองอยากได้เด็กที่ดูมีคาแรกเตอร์อะไรแบบนี้มากกว่า ฟรังก็เลยได้เข้าไปค่ะ

คุณจำกัดความวัยเด็กของเด็กหญิงฟรังว่าเป็นคนแบบไหน

เป็นเด็กที่มีความฝันค่ะ แล้วตอนเด็กของฟรังก็คือ เป็นเด็กที่มีความฝันแล้วก็กล้าลงมือทำด้วยนะ เพราะว่าตอนเด็กฟรังเองจะมีความคิดน้อยมากกว่าตอนโต เป็นคนที่คิดอะไรได้ก็ทำเลย อย่างเช่นว่าตอนเด็ก ฟรังอยากขายช็อกโกแลตมาก ก็เลยไปซื้อมาหัดทำเองเลยโดยที่ไม่ได้คิดอะไรเยอะ ตอนเด็กฟรังเป็นคนฝันโน่นฝันนี่เยอะแยะ เคยฝันอยากเปิดโรงงานช็อกโกแลตด้วย เพราะว่าดูหนังเรื่อง ‘Charlie and the Chocolate Factory’ แล้วชอบมาก ดู 2-3 รอบ ก็เลยอยากเปิดโรงงานช็อกโกแลต

ฟรัง นรีกุล เกตุประภากร

ในฐานะที่คุณเป็นเด็กเรียนดี เคยมีช่วงเวลาที่กดดันตัวเองบ้างไหมว่าต้องทำให้ผลการเรียนออกมาดีตลอด

จริง ๆ ถ้าแต่ก่อนก็มีบ้างค่ะ แต่ว่ามันไม่ได้เป็นความกดดันจากใครเลยนอกจากเรากดดันตัวเอง บางทีมันเกิดขึ้นเพราะว่าเราคาดหวังเองเพราะอยากได้เอง ก็เลยกดดันตัวเองให้ทำออกมาให้ดี ถ้าทำไม่ได้ก็จะมีอาการเครียดบ้าง แต่พอโตขึ้น เข้าใจโลกมากขึ้น สิ่งนี้ก็จะน้อยลงไปเอง ถึงจุดหนึ่งเราก็จะทำให้ดีที่สุดแต่ก็ไม่ได้ไปกดดันอะไรมาก

คุณคิดว่าตัวคุณเองเป็น Perfectionist ขนาดนั้นไหม

ไม่นะ จริง ๆ หลายคนรอบตัว คนรอบข้างฟรังจะชอบบอกว่าฟรังเป็น Perfectionist เพราะว่าทำอะไรต้องออกมาดีตลอด แต่จริง ๆ แล้วฟรังว่าตัวเองไม่ได้เป็น Perfectionist อะไรขนาดนั้น คือถ้าเทียบกับคนอื่น ฟรังว่าคงมีแหละที่ฟรังจะดู Perfectionist มากกว่าคนอื่นหน่อย ในแง่ของเรื่องอะไรที่ต้องให้ความสำคัญ หรือเป็นเรื่องที่ต้องการเลือกเพื่อให้มันมันตอบโจทย์ในทุกด้านให้มากที่สุด แต่จริง ๆ แล้วชีวิตฟรังเองเป็นคนชิลมาก ๆ

แล้วคุณเองฝันอยากเป็นหมอตอนไหน

จริง ๆ ความฝันอยากเป็นหมอมันมีอยู่เรื่อย ๆ ค่ะ ทั้ง ๆ ที่ครอบครัวที่บ้านฟรังเองก็ไม่มีใครเป็นหมอเลยนะคะ แล้วก็ไม่ได้มีใครบอกว่าต้องเป็นหมอด้วย มันเหมือนฟรังถูกซึมซับจากสังคมไทยเวลาที่พูดถึงหมอ ก็มักจะพูดถึงในทางที่ดีค่อนข้างเยอะ ก็เลยอยากจะเป็นหมอ แล้วก็ไม่ได้มีแรงบันดาลใจอะไรด้วยนะ เพราะว่าฟรังเองตอนเด็กก็ไม่ค่อยป่วย ก็เลยไม่ค่อยได้ไปหาหมอ ก็เลยไม่ได้เห็นตัวอย่างว่าเขาทำกันยังไง แต่รู้แค่ว่าอาชีพหมอก็เป็นอาชีพที่ดีอาชีพหนึ่ง

แล้วตอนที่คุณเรียนหมอล่ะ คุณมีความรู้สึกกดดันแบบนั้นด้วยไหม

จริง ๆ มันก็เครียดนะคะ แต่มันก็สนุกด้วย คือมันก็ทั้งเครียดทั้งสนุกนั่นแหละ แล้วพอมองย้อนกลับไป จริง ๆ มันเร็วมากเลยนะ เป็นช่วงเวลา 6 ปีที่หายไปเร็วมาก คือมันก็มีความเครียด แล้วมันก็มีความสนุกอยู่…มั้ยนะ (นึก-หัวเราะ)

ถ้าให้เล่าแบบเรียงก็คือ ปี 1 สบายสุดค่ะ เพราะว่าเรียนวิชาพื้นฐาน ยังเป็นเฟรชชี่ ยังได้มีโอกาสเจอเพื่อนคณะอื่น ๆ แต่พอเข้าปี 2 เราก็ต้องเรียนผ่าอาจารย์ใหญ่ ซึ่งฟรังโคตรช็อกเลยนะ เพราะว่าเป็นปีที่ต้องเรียนวิชาแพทย์อย่างจริงจัง แล้วต้องจำเยอะมาก ตอนเช้าจะเรียนเล็กเชอร์ใช่ไหมคะ แล้วตอนบ่ายก็ต้องเอาสิ่งที่เล็กเชอร์ตอนเช้าไปผ่าร่างอาจารย์ใหญ่ แล้วก็กลับบ้านไปทำสรุป วนไป ๆๆๆซึ่งอย่างที่บอกว่าฟรังช็อกมาก เพราะมันต้องจำรายละเอียดพวกเส้นเลือด โน่นนี่เยอะมาก

แล้วปีสองจะมีการสอบที่เรียกว่าแล็บกรี๊ง จะมีข้อสอบวางไว้เป็นฐาน วิธีทำก็คือจะมีโจทย์ตั้งไว้ที่ฐาน แล้วก็จะมีเวลา 1 นาทีในการดูแล้วตอบให้ได้ว่าสิ่งนี้คืออะไร มีหน้าที่ทำอะไร ซึ่งฟรังเป็นคนล่กอยู่แล้วไงคะ ก็เลยรนมาก ยิ่งรีบก็ยิ่งรน กว่าจะหาเจอว่ามันคืออะไร กว่าจะหาเจอก็ กรี๊ง! หมดเวลา ต้องไปฐานต่อไปทันที มันก็เครียดและกดดันเหมือนกันนะ แต่ว่ามันก็ผ่านมาได้ ส่วนปี 3 ก็จะเป็นการเรียนในห้องแล็บเป็นส่วนใหญ่

แล้วปี 4 ถึงปี 6 ก็จะเป็นเรื่องของการขึ้นวอร์ด บางทีต้องไปราวด์เช้า ประมาณ 6 หรือ 7 โมงเช้า ก็จะได้นอนน้อยลง ก็ต้องปรับตัวกันไป ปี 2 – ปี 6 สำหรับฟรังเหมือนเป็นการไปออกรบเลย เวลาฟรังเห็นหมอเก่ง ๆ เราจะนึกเลยว่า เขาเองก็เคยผ่านอะไรแบบนี้มาเหมือนกันนี่แหละ เขาผ่านมาได้ยังไงนะ ถ้าเขาผ่านได้เราก็ต้องผ่านได้เหมือนกัน

(อ่านต่อหน้า 2)