เอสโตเนีย เป็นประเทศขนาดย่อมที่มีประชากรเพียงประมาณ 1.3 ล้านคน ตั้งอยู่ในภูมิภาคบอลติก ในยุโรปเหนือ เมืองหลวงชื่อเมืองทาลลินน์ (Tallinn) มีอาณาเขตทางทิศเหนือติดกับอ่าวฟินแลนด์ และทางทิศตะวันออกติดกับประเทศรัสเซีย

เอสโตเนียเพิ่งแยกตัวออกจากสหภาพโซเวียตช่วงปี 1991 หรือเมื่อประมาณ 30 ปีที่ผ่านมานี้เอง เป็นประเทศเล็ก ๆ ที่ไม่มีเครื่องมือทางเศรษฐกิจไว้ใช้พัฒนาประเทศ ซึ่ง ณ ช่วงเวลานั้น โทรศัพท์มือถือเป็นสิ่งที่มีเฉพาะครัวเรือนที่มีรายได้สูงเท่านั้น

แต่ปัจจุบัน เอสโตเนียกลับกลายเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่อง ‘ดิจิทัล’ กับสโลแกน ‘The Coolest Digital Society’ ที่เจ๋งสมชื่อจริง ๆ เพราะทั่วโลกต่างยอมรับว่านี่เป็นประเทศที่มีระบบบดิจิทัลในการให้บริการของภาครัฐที่ดีที่สุดในโลก ซึ่งในบทความนี้ เราขอแนะนำให้รู้จักกับระบบที่เรียกว่า e-Estonia ระบบชูโรงของประเทศที่ทั่วโลกต่างซูฮก

พาไปรู้จัก e-Estonia ระบบชูโรงของประเทศ

รัฐบาลโดยกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้วางรากฐานการทำ e-Estonia โดยเริ่มจากการช่วยเหลือประชาชนที่ยังไม่มีทักษะคอมพิวเตอร์ ให้ได้เรียนฟรีทั้งประเทศ จนในเวลาต่อมา ประชาชนมีพื้นฐานความรู้ด้านดิจิทัล ส่วนประเทศเอสโตเนียก็มีรากฐานอินเทอร์เน็ตที่ดี ทำให้ประชาชนชาวเอสโตเนียสามารถเข้าถึงการให้บริการต่าง ๆ ได้ผ่านเว็บไซต์ แทบทุกธุรกรรมที่จะต้องติดต่อกับภาครัฐได้เลยโดยตรง ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง ไม่ต้องรอคิวและไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการจัดเตรียมเอกสารใด ๆ

ตัวอย่างบริการ ได้แก่ ระบบจ่ายภาษีหรือขอคืนภาษี ระบบธุรกรรมที่ดิน ระบบจดทะเบียนบริษัท ระบบยืนยันตัวตน ระบบข้อมูลสุขภาพดิจิทัล ระบบจ่ายยาอิเล็กทรอนิกส์ ระบบเปิดบัญชีธนาคารออนไลน์ ระบบธุรกิจการค้าอิเล็กทรอนิกส์ (e-Residency) เป็นต้น

มีเพียงแค่ 3 บริการที่ภาครัฐไม่อนุญาตให้ทำผ่านระบบดิจิทัล คือ การจดทะเบียนสมรส การจดทะเบียนหย่าร้าง และการโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์

อ้างอิงจากบทความวิชาการ ระบุว่า การให้บริการภาครัฐของสาธารณรัฐเอสโตเนีย ร้อยละ 99 เป็นแบบออนไลน์ โดยให้บริการประชาชนได้ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง และสามารถให้บริการได้อย่างรวดเร็วด้วย ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้ เลยทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาได้ เช่น

  • การยื่นภาษีออนไลน์ใช้เวลาเพียง 3 นาที 
  • การจดทะเบียนบริษัทจากเดิมที่ใช้เวลา 5 วันทำการ เมื่อปรับมาเป็นระบบดิจิทัล ก็ใช้เวลาเพียงแค่ 18 นาที (เป็นสถิติโลกที่กินเนสส์รับรองตั้งแต่ปี 2009) 
  • รายการธุรกรรมที่ทำผ่านระบบธนาคารออนไลน์ร้อยละ 99.8 มีการดำเนินธุรกิจการค้าผ่านระบบ e-Residency โดยเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการสามารถลงนามในสัญญาซื้อขายหรือให้บริการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้ทั้งหมด ทำได้ทุกที่ทั่วโลก และเอสโตเนียเป็นหนึ่งในหมุดมายของ Startup ทั่วโลก  เพราะรัฐบาลตัดความยุ่งยากต่าง ๆ ในการจดทะเบียนบริษัทออกไป
  • คนไทยก็สมัคร e-Residency ผ่านทางออนไลน์ได้เหมือนกัน พอสมัครเสร็จก็ไปรับ IDCard จากสำนักงานในประเทศไทย อยู่ตึก Exchange ปากซอยอโศก
  • เลือกตั้งออนไลน์ได้ด้วยระบบ i-Voting (เริ่มทำมา 20 ปีแล้ว) ปัจจุบันมีคนโหวตเกิน 50% ที่ยังไม่ 100% เพราะประชาชน Generation ที่ผ่านการมีเอกราชมาในปี 1991 รู้สึกหวงแหนการโหวตด้วยวิธีการไปที่คูหาเพื่อแสดงพลัง
  • เป็นประเทศแรกของโลกที่ใช้บล็อกเชน (Blockchain) ในกิจการงานระดับชาติ เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลรัฐที่มีทั้งหมด เน้นไปที่ข้อมูลส่วนเปราะบาง (Sensitive Data)
  • มีบริษัทที่เป็นระดับ Unicorn อยู่ 10 แห่งแล้วในประเทศ (ระดมทุนได้เกิน 1,000 ล้านเหรียญ)

บริษัทสตาร์ทอัปที่นี่ ส่วนใหญ่ 99% ยังเป็นธุรกิจขนาดกลางและเล็ก แต่ว่าช่วยเหลือกันดีมาก เพราะเป้าหมายไม่ใช่คนในประเทศที่น้อย แต่เน้นการสร้างนวัตกรรมสู่โลกมากกว่า

ประเทศแรกของโลกที่ทำ ‘ระบบเลือกตั้งออนไลน์’ ได้สำเร็จ

เอสโตเนียเป็นประเทศแรกของโลกที่สามารถทำ ‘ระบบเลือกตั้งออนไลน์’ ได้สำเร็จ โดยเรียกระบบนี้ว่า Internet Voting หรือ i-Voting เป็นระบบการลงคะแนนเสียงออนไลน์ที่เริ่มใช้ครั้งแรกเมื่อปี 2005

ความพิเศษคือระบบนี้จะช่วยให้ประชาชนชาวเอสโตเนียสามารถทำการลงคะแนนเสียงได้จากทุกที่ทั่วโลกและลงคะแนนได้ทุกเวลาตลอด 24 ชั่วโมง ด้านรัฐบาลเองก็สามารถลดเวลาการทำงานของเจ้าหน้าที่ลงได้และประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้อีกเยอะ

สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างคือระบบ i-Voting จะอนุญาตให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งสามารถเปลี่ยนแปลงผลโหวตของตนได้แบบไม่จำกัดจำนวนครั้งจนกว่าจะถึงวันเปิดคูหาเลือกตั้งจริง (พูดง่าย ๆ คือเปลี่ยนแปลงได้เฉพาะช่วงการเลือกตั้งล่วงหน้า) หรือว่าจะเดินไปโหวตที่คูหาด้วยตัวเองก็ได้ แล้วผลโหวตออนไลน์จะเป็นโมฆะให้อัตโนมัติ

ข้อมูลหรือ Data ที่บันทึกไว้ในช่วงเลือกตั้ง จะไม่ถูกเก็บค่าว่าใครเลือกพรรคไหน แต่เอาแค่ผลคะแนนมาประกาศเท่านั้น เมื่อประกาศแล้วจะลบไฟล์ทั้งหมดทิ้งไม่เก็บไว้

ในปี 2007 เอสโตเนียโดนโจมตีทางไซเบอร์ (Cyber Attack) หนักมากทั้งหน่วยงานรัฐและเอกชน เขาเลยกลายเป็นประเทศแรกที่ใช้ KSI Blockchain ในการมาห่อหุ้มข้อมูลอ่อนไหวทุกอย่างเพื่อให้ปลอดภัย (แต่ iVoting ยังใช้ระบบบันทึกแบบมีศูนย์กลางแบบเดิม เพราะเชื่อว่าไม่จำเป็นต้องใช้ Blockchain) 

สิ่งสำคัญที่ระบบ i-Voting ของเอสโตเนียประสบความสำเร็จได้แบบนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะระบบยืนยันตัวตนอิเล็กทรอนิกส์ที่มีรากฐานแข็งแกร่งมาก (เดี๋ยวว่ากันในย่อหน้าถัด ๆ ไป)

การเลือกตั้งแต่ละครั้ง ประชาชนจะต้องเข้าสู่ระบบยืนยันตัวตนด้วย Electronic ID โดยใช้บัตรประชาชนใส่เข้าไปในเครื่องอ่านบัตร (เป็น Card Reader หน้าตาประมาณนี้) แล้วต่อเชื่อมกับเครื่องคอมพิวเตอร์อีกที ซึ่งในบัตรประชาชนจะมี Private Key ของแต่ละคนฝังเอาไว้ให้อยู่แล้ว แต่เสริมความปลอดภัยอีกขั้นด้วยการกรอก Pin Code ที่ผู้ใช้ตั้งรหัสผ่านเอง ทำให้มั่นใจได้ว่าบุคลคนนั้นคือเราจริง ๆ

สังคมดิจิทัลต้องมาพร้อม ‘ระบบยืนยันตัวตน’ ที่แข็งแกร่ง

เอสโตเนียมีระบบยืนยันตัวตนที่แข็งแกร่งและถือเป็นเรื่องใหญ่ของประเทศ โดยเขาเรียกว่าระบบ Electronic ID หรือระบบระบุตัวตนอิเล็กทรอนิกส์ เริ่มใช้มาตั้งแต่ปี 2002 และมีสโลแกนว่า ‘The Strongest Identity Since 2002’ ซึ่งเอสโตเนียแบ่งการยืนยันตนไว้ 3 แบบ

  1. บัตรประชาชน (คนส่วนใหญ่ยังใช้กันอยู่ คิดเป็นประมาณ 64%)
  2. ใช้ Mobile ID ผ่านซิมการ์ด (คนใช้ประมาณ 19%)
  3. ใช้ผ่านแอปพลิเคชัน หรือ Smart-ID (คนใช้วิธีนี้มากถึง 44%)

บัตรประชาชนเริ่มทำที่อายุกี่ขวบก็ได้ เช่น ถ้าจะพาลูก 1 ขวบขึ้นเครื่องบินก็มาทำบัตรประชาชนได้เลย แต่จะบังคับว่าเมื่อถึงอายุ 15 ปีต้องทำทุกคน โดยบัตรประชาชนเขาเดินทางได้ทั้งภูมิภาคยุโรป ไม่ต้องมีพาสปอร์ตก็ได้

X-Road ระบบข้อมูลที่พร้อมเปิดเผยให้ประชาชนรับรู้

การเก็บ Data ทั้งประเทศ เก็บเพียงชุดเดียวเท่านั้น หน่วยงานต่าง ๆ ไม่สะสมข้อมูลไว้เอง เมื่อประชาชนอยากได้ข้อมูลเหล่านี้ ก็แค่เข้ามาที่ศูนย์กลางเรียกว่า X-Road (ซึ่งแน่นอนว่าปลอดภัยเพียงพอและแบ็กอัปตลอดเวลาไว้ที่ประเทศ Luxembourg ด้วย)

รัฐบาลเอสโตเนียมีคอนเซ็ปต์ในการทำ X-Road ว่า “การเข้ามาเอาข้อมูลจากรัฐ มันน่าเชื่อถือกว่าเอกสารที่คนอื่นทำออกมา เพราะอาจถูกปลอมแปลงได้” เช่นตอนที่บริษัทจะเช็กสถานะนักศึกษาหรือ Transcript จากมหาวิทยาลัย ทางบริษัทจะมั่นใจได้ว่าข้อมูลที่หามาจาก X-Road มีความน่าเชื่อถือมากกว่าเอกสารที่นักศึกษาคนนั้นถือมาแสดง 

ก้าวต่อไปของ e-Estonia

สรุปให้เห็นภาพรวมอีกทีนึง e-Estonia แข็งแกร่งขึ้นมาได้เพราะ 3 เสาหลักนี้

  1. ประชาชนมั่นใจด้วย E-ID ต่าง ๆ 
  2. หาข้อมูลได้เสมอ (X-Road)
  3. ความเชื่อมั่นว่าจะไม่มีใครทำอะไรกับข้อมูลได้ (ใช้ KSI Blockchain เข้ามาช่วย)

ส่วนก้าวต่อไปของ e-Estonia คือการพัฒนาระบบให้มีบริการที่ไร้รอยต่อมากขึ้น (Seamless e-Service Available 24/7) เช่น การนำ AI มาใช้ในบริการภาครัฐ, ข้ามพรมแดนได้ด้วยดิจิทัล, การแพทย์ส่วนบุคคล และที่สำคัญคือเพื่อสิ่งแวดล้อมด้วย

เป้าหมายบริการรัฐสูงสุดเลยคือ “ใครเกิดในเอสโตเนีย” แจ้งเกิดครั้งเดียว แล้วหลังจากนั้น Benefits ทุกอย่างในประเทศ ไม่ต้องสมัครอีกเลย สามารถรับสิทธิต่าง ๆ โดยแจ้งผ่านหน้าจอเพื่อให้มาใช้บริการ ตั้งแต่ฉีดวัคซีน บริการทางการแพทย์ต่าง ๆ ไปถึงการศึกษาและทุกเรื่องในชีวิต

และนี่คือทั้งหมดของ e-Estonia ระบบดิจิทัลพื้นฐานที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับชาวเอสโตเนีย ปัจจุบัน เอสโตเนียได้รับการยอมรับว่าเป็นประเทศเศรษฐกิจดิจิทัลและสังคมแห่งข้อมูลที่มีความก้าวหน้ามากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งถ้าพิจารณาจากข้อมูลทั้งหมดข้างบนแล้วล่ะก็ คงพูดได้อย่างเต็มปากว่า ‘เหมาะสม’ และ ’ไร้ข้อกังขา’ จริง ๆ

ที่มา : 1,2,3,4,5,6

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส