นายสุพจน์ สัญญพิสิทธิ์กุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (รักษาการ) บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS เปิดเผยว่า หลังจากการประกาศผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 1 ปี 2566 ทางตลาดหลักทรัพย์ขึ้นเครื่องหมาย C เนื่องจากส่วนของผู้ถือหุ้นน้อยกว่า 50% ของทุนชำระแล้ว

สำหรับหลักทรัพย์ที่ถูกขึ้นเครื่องหมาย C จะต้องซื้อด้วยบัญชี Cash Balance (วางเงินสดล่วงหน้ากับโบรกเกอร์เต็มจำนวนก่อนซื้อหลักทรัพย์) ตั้งแต่วันที่ขึ้นเครื่องหมายเป็นต้นไปจนกว่าจะแก้เหตุดังกล่าวได้

นายสุพจน์ยังเปิดเผยอีกว่า สาเหตุที่ส่วนผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ลดลงต่ำกว่าครึ่งหนึ่งของทุนชำระแล้วในไตรมาส 1 ปี 2566 เนื่องจากรายได้หลักจากธุรกิจบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตลดลงจากการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ค่าใช้จ่ายปรับเพิ่มสูงขึ้นจากการขึ้นอัตราค่าเช่าเส้นใยแก้วนำแสง (OFC) ของกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต จัสมิน หรือ JASIF

รวมถึงธุรกรรมการจำหน่ายเงินลงทุนใน บริษัท ทริปเปิลที บรอดแบนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ 3BB ให้แก่ บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด หรือ AWN เสร็จไม่ทันภายในไตรมาสที่ 1 ปี 2566 อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ธุรกรรมการจำหน่ายเงินลงทุนใน 3BB ให้แก่ AWN ที่มีมูลค่า 32,420 ล้านบาท ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของ กสทช. โดยคาดว่าน่าจะได้รับการอนุมัติภายในเร็ว ๆ นี้

ซึ่งหลังจากนั้น บริษัทฯ จะสามารถบันทึกกำไรจากธุรกรรมดังกล่าว และมีกระแสเงินสดเพิ่มขึ้นอย่างมาก ส่งผลให้มีสถานภาพทางการเงินที่เข้มแข็งและลงทุนในธุรกิจใหม่ ๆ ตามแผนที่วางไว้ได้ อาทิ ธุรกิจพลังงานสะอาด (JASGREEN), ธุรกิจให้บริการการดูแลสุขภาพแบบดิจิทัล (JAS Care)

ตลอดจนธุรกิจต่าง ๆ ของ กลุ่มบริษัท จัสมิน เทคโนโลยี โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือกลุ่ม JTS ได้แก่ ธุรกิจสินทรัพย์ ดิจิทัล และเทคโนโลยีที่เน้นการดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับเหมืองขุดบิตคอยน์ โดยมีการลงทุนใน Solar Farm ขนาด 3.8 MWatt เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานไฟฟ้าในการทำเหมืองขุดบิตคอยน์ และสร้างรายได้เพิ่มจากการขายคาร์บอนเครดิต

นอกจากนี้ JTS ยังมีธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการทำเหมืองขุดบิตคอยน์ อาทิ ธุรกิจ FinTech เพื่อให้บริการแพลตฟอร์มสำหรับการโอนเงินระหว่างประเทศ ผ่านเครือข่าย Lightning Network ของบิตคอยน์ ที่จะช่วยให้การโอนเงินระหว่างประเทศมีความสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และมีค่าใช้จ่ายที่ลดลง จึงขอให้ผู้ถือหุ้นและนักลงทุนทั่วไปมั่นใจได้ว่า บริษัทฯ จะสามารถดำเนินธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนและมั่นคงต่อไป

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคมที่ผ่านมา JAS ได้รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2566 ซึ่งสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2566 ต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่าบริษัทและบริษัทย่อยมีผลขาดทุนสุทธิ 875 ล้านบาท ขาดทุนเพิ่มขึ้น 1,007 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน แต่ขาดทุนลดลง 331 ล้านบาท หรือขาดทุนลดลงคิดเป็น 27% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2565 ซึ่งมีขาดทุนสุทธิ 1,206 ล้านบาท