นายกรัฐมนตรีประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ใช่เป็นผู้นำคนเดียวที่ประชาชนในประเทศได้พากันต่อว่าเรื่องการฉีดวัคซีนที่ล่าช้าและมีจำนวนโดสที่ไม่เพียงพอกับความต้องการของคนในประเทศ เป็นข่าวพาดหัวอยู่ทุกวี่ทุกวัน

พูดได้ว่าเกือบทุกประเทศเจอปัญหาลักษณะเดียวกันหมด ยกเว้นประเทศที่มีขีดความสามารถในการทำวัคซีน อย่างเช่น สหรัฐอเมริกา จีน รัสเซีย ญี่ปุ่น และบางประเทศในยุโรป

ถึงแม้ว่าจะมีการผลิตวัคซีนในโลกออกมาเป็นจำนวนมากเพียงพอ การแจกจ่ายวัคซีนทั้งที่บริจาคหรือซื้อขายก็ยังไม่ทั่วถึงอยู่ดี นอกเหนือจากนั้น ยังมีคนส่วนหนึ่งในประเทศต่าง ๆ ที่ไม่อยากฉีดเพราะกลัวเป็นหนูทดลองหรือมีผลข้างเคียง

คนอเมริกันเป็นตัวอย่างที่ดี ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ตอกย้ำว่า ก่อนถึงวันชาติสหรัฐฯ เมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาว่ารัฐบาลจะสามารถฉีดวัคซีนให้คนอเมริกันได้ถึง 70 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 160 ล้านคน ปรากฏว่า ‘ทำไม่สำเร็จ’ เนื่องจากยังมีคนอเมริกันที่สนับสนุนพรรคริพับลิกันและอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ อยู่ ที่ยังไม่ยอมฉีด นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สหรัฐอเมริกามีวัคซีนเหลือที่ไม่ได้ใช้กำลังจะหมดอายุ ทำให้ประธานาธิบดีไบเดนต้องประกาศบริจาควัคซีน 80 ล้านโดสให้ประเทศด้อยพัฒนาและที่เป็นมิตร ในอนาคตมีแนวโน้มที่จะเพิ่มจำนวนมากขึ้น 

ในไทยก็คล้ายกัน นายกรัฐมนตรีประยุทธ์ได้สัญญาว่า คนไทยจะได้ฉีดวัคซีนอย่างทั่วถึงภายในสิ้นปี แถมยังตอกย้ำว่าไทยจะเปิดประเทศภายในวันที่ 15 ตุลาคม เพื่อให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวในประเทศ คนไทยก็จะได้เดินทางเที่ยวกันในประเทศโดยไม่ต้องมีการกักตัว เพื่อให้ธุรกิจโรงแรม การท่องเที่ยว และบริการต่าง ๆ ฟื้นตัวขึ้นมา

รัฐบาลวางแผนมีการเตรียมนำเข้าวัคซีนยี่ห้อต่าง ๆ จากสหรัฐอเมริกาและจีน แต่ปรากฏว่าคนไทยส่วนใหญ่ไม่เชื่อรัฐบาล และมีการตั้งประเด็นถามกันมากในสื่อโซเชียลที่ส่อให้เห็นว่าน่าจะมีการคอร์รัปชันหรือทุจริตในการซื้อขาย รวมทั้งการกั๊กการนำเข้าวัคซีนบางยี่ห้อเข้ามาในประเทศ ทำให้เกิดทฤษฎีสมคบคิดออกมามากมายที่อ้างอิงถึงข้อมูลและข้อเท็จจริงต่าง ๆ โดยไม่มีการตรวจสอบ ถึงกับมีข้อกล่าวหา “รัฐบาลตั้งใจฆ่าประชาชน” 

ตอนนี้ไม่ใช่ประเด็นเรื่องขาดวัคซีน แต่เป็นประเด็นเรื่องเตียงสำหรับผู้ป่วยโควิดทั้งในโรงพยาบาลและภาคสนามที่จัดเตรียมไว้ไม่เพียงพอ

คนไทยต่างจากคนอเมริกัน ตรงที่ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเสื้อสีอะไรฝ่ายไหนก็ตามอยากฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันรวมให้ได้ ล่าสุดรัฐบาลไทยพยายามกว้านหาวัคซีนให้มากที่สุด รวมทั้งที่สามารถยืมมาใช้ก่อน แล้วค่อยคืนทีหลัง โดยเล็งเป้าไปยังสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย แคนาดา ที่มีวัคซีนสำรองมากมาย ถ้านำมาฉีดไม่ทันอาจจะหมดอายุเสียเปล่า

ที่น่าสนใจที่สุดคือมีเกาหลีใต้ ขอยืมวัคซีนยี่ห้อไฟเซอร์จากอิสราเอลมาทั้งหมด 700,000 โดส มาฉีดให้ประชาชนของตนเรียบร้อย แล้วสัญญาจะใช้คืนให้อิสราเอลในปลายปี ถือเป็นครั้งแรกที่มีความร่วมมือในลักษณะนี้ สาเหตุหลักคือวัคซีนของอิสราเอลกำลังจะหมดอายุในปลายเดือนนี้ ต้องรีบให้ยืมใช้

องค์การอนามัยโลกได้เรียกร้องประเทศร่ำรวยกลุ่มสมาชิกจี 20 ให้บริจาควัคซีนจำนวน 3,000 ล้านโดสเพื่อฉีดและสร้างภูมิคุ้มกันโรคโควิดให้กับคนทั่วไปทั้งโลก เมื่อเดือนที่แล้วกลุ่มจี 7 มีแถลงการณ์ออกมาว่าจะบริจาควัคซีนจำนวน 1,000 ล้านโดสให้กับประเทศด้อยพัฒนา องค์การอนามัยโลกเป็นห่วงว่าตราบใดที่ยังมีคนทั่วไปในโลกนี้ที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีน โลกใบนี้จะไม่ปลอดภัย ทำให้การพัฒนาประเทศทั่วโลกต้องหยุดชะงัก

สำหรับประเทศที่ไม่มีวัคซีนพอ ซึ่งรวมทั้งไทยด้วยนั้น อาจจะต้องอดทนรอวัคซีนที่สั่งนำเข้าล็อตใหม่ หรือรอวัคซีนบริจาค หรือวัคซีนขอยืมมาใช้ก่อน

ทั้งจีนและสหรัฐอเมริกาให้ความสำคัญต่อการทูตวัคซีนมาก ในปีหน้าประธานาธิบดีไบเดนจะออกแผนยุทธศาสตร์ที่จะเสริมสร้างความร่วมมือทางด้านสาธารณสุขให้กับประเทศในเอเซียอาคเนย์ เพราะถือว่าพื้นที่นี้เป็นหัวใจของเอเชีย ถ้าสหรัฐอเมริกาต้องการสู้และเอาชนะจีน ต้องสามารถเอาชนะประกบจีนตัวต่อตัว วัคซีนต่อวัคซีนในภูมิภาคนี้ให้ได้

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส