‘ขุนพันธ์’ ภาพยนตร์ไตรภาคที่เดินทางมายาวนานถึง 10 ปี จากค่ายสหมงคลฟิล์ม กำกับโดย โขม-ก้องเกียรติ โขมศิริ ถือเป็นผลงานที่รวมนักแสดงฝีมือดีและตัวเต็งในวงการมาไว้ในหนังเรื่องนี้ โดยช่วงต้นปีที่ผ่านมา ‘ขุนพันธ์’ ได้เดินทางมาถึงบทสรุปสุดท้ายในภาคที่ 3 ซึ่งตัวหนังก็ได้เข้าฉายในโรงก่อนจะกวาดรายได้ทะลุหลัก 100 ล้านบาท และผ่านไปเพียงไม่กี่เดือน ‘ขุนพันธ์’ ทั้ง 3 ภาค ก็มีโอกาสได้เข้าฉายบนสตรีมมิง HBO GO ที่จะฉายให้แก่คนทั่วโลกได้ดูหนังเรื่องนี้กัน 

เนื่องในโอกาสพิเศษนี้เอง ทาง HBO GO เปิดโอกาสให้ beartai BUZZ ร่วมสัมภาษณ์กับนักแสดงนำของ ‘ขุนพันธ์ 3’ ได้แก่ ตัวละครนำอย่าง ขุนพันธ์ รับบทโดย อนันดา เอเวอริงแฮม, เสือมเหศวร รับบทโดย มาริโอ้ เมาเร่อ และ เสือดำ รับบทโดย ภาคิน คำวิลัยศักดิ์ นั่นเอง

ตัวละคร ‘ขุนพันธ์’ เปรียบเสมือนฮีโรคนหนึ่งของไทย ในวันที่หนังเรื่องนี้กำลังจะฉายบนสตรีมมิงทั่วโลกอย่าง HBO GO พวกคุณคิดว่าในสายตาของชาวต่างชาติหนังเรื่องนี้สามารถเทียบกับ ‘ซูเปอร์ฮีโร’ คนอื่น ๆ ได้หรือไม่?  

อนันดา: ผมว่ามันเป็นโลกของ ‘ขุนพันธ์’ มันอาจจะเปรียบเทียบกับหนังซูเปอร์ฮีโรต่างชาติได้ยาก เพราะมันเหมือนอยู่กันคนละจักรวาลและคนละโลกกัน แถมยังมีเรื่องของวัฒนธรรมที่แตกต่างกันอีกด้วย แต่สิ่งที่เราตื่นเต้นในการนำเสนอและอยากให้ชาวต่างชาติได้เห็นก็คือ ได้มาเห็น มารู้จัก และมาเป็นส่วนหนึ่งของโลกนี้ ไม่ต้องคิดอะไรมาก ดูแบบที่ไม่รู้อะไรมาก่อนเลยก็ได้ มาดูแบบหัวโล่ง ๆ แล้วก็ลองดูเลย 

ซึ่งพอเขาได้มาดูหนังเรื่องนี้กันก็อาจจะมีรีแอ็กชันแบบที่ผมได้เล่าไปก่อนหน้านี้ ที่คนนิวยอร์กดูหนังแล้วเขาก็อุทานกันว่า “เห้ย อะไรวะเนี่ย มันเกิดขึ้นได้ไงวะ!” อย่างฉากที่ผมยิงปืนใส่พี่น้อยในหนัง แล้วตัวละครพี่น้อยเขาก็คายกระสุนออกมา  ซึ่งพวกเขาทึ่งกันมากเลยนะตอนที่ได้ดูหนังเรื่องนี้

ส่วนหนึ่งมันอาจเป็นเพราะว่าหนังเรื่องนี้มันทลายกำแพงความคิดที่พวกเขาเคยคิดไว้ก็ได้ ซึ่งตัวผมก็ชอบนะที่คนดูได้รู้สึกอะไรแบบนั้น จริง ๆ ก็ต้องเปิดใจด้วยนะ ชอบหรือไม่ชอบ จริง ๆ ไม่เป็นอะไรหรอก เพราะว่าแต่ละคนก็มีสไตล์และความชอบส่วนตัวอยู่แล้ว แต่เราก็อยากให้เขาได้ลองเปิดใจเข้ามาดู ‘ขุนพันธ์’ เพื่อให้เขาได้รู้จักโลกของขุนพันธ์ ความเชื่อต่าง ๆ ของคนไทย และวัฒนธรรมของคนไทยแบบนั้นมากกว่า 

ทั้ง 3 คน มีความคาดหวังกับหนังเรื่องนี้อย่างไรบ้างในวันที่ ‘ขุนพันธ์’ เข้าฉายบนสตรีมมิงทั่วโลก? 

อนันดา: ในมุมของผม ถ้าจะให้ไปเทียบกับซีรีส์เอเซียอย่าง ‘Squid Game’ ที่มันแพร่หลายและโด่งดังทั่วโลก มันก็อาจจะเทียบได้ยากไปหน่อย ด้วยตัวคอนเซ็ปต์ของซีรีส์ที่มันมีการคิดมาให้สากลมากกว่า อย่างทุกคนต้องต่อสู้กันเพื่อเงิน แต่พอเป็น ‘ขุนพันธ์’ มันก็มีความเฉพาะมากกว่า ซึ่งผมก็แค่รู้สึกว่าอยากให้คนได้มาสำรวจวัฒนธรรมของคนไทยมากขึ้น อย่างถ้าสมมติเราได้ดูหนังประวัติศาสตร์แล้วรู้สึกอิน ทำให้เราอยากจะไปค้นหาและเรียนรู้ประวัติศาสตร์เพิ่มขึ้น แต่ถ้าคาดหวังอยากให้หนังเรื่องนี้มันสร้างปรากฏการณ์แบบ ‘Squid Game’ เช่น อยู่ดี ๆ คนจะมาแปะหนวด (แบบขุนพันธ์) กันทั่วโลก…ก็ดีสิครับ  

คิดว่าหนังขุนพันธ์’ จะสามารถเป็นซอฟต์พาวเวอร์ได้หรือไม่?  

อนันดา: จริง ๆ มันก็เหมือนกับทุก ๆ โปรเจกต์แหละ ที่เราภูมิใจในมัน เราอยากให้มันถูกส่งต่อไปได้ อย่างผมได้ไปดู ‘Parasite’ ครั้งแรก คือมันอินสไปร์ผมมากเลย จากหลายปีที่ผมรู้สึกว่าก็แค่ทำงานแบบเอาให้มันผ่าน ๆ ไป บางทีก็ต้องยอมรับ เพราะมันเหมือนเราอยู่กับงานมานาน แต่พอได้ไปดู ‘Parasite’ มา ก็เลยคิดกับตัวเองได้ว่า “กูทำอะไรกับชีวิตกูอยู่เนี่ย ต้องกลับมาตั้งใจทำงานหน่อยแล้ว”  

ซึ่งผมมองว่าถ้าโปรเจกต์มันทำมาดี แล้วมันทัชคน มันก็สามารถอินสไปร์ให้คนได้ในหลาย ๆ ทาง ซึ่งผมก็อยากให้คนมาดู แล้วก็ไม่ต้องดูจากมุมเดียวกันหมดก็ได้ หรือไม่ต้องได้ในสิ่งเดียวกันทั้งหมด เราก็แค่อยากเปิดโอกาสให้คนนอกวงการบันเทิงไทยได้มาเห็นหนังเรื่องนี้บ้าง 

มาริโอ้: จริง ๆ ผมก็มองคล้ายพี่จ่อย (อนันดา) ว่ามันเป็นซอฟต์พาวเวอร์อีกแบบ ที่อย่างน้อยก็ได้เห็นหนังที่เป็นแอ็กชันไทยแท้ ๆ แบบนี้ ซึ่งมันไม่ได้มีบ่อย ๆ มันก็เลยมีความเป็นเอกลักษณ์ ความเฉพาะตัว เป็นตัวของตัวเองมาก ๆ และ ‘ขุนพันธ์’ ก็คงคอนเซ็ปต์นี้มาตั้งแต่ภาคแรกอยู่แล้ว ผมเลยเชื่อว่ามันต้องสร้างแรงบันดาลใจให้คนไม่มากก็น้อยแน่นอน 

โตโน่: ส่วนตัวผมอยากให้หนังเรื่องนี้เป็นซอฟต์พาวเวอร์นะ และผมก็ดีใจด้วยที่หนังเข้าบน HBO GO เพราะเรามีความรู้สึกว่ามันสามารถเชื่อมโยงได้กับความอยากรู้ของชาวต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็น เรื่องของรอยสัก พระเครื่อง วัดวาอาราม แต่เพียงแค่เราไม่ได้ไปเน้นในแบบที่เขาเคยเห็น ๆ มา อันนี้มันคือหนัง และตัวละครในหนังก็เอาความเชื่อเหล่านั้นมาใช้ในชีวิตจริง ซึ่งมันก็เป็นความจริงของยุคนั้นด้วย ที่คนบ้านเราเชื่อแบบนั้นจริง ๆ  

มันถึงเป็นที่มาว่าทำไมฝรั่งถึงอยาก ‘สัก’ ตามเรา ไม่ว่าจะเป็น เก้ายอด ห้าแถว แปดทิศ มันมีที่มาของมันหมด ไม่ใช่แค่เราเขียนขึ้นมาเอาเท่ ๆ ดังนั้นถ้าเกิดว่าเขาดูหนังแล้วสนุก เกิดอยากรู้ว่าเรื่องต่าง ๆ ในหนังมันจริงไหม ผมก็เลยรู้สึกว่าถ้ามันเกิดการตั้งคำถามแล้วก็พยายามหาข้อมูลต่อจากที่ดูหนังไม่ว่าจะเป็นภาคไหน ผมว่ามันคงจะดีมากเลยสำหรับประเทศของเรา 

ความประทับใจในการทำงานร่วมกัน เป็นอย่างไรบ้าง? 

มาริโอ้: พวกเราทั้ง 3 คน เป็นศิษย์จากอาจารย์เดียวกันหมด พี่จ่อยก็เป็นศิษย์พี่ใหญ่ในบ้าน แค่ช่วงที่ผ่านมา ผมไม่ค่อยได้ร่วมงานกับพี่จ่อยเท่าไหร่ จะมีก็เรื่องนี้เลยที่ได้ร่วมงานกันเป็นเรื่องแรกแบบเต็ม ๆ ซึ่งกับพี่จ่อยเราก็รู้สึกตื่นเต้น เพราะเราสนิทกับพี่จ่อยอยู่แล้ว แต่ไม่เคยได้ร่วมงานกันเลย พอมาเจอในหนังเรื่อง ‘ขุนพันธ์’ ตอนเช้าพี่เขาก็ยังปกติ แต่พอใส่ชุดขุนพันธ์เท่านั้นแหละ…เปลี่ยนเป็นคนละคนเลย 

พี่จ่อยเขาเป็น ‘ขุนพันธ์’ มานานแล้วด้วย 10 ปีแล้ว แต่พอเจอกันผมก็รู้สึกขนลุก พลังของตัวละครพี่จ่อยมันส่งมาถึงผมในฐานะนักแสดง ตอนได้เล่นก็รู้สึกว่าทั้งพี่จ่อย ทั้งชุดของตัวละคร มันพาเราเข้าไปถึงตัวละครได้ง่ายมาก แล้วก็กับพี่โตโน่ด้วย ผมรู้สึกสนุกมากที่ได้ร่วมงานกับพี่ ๆ รู้สึกว่าเขาเต็มที่กันมาก ๆ เราเลยสนุกทุกครั้งที่ได้เข้าฉากร่วมกัน ผมรู้สึกว่ามันเป็นบรรยากาศการทำงานที่สนุกมาก ได้เจอทั้งพี่ ทั้งน้อง และทุกคนที่ตั้งใจมาทำงาน จะเหนื่อยแค่ไหนแต่พวกเราก็ลุยเต็มที่ ซึ่งมันเป็นบรรยากาศที่ผมชอบและประทับใจมาก ๆ  

อนันดา: ส่วนตัวผมมองในฐานะนักแสดงว่า จริง ๆ ในความเป็นมืออาชีพ เราก็อยากจะมีความพอใจและอิ่มใจส่วนตัวปนอยู่ด้วยในการทำงาน แบบว่าเรากำลังทำงานที่มีความหมายนะ เราทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่าง แล้วเราก็ได้คืนกลับมาจากทีมงาน นักแสดงที่เป็นพาร์ทเนอร์ของเรา มันเลยเป็นบรรยากาศที่สร้างสรรค์สำหรับคนที่อยู่ในสายอาชีพนี้ ที่ต้องซีเรียสกันหน่อยและมีศรัทธากับชิ้นงานของเรา  

ผมถึงชอบพูดว่า ‘ขุนพันธ์’ มันดูเป็นหนังใหญ่ แต่ถ้าใครได้มีโอกาสไปกองถ่ายของเรา จะรู้เลยว่าทุกคนก็อดทน อยู่ด้วยกัน ลุยด้วยกัน ร้อนด้วยกัน

โตโน่: จริง ๆ ผมว่าทั้งหมดทั้งมวลมันเป็นความภาคภูมิใจของผม ความภาคภูมิใจของนักแสดงทุกคนเลยที่ได้มีโอกาสมีส่วนร่วมในหนังเรื่อง ‘ขุนพันธ์’ แล้วก็ถ้าหนังภาคที่ 1 และ 2 มันไม่ดีก็คงจะไม่มีหนังภาค 3 ต้องขอบคุณทุก ๆ อย่างเลย และเราก็หวังว่าแรงกาย แรงใจ ความรัก ที่เราทุกคนช่วยกันใส่เข้าไปในงาน ซึ่งมันก็ยากนะ กว่าจะมารวมตัวกันได้แบบนี้ ในโปรดักชันแบบนี้ ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจมาก ๆ และก็หวังว่าต่างประเทศ หลาย ๆ ชาติคงจะมีโอกาสได้ดู ได้ลองเข้ามาอยู่ในโลกของพวกเราดู  

เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าวันข้างหน้า ถ้า ‘ขุนพันธ์’ มันประสบความสำเร็จมาก ๆ มันอาจจะกลายเป็นเรื่องราวที่ต่อยอดอะไรได้อีก ก็ต้องรอดูกันต่อไป แล้วผมก็จะรอฟังฟีดแบ็กจากชาวต่างชาตินะ

สำหรับใครที่สนใจอยากรับชมภาพยนตร์เรื่อง ‘ขุนพันธ์’ ทั้ง 3 ภาค สามารถรับชมได้ที่ HBO GO เท่านั้น 

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส