Variety ได้รายงานว่า ‘Indiana Jones and the Dial of Destiny’ ทำรายได้ทั่วโลกสุทธิไป 375 ล้านเหรียญ ซึ่งอยู่ในระดับน่าผิดหวังมาก เนื่องจากใช้ทุนสร้างไปมหาศาลถึง 295 ล้านเหรียญ โดยที่ยังไม่รวมค่าโปรโมตทั่วโลก

รายงานดังกล่าวระบุว่า Disney ต้องขาดทุนไปประมาณ 100 ล้านเหรียญ จากการฉายในโรงภาพยนตร์ ‘Indiana Jones and the Dial of Destiny’ กลายเป็นหนึ่งในภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ฟอร์มยักษ์ที่พลิกคว่ำอย่างรุนแรงที่สุดในซัมเมอร์ปี 2023 นี้ ซึ่งเป็นการปิดแฟรนไชส์ ‘Indiana Jones’ ไปอย่างไม่น่าประทับใจเท่าไรนัก แม้ว่าผู้กำกับ เจมส์ แมนโกลด์ (James Mangold) จะได้รับคำชมว่านำเอกลักษณ์ของภาพยนตร์คลาสสิกกลับมาอีกครั้ง และการแสดงของ แฮร์ริสัน ฟอร์ด (Harrison Ford) ก็ยังคงเปี่ยมเสน่ห์ก็ตาม

Indiana Jones and the Dial of Density

หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ ‘Indiana Jones and the Dial of Destiny’ ไม่สามารถเข้าถึงผู้ชมในวงกว้างได้ เนื่องจากยังคงใช้อารมณ์คลาสสิกของแฟรนไชส์ที่มีนานถึง 42 ปี นับตั้งแต่ ‘Raiders of the Lost Ark’ (1981) ซึ่งมิใช่สิ่งที่ผู้ชมยุค Gen Z จะเข้าถึงได้ง่ายนัก

นอกจากนี้ ด้วยความที่ ‘Indiana Jones and the Kingdom of the Crystal Skull’ (2008) ทำให้เกิดคำวิจารณ์แยกออกเป็น 2 ฝ่าย ทั้งชอบและไม่ชอบ ซึ่งทำให้ผู้ชมบางส่วนเกิดความไม่แน่ใจในภาพยนตร์ภาคสุดท้ายนี้ด้วยเช่นกัน

หลังจากผ่านวิกฤติ Covid-19 ไปแล้วนั้น หลายสตูดิโอเร่งส่งภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ทุนสร้างมหาศาลหลายเรื่องเข้าฉายในโรงภาพยนตร์เพื่อกระตุ้นตลาดภาพยนตร์ทั่วโลกที่ซบเซามากว่า 2 ปี แต่ถึงกระนั้น นอกจาก ‘Indiana Jones and the Dial of Destiny’ ที่ยังไม่สามารถทำได้สำเร็จแล้วนั้น ก็ยังมี ‘Mission: Impossible – Dead Reckoning Part One’ และ ‘Fast X’ รวมอยู่ด้วย

ที่มา : ScreenRant

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส