หลังจากเปิดตัวได้อย่างยอดเยี่ยมบน Netflix ไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้วกับ ‘The Killer’ ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของหนึ่งในสุดยอดผู้กำกับ เดวิด ฟินเชอร์ (David Fincher) ที่เรียกคะแนนนิยมของแฟน ๆ มาได้อย่างมากมาย ท่ามกลางเสียงชื่นชมทั้งของนักวิจารณ์ที่ได้คะแนน Rotten Tomatoes ถึง 85% และได้รับการอวยยศให้เป็นหนังทริลเลอร์ที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งของเจ้าตัวเลยทีเดียว และแม้จะยังไม่มีข่าวคราวของ ‘The Killer’ ภาค 2 ออกมา แต่ก็พอจะคาดเดาได้ว่าหนังเรื่องนี้ของฟินเชอร์ มีโอกาสที่จะกลายเป็นแฟรนไชส์ภาพยนตร์เรื่องแรกของเจ้าตัวค่อนข้างชัดเจน

หลังจากเซ็นสัญญามาตั้งแต่ปี 2020 ‘The Killer’ เป็นหนังเรื่องแรกของฟินเชอร์ที่สร้างมาเพื่อสตรีมลงจอ Netflix โดยเฉพาะ แต่ก่อนหน้านั้นเขาเองก็ได้ร่วมงานฝากฝีมือกับ Netflix มาแล้วมากมายอย่างซีรีส์ House of Cards (2013- 2018), Mindhunter (2017 – 2019), Love, Death & Robots 2019 และ  Mank (2020) หนังที่ไปคว้ารางวัลออสการ์มาได้ถึง 2 รางวัลในปี 2021 และจากความปังของ ‘The Killer’ ทำให้โปรเจกต์ต่าง ๆ ของเขาในอดีตถูกคาดเดาว่าอาจจะมีการรื้อฟื้นคืนชีพกันขึ้นมาเช่นข่าวลือเกี่ยวกับภาคต่อของหนัง ‘The Social Network’ (2010) และซีซันที่ 3 ของ ‘Mindhunter’ ที่ได้รับเสียงชื่นชมอย่างมากมายจากแฟน ๆ รวมถึงความเป็นไปได้ที่ ‘The Killer’ จะกลายมาเป็นแฟรนไชส์หนังเรื่องแรกของเขาอย่างแน่นอน และนี่คือเหตุผล 8 ข้อที่สนับสนุนความเป็นไปได้ในเรื่องนี้

8. หนังไตรภาค ‘Millennium’ ที่ยังสร้างไม่จบเพราะภาคต่อของ ‘The Girl With The Dragon Tattoo’ โดนเท !

‘The Girl With the Dragon Tattoo’ คือหนังภาคแรกของซีรีส์ ‘Millennium’ ที่สร้างจากหนังสือ 1 ใน 3 เล่ม จากทั้งหมด 6 เล่มของซีรีส์ ‘Millennium’ โดยทั้งสามเล่มนี้เป็นบทประพันธ์ของ สตีก ลาร์ซอน (Stieg Larsson) นักเขียนชาวสวีเดน ที่ได้ รูนีย์ มาร่า (Rooney Mara) และ แดเนียล เคร็ก (Daniel Craig) เป็นนักแสดงนำ แต่น่าเสียดายที่รายได้จากหนังไม่เพียงพอต่อไฟเขียวของบอร์ดบริหาร Sony หนังภาคต่อของซีรีส์นี้ก็โดนเทไปอย่างน่าเสียดาย

7 . ในฉากจบของ ‘The Killer’ มีอะไรให้เล่นต่อได้อีกเยอะ

ฉากจบปลายเปิดที่ปล่อยให้คนดูคิดต่อกันเองว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปกับมือสังหารที่รับบทโดย ไมเคิล ฟาสเบ็นเดอร์ (Michael Fassbender) นั่งชิลอยู่กับแฟนสาว หลังจากที่ปล่อยให้ เคลย์บอร์น ที่รับบทโดย อาร์ลิสส์ ฮาวเวิร์ด (Arliss Howard) มีชีวิตรอดอยู่ ชวนให้คิดต่อไปว่าจะมีเหตุการณ์อะไรต่อจากนี้อีกไหม เรื่องราวที่พร้อมจะโดนขยายได้ และก็มีแนวโน้มว่าความเป็นไปได้มีมากเลยทีเดียว

6. ‘The Killer’ อาจจะปังแบบ John Wick 

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ‘John Wick ‘ นั้นคือสุดยอดแฟรนไชส์หนังแอ็กชันที่ได้ทั้งเงิน และคำชื่นชมจากนักวิจารณ์มากที่สุดในยุคนี้ และเมื่อหนังภาคล่าสุด ‘John Wick’ ภาค 4 ไม่ถูกนำมาลงสตรีมเพราะปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์ ( 3 ภาคแรกเป็นของ Peacock ภาค 4 เป็นของ Starz) จนทำให้ Netflix พยายามจะสร้างความปังแบบ John Wick เป็นของตัวเอง และนี่คือโอกาสที่ดีของ ‘The Killer’ เพราะทั้งเสียงชื่นชม และมียอดคนดูเป็นอันดับ 1 และมีศักยภาพอย่างมากที่จะขยายจักรวาลออกไปได้อีก ขอให้เชื่อมือฟินเชอร์เถอะ

5. ฟาสเบ็นเดอร์ กำลังจะได้รับงานแสดงจากหนังแฟรนไชส์เจ้าใหญ่

นั่นหมายความว่าชื่อชั้น และฝีไม้ลายมือของเขาจัดอยู่ในระดับท็อปก็ไม่แปลก เพราะที่ผ่านมาเขาได้รับบทนำจากภาพยนตร์ในแฟรนไชส์ X-MEN (รับบทเป็น เอริค เลห์นเชอร์ และ แม็กนีโต) และไปปรากฎตัวในหนัง  ‘Prometheus’ (2012) และ ‘Alien: Covenant’ (2017) ของ ริดลีย์ สก็อต (Ridley Scott) แถมยังมีข่าวว่าจะได้แสดงในหนัง ‘Alien: Romulus’ ในปี 2024 นี้อีกด้วย ถ้าจะขยายความ ‘The Killer’ ต่อไปอีกสองภาคสามภาค เขาก็น่าจะพร้อมมาร่วมงานด้วยอย่างแน่นอน 

4. ‘The Killer’ ในภาคคอมิกก็มีอะไรพร้อมที่จะให้ดัดแปลงเติมแต่งได้อยู่แล้ว

เพราะ ‘The Killer’ สร้างจากบทดัดแปลงที่ต้นฉบับคือหนังสือการ์ตูนจากฝรั่งเศส ที่แต่งเรื่องเป็นภาษาฝรั่งเศสโดย อเล็กซิส โนลองท์ (Alexiz Nolent) หรือ Matz จัดการงานภาพโดย ลุค ฌากามง (Luc Jacamon) จนได้รับการดัดแปลง และแปลเป็นภาษาอังกฤษถึง 26 เล่ม จากต้นฉบับ 13 เล่ม นั่นหมายความว่ายังมีเรื่องราวจากในหนังสืออีกมากมายที่ยังไม่ถูกนำมาเล่า 

3. ได้รับเสียงชื่นชมจากนักวิจารณ์ในเชิงบวกมากมาย

ด้วยคะแนนนิยมจากนักวิจารณ์บนเว็บไซต์ Rotten Tomato ถึง 85% และได้รับความนิยมบน Netflix จนได้ขึ้นเป็นภาพยนตร์ที่มียอดคนดูอันดับ 1 จึงทำให้โอกาสที่จะขยายความในภาคต่อของหนังมีความเป็นไปได้อย่างยิ่ง

2. จบแบบให้คนดูคิดกันต่อไปเอง

แม้ว่าการเดินเรื่องด้วยบทพูดที่ออกจะมากเกินไปจนทำให้คนดูอึดอัด และการเชื่องช้าของการเล่าเรื่อง ฉากแอ็กชันก็ไม่ค่อยจะมีอย่างที่หนังแอ็กชันมัน ๆ ควรจะมี แต่นี่ก็คือข้อที่สามารถปรับปรุงแก้ไขกันได้ มือระดับฟินเชอร์แล้วเชื่อว่าถ้าได้สร้างภาค 2 จริง ๆ เราอาจจะได้เห็นอะไรที่ตื่นเต้นเร้าใจกว่าภาคแรกนี้ก็ได้ ดูได้จากความสำเร็จของ ‘House of Cards’, ‘Mindhunter’ เป็นตัวอย่าง และ Netflix เองก็ไม่น่าจะปล่อยโอกาสทองนี้ไป

1. นี่คือหนังที่ดาร์กสุด แต่ก็สนุกที่สุดของเขาในรอบหลาย ๆ ปี

ถ้าใครดู ‘Se7en’ และ ‘Fight Club’ ที่สร้างชื่อเอาไว้ในยุค 90’s ก็พอจะการันตีฝีมือของเขาได้เป็นอย่างดี และเชื่อว่าถ้าเขาได้รับโอกาสจาก Netflix เราจะอาจจะได้เห็นสุดยอดแฟรนไชส์หนังจากชายที่ชื่อว่า เดวิด ฟินเชอร์ กันเป็นแน่ ขอให้แฟน ๆ ตั้งตารอกันให้ดี

ที่มา : Screenrant

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส