Variety ได้รายงานว่า A24 ค่ายภาพยนตร์อิสระมาแรงที่สุดในตอนนี้ ได้เซ็นสัญญาเป็นระยะหลายปีกับบริการสตรีมมิง Max ของ Warner Bros. Discovery เพื่อนำภาพยนตร์นำภาพยนตร์ชื่อดังของตนไปฉายบนแพลตฟอร์มสตรีมมิง Max เป็นระยะเวลาหลายปีต่อเนื่องหลังจากที่ภาพยนตร์นั้น ๆ ได้สิ้นสุดการฉายในโรงภาพยนตร์แล้ว รวมถึงการนำภาพยนตร์ไปฉายทางช่อง HBO และ Cinemax ด้วย

A24 ได้ตกลงสัญญาล่าสุดนี้หลังจากเพิ่งสิ้นสุดสัญญากับช่อง Showtime ของ Paramount ที่เซ็นมาตั้งแต่ปี 2019 โดยสัญญาล่าสุดนี้จะรวมถึงการนำภาพยนตร์ล่าสุดในปีนี้ของ A24 ที่ได้รับการคาดหวังว่าจะเฉิดฉายบนเวทีรางวัลต่าง ๆ เช่น ‘Priscilla’, ‘Dream Scenario’ และ ‘The Iron Claw’ เป็นต้น มาฉายบน Max ด้วย

A24 Logo

A24 กลายเป็นสตูดิโอภาพยนตร์อิสระที่ได้รับความสนใจจากผู้ชมในวงกว้างมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยมีผลงานระดับรางวัลมากมาย รวมถึงรางวัลออสการ์ เช่น ‘Moonlight’ (2016), ‘The Whale’ (2022) และ ‘Everything Everywhere All at Once’ (2022) รวมถึงภาพยนตร์แหวกตลาดหลายเรื่องที่กลายเป็นขวัญใจผู้ชมและนักวิจารณ์ เช่น ‘X’ (2022), ‘Pearl’ (2022), ‘Lady Bird’ (2017), ‘Minari’ (2020), ‘The Farwell’ (2019), ‘Past Lives’ (2023), ‘The Florida Project’ (2017), ‘Aftersun’ (2022), ‘Talk to Me’ (2023) และ ‘The Tragedy of Macbeth’ (2021) เป็นต้น

ดีลนี้ยังเปิดโอกาสให้ Warner Bros. Discovery และ A24 สร้างสรรค์ผลงานร่วมกันในอนาคตได้มากขึ้นด้วย โดยในปัจจุบัน A24 ได้สร้างซีรีส์ดราม่าเซอร์เรียลสุดโต่งอย่าง ‘Euphoria’ สำหรับฉายทาง HBO อยู่ในขณะนี้

ดีลดังกล่าวจะส่งผลเฉพาะกับภาพยนตร์ของ A24 ที่เข้าฉายในโรงภาพยนตร์เท่านั้น ซึ่งหมายความว่าทางค่ายยังคงสามารถสร้างซีรีส์ร่วมกับ Apple เพื่อฉายบนบริการสตรีมมิง Apple TV+ ได้ต่อไปอีกด้วย

ภาพยนตร์เรื่องอื่น ๆ ของ A24 ที่จะเข้าฉายในปลายปี 2023 ยังมีทั้ง ‘The Zone of Interest’ และ ‘Occupied City’ สารคดีที่เล่าเรื่องตั้งแต่สงความโลกครั้งที่ 2 มาถึงยุคปัจจุบันที่มีการแพร่ระบาดของโรคร้ายในยุคปัจจุบัน

ที่มา : ScreenRant

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส