‘Scarface’ (1983) หนังอาชญากรรมสุดเดือด ผลงานกำกับของ ไบรอัน เดอ พัลมา (Brian De Palma) ถือเป็นหนังมาเฟียสุดบ้าคลั่งที่เต็มไปด้วยความดิบเถื่อนถูกใจคอหนัง รวมทั้งบทบาท โทนี มอนทานา (Tony Montana) ที่รับบทโดย อัล ปาชิโน (Al Pacino) อดีตทหารชาวคิวบาที่อพยพเข้ามาอยู่ในสหรัฐอเมริกา ที่ไต่เต้าขึ้นเป็นเจ้าพ่อค้ายาเสพติดเจ้าของสมญา ‘มาเฟียหน้าบาก’ ที่ค่อย ๆ แผ่ขยายความชั่วช้าบ้าคลั่งของตัวเองออกไป ก่อนจะพบกับบทสรุปและจุดจบที่รุนแรงไม่แพ้กัน

ซึ่งด้วยความสำเร็จของตัวหนังที่กลายมาเป็น Pop Culture ของยุค 80s ก็เลยมีความพยายามที่จะนำกลับมารีบูตอีกครั้งเป็นรอบที่ 3 และหนึ่งในผู้กำกับที่เคยเข้ามาคุมบังเหียนก็คือ เดวิด เอเยอร์ (David Ayer) ผู้กำกับหนังหนังแอนตี้ฮีโรแก๊งรวมวายร้าย ‘Suicide Squad’ (2016) ของ DC ที่ตอนนี้กำลังจะมีผลงานหนังแอ็กชันเรื่องใหม่ ‘The Beekeeper’ ที่แสดงนำโดย เจสัน สเตแธม (Jason Statham) ที่จะเข้าฉายในวันที่ 12 มกราคม 2024

เอเยอร์ให้สัมภาษณ์ในนิตยสาร Total Film ฉบับล่าสุด เกี่ยวกับเหตุผลที่เขาตัดสินใจถอนตัวจากโปรเจกต์ ‘Scarface’ ฉบับรีบูตไปในปี 2017 และยังตอบโต้รายงานบางฉบับที่เปิดเผยว่าเขาตัดสินใจถอนตัวก็เพราะว่า Universal Pictures มองว่าเรื่องราวในบทเวอร์ชันที่เขาเขียนนั้นรุนแรงและดาร์กเกินไปจนต้องถูกปัดตก

Al Pacino Scarface (1983) © 1983 Universal

“หนึ่งในบทที่ดีที่สุดที่ผมเคยเขียนก็คือฉบับร่าง ‘Scarface’ ครับ ข่าวมันกระจายไปทั่วฮอลลีวูด ออกไปถึงข้างนอก คือมันก็ตลกดีนะครับเวลาที่มีคนพูดถึงโปรเจกต์นี้ว่า ‘นี่เป็นบทที่เอเยอร์เขียนหรือเปล่า?’ ‘อ๋อ ไม่ นั่นคนอื่นเขียนน่ะ’ แล้วก็ ‘อ๋อ โอเค'”

เอเยอร์กล่าวเพิ่มเติมว่า เหตุผลที่ Universal ปัดตกหนังเรื่องนี้ จนนำไปสู่การถอนตัวของเขา ไม่ได้เป็นเพราะหนังที่มีความรุนแรงมากเกินไปเหมือนอย่างที่ลือกัน แต่เป็นเพราะว่าสตูดิโอต้องการเรื่องราวที่มีความสนุกสนานและมีความเข้าถึงในวงกว้าง หรือแมสมากกว่าวิสัยทัศน์ที่เอเยอร์ต้องการนำเสนอ

“คือมันก็ไม่ได้รุนแรงอะไรขนาดนั้นหรอกครับ ผมว่าผมอำพรางได้อยู่ คือถ้าเกิดว่าในหนังมีใครถูกยิง ผมก็อาจจะถ่ายภาพคนนั้นตอนถูกระเบิดหัว แล้วก็ได้เรต R เลย ซึ่งมันง่ายมากไง เป็นหลักการพื้นฐานของการสร้างหนังอยู่แล้วด้วยซ้ำ แต่ผมต้องการจะสร้างเรื่องราวที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณของตัวละครนักค้ายาเสพติด และสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา เพียงแค่ว่าสตูดิโอต้องการอยากได้ความสนุกสนานมากกว่านั้น อะไรแบบนี้ครับ”

‘Scarface’ เวอร์ชัน 1983 เป็นหนังรีเมกจากเวอร์ชันปี 1932 สร้างจากหนังสือนิยายที่เขียนโดย ฮาวเวิร์ด ฮอว์กส (Howard Hawks) โดยเวอร์ชัน 1983 นั้นเป็นเวอร์ชันที่ได้รับคำวิจารณ์อย่างงดงาม ในฐานะของหนังมาเฟียที่เต็มไปด้วยความรุนแรง คำหยาบคาย และสะท้อนภาพความโหดร้ายของชีวิตได้อย่างรุนแรง จนกลายมาเป็นหนึ่งในภาพจำของยุค 80s

โดยเฉพาะเพลงประกอบจาก ฝีมือการประพันธ์ของ จอร์โจ โมโรเดอร์ (Giorgio Moroder) ที่มีชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ สาขาดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม รวมทั้งในปี 2005 ประโยค “ทักทายเจ้าเพื่อนตัวน้อยหน่อยโว้ย!” (“Say ‘hello’ to my little friend!”) ของ โทนี มอนทานา ยังได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 100 ประโยคหนังดังในรอบ 100 ปีของสถาบันภาพยนตร์อเมริกัน (American Film Institute – AFI)

Al Pacino Scarface (1983) © 1983 Universal

สตูดิโอเจ้าของหนังอย่าง Universal มีความพยายามจะรีบูตหนังเรื่องนี้มาตั้งแต่ปี 2011 โดยเอเยอร์ได้เข้ามาเขียนบทร่วมกับ เดวิด เยตส์ (David Yates) จนกระทั่งมีรายงานว่ามีผู้กำกับหลายคนที่เข้ามาดูแลโปรเจกต์นี้ ทั้ง พาโบล ลาร์เรน (Pablo Larraín) รวมทั้ง อองตวน ฟูคัว (Antoine Fuqua) ที่เข้ามาดูแลโปรเจกต์ในปี 2016 จนกระทั่งเอเยอร์ได้เข้ามาสานต่อโปรเจกต์นี้ และสุดท้ายก็ถอนตัวออกไปในปี 2017

ความคืบหน้าล่าสุดของโปรเจกต์รีบูต ‘Scarface’ ก็คือ เดือนพฤษภาคม 2020 ผู้กำกับ ลูกา กัวดานินโญ (Luca Guadagnino) ได้เซ็นสัญญาเข้ามารับหน้าที่กำกับจากบทที่เขียนขึ้นใหม่โดยพี่น้องโคเอน (Coen Brothers) ซึ่ง ณ ตอนนี้ โปรเจกต์ยังอยู่ในสถานะหยุดนิ่ง ไม่มีความเคลื่อนไหวอัปเดตออกมา และยังไม่มีการยืนยันว่า ณ ตอนนี้ กัวดานินโญยังคงทำงานในโปรเจกต์นี้อยู่หรือไม่

เอเยอร์ยังได้กล่าวในบทสัมภาษณ์เดียวกันว่า ‘Scarface’ ถือว่าเป็นทรัพย์สินทางปัญญาที่ยิ่งใหญ่ เขาเองไม่ได้มีความขุ่นข้องหมองใจกับ Universal ที่ต้องการสร้างให้หนังเรื่องนี้มีความแมส แต่ด้วยวิสัยทัศน์ที่แตกต่าง (และติดลูป ‘นรกแห่งการพัฒนา’ มานานมาก) เลยทำให้เขาจำต้องถอนตัวออกไป

“สำหรับผม ‘Scarface’ เป็นทรัพย์สินทางปัญญาที่ใหญ่ที่สุด (Universal) หลังจาก ‘Jurassic Park’ พวกเขาจึงต้องการดึงดูดผู้ชมจำนวนมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ผมเองรักยูนิเวอร์แซลมากนะครับ พวกเขาน่าทึ่ง ผมได้พูดคุยอย่างเปิดใจเกี่ยวกับหนังในแบบที่พวกเขาอยากได้ และหนังที่ผมเองอยากจะทำ แต่มันมีความแตกต่างระหว่างกัน มันก็เลยง่ายที่ผมจะพูดว่า ‘งั้นผมขอแยกทางแล้วกัน'”


ที่มา: Total Film

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส