เมื่อวันที่ 28 เมษายนที่ผ่านมา อดัม แอรอน (Adam Aron) ประธานกรรมการบริหารของ AMC เครือโรงหนังขนาดใหญ่อันดับต้นของอเมริกา (นึกอารมณ์ประมาณเครือเมเจอร์ของบ้านเรา) ได้ส่งจดหมายเปิดผนึกไปยัง ดอนนา แลงเลย์ (Donna Langley) ประธานบริษัทหนังของค่าย ยูนิเวอร์แซล ค่ายหนังใหญ่เบอร์ต้นของโลก โดยมีใจความสำคัญว่า “การตัดสินใจเพียงฝ่ายเดียวของค่ายยูนิเวอร์แซลที่เกิดขึ้น บังคับให้เราไม่มีทางเลือก ดังนั้นนับแต่บัดนี้ไปโรงหนังทั้งหมดของเครือ AMC จะไม่ฉายหนังจากค่ายยูนิเวอร์แซลอีก ทั้งในสหรัฐอเมริกา ยุโรป และในตะวันออกกลางด้วย”

อดัม แอรอน เจ้าพ่อแห่งวงการโรงหนังอเมริกา

ดูเป็นการหักกันอย่างรุนแรงจนต้องย้อนกลับไปดูว่าค่ายยูนิเวอร์แซลตัดสินใจกระทำการอะไรเพียงฝ่ายเดียวหรือ? ที่ทำเอาเครือโรงหนังออกจดหมายประกาศกร้าวเช่นนี้ เพราะเป็นที่รู้ดีว่าค่ายหนังกับโรงหนังต่างก็ต้องพึ่งพาอาศัยกันไม่ต่างจากน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าเสมอมาไม่ว่ายุคไหน ๆ

โดยการตัดสินใจเพียงฝ่ายเดียวของยูนิเวอร์แซลที่ว่า เกิดขึ้นเป็นผลพวงจากสถานการณ์โรคโควิด-19 แพร่ระบาดจนรัฐบาลอเมริกาต้องสั่งให้ปิดโรงหนังและสถานบันเทิงต่าง ๆ เป็นการชั่วคราวนับตั้งแต่วันที่ 17 มีนาคมที่ผ่านมา จนถึงตอนนี้รวมเป็นเวลาเดือนกว่าแล้วทั้งนี้ก็ยังไม่มีสัญญาณที่ชัดเจนว่าจะกลับมาเปิดได้วันไหนอย่างแน่นอน มีเพียง เกรก แอบบอตต์ (Greg Abbott) ผู้ว่าการรัฐเท็กซัสที่ออกตัวนำว่าจะให้เปิดโรงหนังและสถานที่ต่าง ๆ ของรัฐเท็กซัสในวันศุกร์ที่จะถึงนี้ โดยรัฐอื่น ๆ ยังสงวนท่าที่อยู่ และทางเครือ AMC ก็ออกมาตอบชัดว่ายังไม่มีแผนจะกลับมาเปิดโรงหนังในเร็ววันนี้อย่างน้อยก็จนกว่าจะถึงเดือนกรกฎาคมนี้ และผลต่อเนื่องก็ทำให้หลายค่ายหนังตัดสินใจเลื่อนฉายหนังของตัวเองออกไปบางเรื่องเป็นหลักเดือน บางเรื่องก็ข้ามไปเป็นปีหน้าเลยก็มี และบางเรื่องที่เข้าฉายไปแล้วแต่โดนสั่งปิดโรงหนังกลางครันก็หันไปลงฉายทางสตรีมมิงต่อทั้ง Onward ของดิสนีย์ หรือ The Invisible Man ของยูนิเวอร์แซลเอง

The Invisible Man ของยูนิเวอร์แซลคือหนังเรื่องหลังสุดที่ได้เข้าโรง โดยหลังจากเข้าฉายไปได้ราว 2 อาทิตย์ โรงหนังก็ต้องหยุดให้บริการ ทำให้ค่ายหนังตัดสินใจนำหนังไปลงบริการสตรีมมิ่งแทน

แต่สำหรับหนังแอนิเมชันภาคต่อจากค่ายดรีมเวิร์กอย่าง Trolls World Tour ที่ยูนิเวอร์แซลเป็นผู้จัดจำหน่ายนั้น ถึงแม้ว่าภาคแรกจะทำรายได้ไม่ขาดทุนและมีแฟนชื่นชอบพอประมาณ และในภาคต่อนี้ก็ยังได้ดาราดังอย่าง แอนนา เคนดริก และ จัสติน ทิมเบอร์เลก มารับบทต่อก็ตาม แต่ภาพรวมแล้วมันก็ไม่ได้ถูกคาดหวังถึงขนาดต้องฉายในโรงหนังเลยก็ได้ (ทุนสร้างถูกลดลงจาก 125 ล้านเหรียญในภาคแรก เหลือ 90 ล้านเหรียญ) ว่ากันตามตรงถ้ามันจะลงแผ่นหรือลงออนไลน์เลยก็ไม่รู้สึกตะขิดตะขวงเท่าใดนัก และอาจเพราะรายได้จากการนำ The Invisible Man ลงสตรีมมิงที่ผ่านมาก็อาจเป็นที่น่าพอใจด้วย นั่นจึงนำมาซึ่งการตัดสินใจหักหนัง Trolls World Tour ออกจากตารางการฉายโรงแล้วส่งตรงสู่บริการสตรีมมิงอย่าง Amazon Prime, VUDU (บริการสตรีมมิงของวอลมาร์ต) และ YouTube TV เมื่อวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมา

และผลตอบรับก็ดีเกินคาดถึงขนาดที่ เจฟ เชลล์ (Jeff Shell) ประธานกรรมการบริหารของ NBCUniversal ออกมาพูดว่านี่อาจเปลี่ยนโลกทัศน์ของการจัดจำหน่ายหนังหลังจากภาวะโควิด-19 เลยก็ได้ ซึ่งคำพูดนี้เองที่ไปจี้ต่อมของทาง AMC อย่างยิ่ง

ความสำเร็จทางการขายผ่านสตรีมมิ่งของ Trolls World Tour อาจเป็นแนวโน้มที่ไม่ดีนักสำหรับโรงหนัง

จากการประเมินรายได้ที่ต่างกันระหว่างการฉายโรงและฉายทางออนไลน์นั้นมีข้อมูลว่ารายได้จากการฉายโรงนั้นจะถูกหักให้เครือโรงหนัง 55% และค่ายหนังจะได้รับ 45% แต่สำหรับการฉายช่องทางออนไลน์อย่างสตรีมมิงค่ายหนังจะได้รับเงินถึง 80% ของรายได้ ซึ่งที่ผ่านมาโรงหนังยังเป็นช่องทางหลักที่คนเข้าไปรับชมหนังใหม่ ทำให้ค่ายยังเลือกการฉายโรงเป็นลำดับแรกแม่สัดส่วนรายได้จะน้อยกว่ามาก แต่กับกรณีที่โรงหนังเปิดไม่ได้และค่ายหนังเองก็จะไม่มีรายรับเข้ามาจุนเจือเช่นนี้ ยูนิเวอร์แซลจึงอาจมองว่ารายรับจากช่องทางสตรีมมิงก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจได้บ้างก็ยังดีกว่ายังไม่ได้เลย แต่ผลตอบรับในการชมหนังทางสตรีมมิงในช่วงการกักตัวนี้ก็เกินกว่าที่ยูนิเวอร์แซลคาดหวังไว้เช่นกัน ดังนั้นยูนิเวอร์แซลจึงมีแผนส่งหนังตลกของ จัดด์ อะพาโทว์ (Judd Apatow) เรื่อง The King of Staten Island ลงฉายสตรีมมิงต่อจาก Trolls World Tour ด้วยเช่นกัน

The King of Staten Island หนังเกี่ยวกับวงการเดี่ยวไมโครโฟน จะเป็นหนังเรื่องต่อไปของยูนิเวอร์แซลที่หันไปลงสตรีมมิ่งเลย

และในมุมมองของ AMC ที่กำลังตกภาวะยากลำบากในการบริหารเครือโรงหนังให้รอดพ้นช่วงเวลาไม่สามารถดำเนินธุรกิจได้จนมีผลให้เสี่ยงต่อการล้มละลายนั้น พาร์ตเนอร์ทางธุรกิจที่สำคัญมาแยกทางทอดทิ้งเช่นนี้ก็คงเป็นเรื่องไม่สบอารมณ์นัก แต่ในแง่ธุรกิจทาง AMC ก็จำเป็นต้องเล่นบทแรงเช่นกันเพื่อปรามผู้จัดจำหน่ายใหญ่รายอื่น ๆ ว่าการนำหนังไปลงสตรีมมิงเลย อาจต้องพบปัญหากับการจัดจำหน่ายหนังผ่านโรงหนังในอนาคตเช่นกัน โดยจดหมายของ AMC ยังมีข้อความเพิ่มเติมถึงค่ายหนังอื่น ๆ ด้วยว่า

“มาตรการนี้ไม่ใช่การจำเพาะเจาะจงลงดาบกับยูนิเวอร์แซลแต่อย่างใด หากแต่รวมถึงผู้สร้างหนังรายใดก็ตามที่ทำการละทิ้งประเพณีการค้าที่ดีระหว่างเราด้วย หากแต่ในวันนี้ยูนิเวอร์แซล (ผ่านทาง เจฟ เชลล์) เป็นค่ายหนังเพียงแห่งเดียวที่พูดผ่านสื่ออย่างชัดเจนว่านี่จะเป็นกระบวนการจัดจำหน่ายหนังใหม่หลังจากนี้ เราจึงต้องแสดงจุดยืนตอบโต้ออกมา” ทั้งนี้ผู้สร้างหนังรายอื่นที่ถูกอ้างถึงในจดหมายนี้อาจหมายถึงค่ายวอร์นเนอร์ที่ตัดสินใจนำหนังแอนิเมชัน Scoob! ลงฉายทางสตรีมมิงแทนในวันที่ 15 พฤษภาคมที่จะถึงนี้นั่นเอง

โปสเตอร์เดิมของหนัง Scoob! จากค่ายวอร์นเนอร์ที่เคยระบุว่าเฉพาะในโรงภาพยนตร์ ก็กลายเป็นอีกเรื่องที่กำลังจะไปลงสตรีมมิ่งแทน

หากมองสาเหตุว่าทำไมทาง AMC ต้องออกตัวแรงเช่นนี้ นั่นก็เพราะเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมานักวิเคราะห์ของ วอลล์สตรีท ได้ลดระดับความน่าลงทุนในหุ้นของ AMC จากระดับปกติลงเป็น “ควรขาย” ทั้งปัญหาที่ไม่สามารถเปิดดำเนินการโรงหนังทั้ง 634 แห่งในอเมริกาและแคนาดา รวมถึงอีกกว่า 1,000 โรงที่กระจายอยู่ทั่วโลกได้แล้ว ยังมีภาระหนี้อีกกว่า 4,900 ล้านเหรียญจากการปรับปรุงโรงหนัง และการเข้าซื้อกิจการต่าง ๆ ก่อนหน้านี้อีก ซึ่งส่งผลให้เงินสำรองของเครือน้อยลงกว่าปกติลงไปอีก จึงไม่แปลกที่ AMC ต้องเล่นใหญ่ให้คู่ค้าอื่น ๆ ตระหนักความสำคัญของโรงหนัง

ซึ่งจะว่าไปก็เป็นการเดินเกมที่ฉลาดของ AMC เพราะแม้จะดูเสียงแข็งมาก แต่ในความเป็นจริงมันเป็นจังหวะเวลาที่เหมาะสม ทั้งนี้เนื่องจากโปรแกรมใหญ่ ๆ ของยูนิเวอร์แซล ทั้ง Fast & Furious 9, Jurassic World: Dominion และแอนิเมชัน Minions: The Rise of Gru ต่างเลื่อนไปเป็นปีหน้าทั้งหมดแล้ว โปรแกรมที่ยังจ่อคิวในปีนี้ก็เหลือเพียง Candyman (25 กันยายน) Bios (2 ตุลาคม) และ Halloween Kills (16 ตุลาคม) ซึ่งมีเวลาถมเถให้ยูนิเวอร์แซลมาง้อหรือทำการเจรจาต่อรองผลประโยชน์กันอีกครั้ง อย่างเต็มที่ก็คงพลาดแค่ไม่ได้ฉาย 3 เรื่องหลังที่เป็นหนังขนาดกลาง ๆ ซึ่งไม่ได้มีผลกระทบเท่าหนังบล็อกบัสเตอร์ที่จะฉายปีหน้าแน่นอน นั่นจึงนำมาสู่ข้อความที่ว่า “เรายังพร้อมจะนั่งลงเจรจาเกี่ยวกับวิถีทางจัดจำหน่ายหนังกับทางยูนิเวอร์แซล” ที่ AMC กล่าวทิ้งในจดหมาย เพื่ออ่อยเปิดทางให้ยูนิเวอร์แซลเข้ามาพูดคุยเต็มที่

F9 ที่เลื่อนหนีไปปีหน้า ยังไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ และยังมีเวลาให้ค่ายกับโรงหนังเจรจาอีกมาก ซึ่งหาก F9 ถูกโรงแบนด้วย ก็คงเป็นความเสียหายหนักของธุรกิจหนังทั้งค่ายและโรงหนังในอเมริกาเอง

Candyman ที่จะกลับมาอีกครั้งภายใต้การคุมของ จอร์แดน พีล อาจเป็นหนังเรื่องแรกที่รับผลกระทบจากกรณีดังกล่าว

อย่างไรเสียน้ำคำในจดหมายของ AMC โดยเฉพาะการระบุว่า พฤติกรรมที่ตัดสินใจเอาเองฝ่ายเดียว นั้นดูจะสร้างปัญหาต่อภาพลักษณ์ของค่ายยูนิเวอร์แซลเช่นกัน ทำให้ทางยูนิเวอร์แซลต้องออกมาตอบโต้จดหมายดังกล่าวว่า

“เป้าหมายในการนำ Trolls World Tour ลงสู่ตลาดสตรีมมิงนั่นก็เพราะเราใส่ใจกับส่งมอบความบันเทิงให้กับทุกคนที่ต้องกักตัวอยู่ที่บ้าน และมันเป็นการตัดสินใจที่ถูกทั้งในแง่ความรับผิดชอบต่อผู้ชมและต่อธุรกิจของเราด้วย เรายังคงสนับสนุนการฉายหนังของเราผ่านโรงหนังในอนาคต โดยอาจควบคู่กับกับการฉายผ่านทางสตรีมมิงหากผู้ให้บริการนั้นมีความเหมาะสมเพื่อตอบโจทย์สำคัญคือการส่งหนังไปยังผู้ชมให้กว้างที่สุด เรายังหวังว่าจะได้สนทนาอย่างเป็นส่วนตัวกับผู้ประกอบการธุรกิจโรงหนังที่เป็นคู่ค้าของเรา อย่างไรก็ตามเรารู้สึกผิดหวังต่อการแสดงออกของ AMC ที่ทำให้เจตนาดีของเราถูกเบี่ยงเบนไป”

ยูนิเวอร์แซลที่พยายามเอาตัวรอดในช่วงวิกฤตไม่ต่างจากบริษัทอื่น ๆ ก็แสดงท่าทีไม่พอใจนักกับข้อความในจดหมายจาก AMC ที่ออกมาในเชิงตำหนิรุนแรง

อย่างไรเสียก็เชื่อว่าไม่มีทางที่คู่ค้าอย่างค่ายหนังกับโรงหนังจะแตกหักกันไปได้ โรงหนังยังคงเป็นช่องทางเผยแพร่สำคัญของหนังระดับบล็อกบัสเตอร์ที่ค่ายต่าง ๆ ยังต้องพึ่งพา แต่กระนั้นเราก็เห็นใจว่าสถานการณ์อันไม่ปกติในปัจจุบันนี้คงทำให้บริษัทต่าง ๆ ล้วนต้องหนีตายทั้งสิ้น จึงไม่อาจจะโทษใครได้จากกรณีที่เกิดขึ้น ทั้งนี้แม้โรงหนังจะกลับมาเปิดได้อีกครั้งจริง ๆ ทางสำนักข่าวรอยเตอร์ก็ได้เผยแพร่ผลสำรวจประชาชนชาวอเมริกันและพบว่า มีเพียงราว ๆ 40% ของทั้งหมดเท่านั้นที่จะกลับเข้าโรงหนังหรือสถานบริการต่าง ๆ ทันทีหากมีการเปิดอีกครั้ง ส่วนอีก 40% เลือกที่จะให้มีวัคซีนออกมาก่อนจึงจะมั่นใจกลับไปใช้บริการสถานบันเทิง และอีก 20% ที่เหลือก็ยังไม่สามารถตอบได้ว่าจะทำอย่างไร ซึ่งนี่เป็นตัวเลขที่น่ากลัวพอสมควรสำหรับธุรกิจโรงหนังอย่าง AMC แม้จะกลับมาเปิดให้บริการได้อีกครั้ง

ผลสำรวจเผยมีผู้ชมในอเมริกาเพียง 40% เท่านั้นที่คิดว่าจะกลับมาดูหนังในโรงทันทีที่เปิด ทำให้สถานการณ์โรงหนังในอนาคตยังไม่แน่นอนนัก

 

อ้างอิง

 

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส