เชื่อว่าแฟน ๆ ‘Dragon Ball’ คงจะได้ชม ‘Dragon Ball Super Super Hero’ กันไปเรียบร้อยแล้ว ที่เรื่องราวในคราวนี้จะไปทาง ซง โกฮัง (Son Gohan) ลูกชายของ ซง โกคู (Son Goku) ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยถูกปั้นให้เป็นพระเอกแทนโกคูที่เสียชีวิต ก่อนที่โกคูจะกลับมาเป็นพระเอกอีกครั้งเพราะความนิยมลูกชายไม่ถึง ซึ่งตั้งแต่ต้นจนจบเรื่องราวใน ‘Dragon Ball’ ภาคหลัก (ตอนนี้มีภาคใหม่ในชื่อ ‘Dragon Ball Super’ ที่ดำเนินอยู่) ตัวเนื้อหาในการ์ตูนซีรีส์นี้ก็มีเรื่องราวที่ซ่อนอยู่หรือเราลืมคิดไปมากมาย โดยเรื่องราวเหล่านี้มักจะแฝงอยู่ในบทพูดการกระทำของตัวละครในเรื่องที่กล่าวเอาไว้ ซึ่งเราที่เป็นคนอ่านคนดูอาจจะลืมคิดตาม ที่เมื่อเราเอาคำพูดเหล่านั้นมาคิดตามก็ค้นพบเนื้อหาใหม่ ๆ ที่น่าสนใจมากมายในเรื่องนี้ จะมีเรื่องราวอะไรที่น่าสนใจแต่เราลืมคิดไปนั้นก็มาดูไปพร้อมกันเลย

Goku คือภัยร้ายแรงที่สุดของโลก

Dragon Ball

เริ่มต้นเรื่องแรกกับสิ่งที่ที่หลายคนคงจะลืมคิดไปหรือคาดไม่ถึงเกี่ยวกับตัวละครพระเอกของซีรีส์นี้ กับนายมีหาง ซุน โกคู (Son Goku) ที่หลายคนมักจะคิดว่าเขาคือคนที่มาปกป้องโลกจากภัยต่าง ๆ มากมายตั้งแต่ขบวนการ ‘Red Ribbon’ จอมมารปีศาจ พิโกโร่ (Piccolo) และถ้าไม่มีโกคู พ่อมดบาบิดี้ (Babidi) คงจะปลุก จอมมารบู (Majin Buu) ให้ตื่นขึ้นมาและทำลายโลกอยู่ดี เรียกว่าถ้าไม่มีโกคูเหล่าร้ายคงจะเปลี่ยนหน้ามาปกครองโลกเป็นว่าเล่นอย่างแน่นอน แต่ถ้าเราคิดในอีกมุมหนึ่งการมีตัวตนของโกคูเองก็เป็นคนนำภัยร้ายมาเยือนโลกเช่นกัน อย่างคำกล่าวที่โกคูพูดกับทุกคนหลังจากที่ตัวเองตายในศึกต่อสู้กับ เซลล์ (Cell) ว่าโลกคงสงบสุขถ้าไม่มีเขา ซึ่งก็จริงเพราะหลังจากนั้นหลายสิบปีโลกก็ไม่มีภัยร้ายอะไรเลย ซึ่งถ้าเราย้อนกลับไปในอดีตการมาของมนุษย์ดัดแปลงก็มาจากฝีมือของ ดร. เกโร่ (Dr. Gero) ที่เป็นหนึ่งขององค์กร ‘Red Ribbon’ ที่โกคูไปปราบ จนสะสมความแค้นสร้างมนุษย์ดัดแปลง 17 และ 18 ขึ้นมารวมถึงเซล และภาค ‘Dragon Ball Super Super Hero’ ก็มีต้นเหตุต่อมาจากตรงนี้ นี่ยังไม่นับเรื่องราวของ ราดิซ (Radiz) ที่ไปรู้เรื่องราวของ ‘Dragon Ball’ ว่าอยู่บนโลกจึงเข้าจึงมาบุกที่นั่น ก่อนที่เรื่องนี้จะรู้ไปถึงหูของ เบจิต้า (Vegeta) จากปากของโกคูเรื่องลูกแก้วมังกรที่ให้พรได้จนทำให้เบจิต้าตามมาบนโลก และมันก็ส่งผลไปถึง ฟรีเซอร์ (Frieza) ที่รู้ว่ามีลูกแก้วมังกรจึงออกตามหาที่ทั้งหมดก็มาจากโกคูเป็นต้นเหตุ และอีกหลาย ๆ เหตุการณ์ที่โกคูอาจจะนำภัยมายังโลกอย่างการไว้ชีวิตเบจิต้า หรือไม่ยอมฆ่าจอมมารบูร่างอ้วนตอนที่ตัวเองแปลงเป็น ‘Super Saiyan 3’ ทั้งที่ตัวเองทำได้ นั่นก็เป็นอีกสิ่งที่ยืนยันว่าโกคูเองก็เป็นภัยต่อโลกนี้

Dragon Ball

ตามหลักการแล้ว Gohan คือ Super Saiyan คนแรกก่อน Goku

Dragon Ball

คราวนี้มาดูตามหลักการที่ควรจะเป็นแบบมองข้ามความเป็นพระเอกของโกคู หรือเรื่องราวที่บังคับให้โกคูกลายร่างเป็น ‘Super Saiyan’ ที่ถ้านับกันตามหลักแล้ว ซุน โกฮัง (Gohan) ต้องเป็น ‘Super Saiyan’ คนแรกของเรื่องก่อนโกคู เพราะถ้าเราอ้างอิงจากคำพูดที่เบจิต้าพูดกับ นัปปะ (Nappa) หลังจากที่ราดิซตายไปพร้อมกับโกคูเรื่องของลูกผสมชาวไซย่ากับมนุษย์โลก จนเกิดเป็นเด็กที่มีพลังมหาศาลอย่างไม่น่าเชื่อ จนนัปปะถึงกับพูดว่านั่นคือ ‘Super Saiyan’ ที่ในตอนนั้นอาจจะหมายถึงลูกผสมที่แข็งแกร่งกว่าชาวไซย่าทั่วไปเท่านั้น ไม่ใช่ ‘Super Saiyan’ แบบหัวทองเพราะตามเนื้อเรื่องแล้วยังไม่มีใครรู้ว่า ‘Super Saiyan’ หน้าตาเป็นอย่างไร ดังนั้นถ้าเราข้ามเหตุผลต่าง ๆ ในเรื่องทิ้งไปแล้วให้โกฮังไปสู้กับเซลทั้งแบบแปลงร่าง ‘Super Saiyan’ ไม่เป็นเลย (ให้โดนกระทืบปางตาย) สุดท้ายโกฮังก็ต้องแปลงร่างได้อยู่ดีเพราะเขาคือเลือดลูกผสมที่ลงตัว ที่อาจารย์ โทริยามะ อากิระ (Toriyama Akira) บอกเอาไว้ว่าการแปลงร่างเป็น ‘Super Saiyan’ ได้นั้นต้องมี ‘S Cell’ ในร่างที่มากพอ ซึ่งโกฮังนั้นมีมากกว่าชาวไซย่าปกติทั่วไปหลายเท่า จึงไม่น่าแปลกที่โกฮังมีโอกาสเป็น ‘Super Saiyan’ คนที่ 2 ของประวัติศาสตร์ ‘Dragon Ball’ ต่อจากชาวไซย่าในตำนานคนแรกที่เคยเป็น

Dragon Ball

เคล็ดลับการเป็น Super Saiyan ไม่ใช่คนที่มีจิตใจอันบริสุทธิ์ที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยความโกรธหรือเป็นคนเลวสุดขั้ว

Dragon Ball

ต่อเนื่องมาจากหัวข้อก่อนหน้านี้เกี่ยวกับการแปลงร่างเป็น ‘Super Saiyan’ ของโกคูตอนสู้กับฟรีเซอร์ในตอนนั้น ถ้าใครยังจำได้โกคูบอกถึงสาเหตุที่ทำให้เขากลายร่างเป็น ‘Super Saiyan’ ได้นั้นมันเกิดจาก “คนที่มีจิตใจอันบริสุทธิ์ที่ถูกปลุกให้ตื่นด้วยความโกรธ” ที่ไม่ว่าจะมองมุมไหนเบจิต้าเราก็ไม่มีทางเป็น ‘Super Saiyan’ ได้ จนเมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงช่วงสงครามมนุษย์ดัดแปลงที่เราได้เห็นเบจิต้าได้กลายเป็น ‘Super Saiyan’ ท่ามกลางความตกใจของทุกคน ที่บอกว่าคนที่แปลงร่างได้ต้องเป็นคนจิตใจบริสุทธิ์ไม่ใช่หรือ ก่อนที่เบจิต้าจะตอบไปว่าถ้าคนเรามันชั่วถึงขีดสุดก็สามารถเป็นได้เหมือนกัน ซึ่งในตอนนั้นทุกคนต่างก็งงว่ามันมีแบบนี้ด้วยหรอ (เชื่อว่าอาจารย์แกก็ไม่ได้คิดเรื่องนี้) ก่อนจะมีการเปิดเผยในภายหลังว่าที่ชาวไซย่าแปลงร่างเป็น ‘Super Saiyan’ ได้นั้นมาจาก ‘S Cell’ นั่นก็หมายความว่าสิ่งที่โกคูกับเบจิต้าบอกในตอนนั้นคือการคิดไปเองของทั้งสองคน

Dragon Ball

Trunks คือ Super Saiyan ที่หายากกว่า Broly

Dragon Ball

เชื่อว่าหลายคนที่ได้ดู ‘Dragon Ball Super Broly’ ไปแล้วคงจะเห็นความเก่งแกร่งของตัวละคร โบรลี่ (Broly) คนนี้ ที่มาพร้อมกับพลัง ‘Super Saiyan’ ผมสีเขียวออกทองที่ดูแตกต่างและแข็งแกร่งกว่าโกคูและเบจิต้าร่วมมือกันก็เอาไม่อยู่ ซึ่งไม่ว่าจะดูมุมไหนตัวของโบรลี่ก็น่าจะเป็น ‘Super Saiyan’ ในตำนานที่หาได้ยาก ซึ่งอันนี้ก็ถูกต้องเพียงแค่ครึ่งเดียว เพราะเบจิต้าผู้เชี่ยวชาญทางด้านการเป็นกระสอบทรายแห่งจักรวาล ‘Dragon Ball’ได้ให้เหตุผลและอวยลูกชายตัวเองว่า ‘Super Saiyan’ ในตำนานที่หาได้ยากจริง ๆ นั้นไม่ใช่โบรลี่ (แต่โบรลี่ก็จัดว่าเป็นของหายาก) แต่เป็น ทรังคซ์ (Trunks) ลูกชายตัวเองต่างหากที่เป็นชาวไซย่าและ ‘Super Saiyan’ ที่หาได้ยาก ซึ่งก่อนที่เราจะด่าป๋าเบว่าอวยลูกชายเกินจริงเราก็มาฟังเหตุผลของแกก่อน โดยเหตุผลที่เบจิต้าบอกว่าลูกชายตัวเองคือ ‘Super Saiyan’ หรือชาวไซย่าที่หายากนั่นก็เพราะสีผมของทรั้งคซ์ที่เป็นสีฟ้าหรือม่วงอ่อน ซึ่งมาจากแม่ของเขา และเมื่อเราย้อนไปดูชาวไซย่าทุกคนในเรื่องจะมีสีดำกันหมด จะมีเพียงทรังคซ์เท่านั้นที่มีสีผมเหมือนแม่แถมยังสามารถพัฒนาตัวเองไปในแบบที่ต่างกับ ‘Super Saiyan’ คนอื่น อย่างในภาค ‘Super’ ทรั้งคซ์จากอนาคตได้ต่อสู้กับโกคูที่ตอนนั้นโกคูบอกว่าพลังของทรังคซ์เทียบเท่า ‘Super Saiyan 3’ ของเขาแต่ทรั้งคซ์กลับผมไม่ยาว นั่นก็หมายถึงสายการพัฒนาที่ต่างกับชาวไซย่าคนอื่น ๆ ดังนั้นการอวยลูกชายของป๋าเบก็ถูกต้อง

Dragon Ball

เป้าหมายจริง ๆ ของ Frieza ไม่ได้ต้องการเป็นอมตะแต่แรก

Dragon Ball

ต้องอธิบายก่อนจะเข้าเนื้อหาว่าข้อมูลในส่วนนี้ไม่ได้มีการยืนยันอย่างเป็นทางการในเนื้อเรื่อง หรือมาจากอาจารย์ผู้วาดเราจึงไม่ขอฟันธงว่าสิ่งนี้จะถูกต้อง กับความต้องการที่แท้จริงของฟรีเซอร์ตัวร้ายคนสำคัญของจักรวาล ‘Dragon Ball’ ไม่ใช่ความอมตะไม่มีวันตาย แต่เขาต้องการที่จะปกครองจักรวาลนี้ทั้งหมด โดยสิ่งที่ทำให้แฟน ๆ คิดแบบนี้ก็มาจากหลาย ๆ เหตุผลไม่ว่าจะเป็นอายุไขของเผ่าพันธุ์ของฟรีเซอร์ที่น่าจะอายุยืนยาวกว่ามนุษย์ต่างดาวปกติ รวมถึงเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สามารถยืดอายุขัยของสิ่งมีชีวิตได้ ด้วยการดัดแปลงบางส่วนให้เป็นเครื่องจักร แบบที่ ‘Mecha Frieza’ เป็น (รูปประกอบด้านล่าง) หรือจะดีหน่อยฟรีเซอร์ก็หาทางยืดอายุตัวเองด้วยการดัดแปลงแบบมนุษย์ดัดแปลง 17 กับ 18 ที่เท่านี้ตัวเองก็เป็นอมตะได้แล้วไม่ต้องมานั่งขอพรเลย แถมในช่วงหลัง ๆ อย่างตอนภาค ‘Dragon Ball Super Broly’ เราก็ได้เห็นฟรีเซอร์จะมาขอพรให้ตัวเองตัวสูงขึ้นอีก 5 เซนติเมตรแทนการเป็นอมตะ ทั้งที่ตัวเองก็เคยตกนรกที่แสนสดใสมาแล้วเขาน่าจะรู้ถึงความทรมานนั้นดี แต่แทนที่ตัวเองจะกลัวตายแต่กลับอยากได้แค่ความสูง ดังนั้นแฟน ๆ จึงคิดว่าเหตุผลแรก ๆ ที่ฟรีเซอร์ต้องการจริง ๆ น่าจะเป็นพลังอำนาจในการปกครองจักรวาล หรือมีความสามารถในการปกครองที่เทียบเท่าเทพเจ้าทำลายล้าง แต่พอตัวเองเห็นเบจิต้าที่เก่งขึ้นทุกวันบวกกับตำนาน ‘Super Saiyan’ ก็เลยทำให้ฟรีเซอร์อยากเป็นอมตะ นั่นคือสิ่งที่แฟน ๆ คิดกัน

Dragon Ball

Frieza คือผู้มีพรสวรรค์ในการต่อสู้จริง ๆ

Dragon Ball

ในเมื่อพูดถึงพี่ฟรีเซอร์เขาแล้วก็ขอต่ออีกหนึ่งเรื่องกับความแข็งแกร่งของฟรีเซอร์ ที่เราสามารถเรียกเขาว่าผู้มีพรสวรรค์ในการต่อสู้จริง ๆ โดยถ้าเราอ้างอิงจากในเรื่องเราจะเห็นว่าฟรีเซอร์นั้นเกิดมาพร้อมกับพลังอันมหาศาลยิ่งกว่าผู้เป็นพ่อตนเองเสียอีก โดยที่ฟรีเซอร์บอกว่าตนเองไม่เคยฝึกฝนเรียนรู้วิชาต่อสู้เลยตั้งแต่เกิด จนเมื่อฟรีเซอร์พ่ายแพ้แก่โกคูและมีโอกาสฟื้นคืนชีพในภาค ‘Dragon Ball Z Resurrection F’ หรือในชื่อไทยอย่าง “ดราก้อนบอล Z การคืนชีพของฟรีเซอร์” ที่ในตอนนั้นฟรีเซอร์ที่ฟื้นคืนชีพได้ไปฝึกวิชาการต่อสู้มาเป็นเวลา 6 เดือนเขาก็สามารถก้าวข้ามเผ่าพันธุ์ตัวเองไปอีกขั้นในร่างทองอย่าง ‘Golden Frieza’ ที่เหนือกว่า ‘Super Saiyan Blue’ ของโกคูเบจิต้าอีก ซึ่งนั่นก็หมายความว่าถ้าฟรีเซอร์ขยันฝึกแต่เด็กเขาก็คือคนที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวาลได้ไม่ยากเลย และล่าสุดใน ‘Dragon Ball Super’ ฉบับมังงะเราก็จะได้เห็นร่างใหม่ของฟรีเซอร์อีกด้วย จะเป็นร่างอะไรแบบไหนนั้นไปรอดูในอนิเมะก็แล้วกันบอกแค่นี้พอ ซึ่งนั่นก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำความแข็งแกร่งของฟรีเซอร์ว่าเป็นอัจฉริยะของจริง

Dragon Ball

เคล็ดลับความแข็งแกร่งของ Goku และ Vegeta ที่เหมือนและต่างกัน

Dragon Ball

มาถึงตรงจุดนี้เราคงต้องยอมรับแล้วว่าตอนนี้พระเอกกับพระรองของเรื่องนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากโกคูและเบจิต้า ซึ่งเมื่อเรามานั่งคิด วิเคราะห์ แยกแยะถึงเคล็ดลับความแข็งแกร่งของทั้งคู่นั้นเรียกว่าต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยฝั่งโกคูนั้นจะมีเคล็ดลับความแข็งแกร่งจากความสนุกของการต่อสู้ ที่โกคูไม่ได้จริงจังขนาดว่าต้องฆ่าแกงอีกฝ่ายแค่สู้กันปางตายแล้วยิ้ม ๆ แยกย้ายกลับบ้านใครบ้านมัน เราจึงได้เห็นโกคูไว้ชีวิตศัตรูบ่อย ๆ (แต่ศัตรูไม่คิดแบบนั้น) เมื่อเป็นอย่างนั้นโกคูเลยสามารถบรรลุอัตนิยม หรือ ‘Ultra instinct’ ได้ เพราะจิตที่นิ่งไม่คิดการฆ่าฟันแค่อยากเอาชนะและค้นหาคนที่แข็งแกร่งมาสู้เรื่อย ๆ ต่างกับเบจิต้าที่จิตใจมีแต่การอยากเอาชนะ และคิดตลอดเวลาทั้งวิธีเอาชนะสิ่งที่สามารถเพิ่มพลังให้ตัวเองได้ เมื่อเป็นอย่างนั้นจึงไม่แปลกที่เบจิต้าจะตามหลังโกคูก้าวหนึ่งเสมอ แต่นั่นก็ไม่ใช่ข้อเสียเพราะการพยายามคิดค้นหาจนเจอกับคนที่ไม่คิดอะไรแล้วจู่ ๆ บังเอิญบรรลุบางอย่างได้มันต่างกัน เพราะทางฝั่งเบจิต้าจะสามารถพัฒนาต่อยอดไปได้เรื่อย ๆ ขณะที่ฝั่งโกคูต้องมารอหรือคิดหาวิธีที่ได้พลังนั้นมาว่าทำอย่างไร ทั้งคู่จึงเดินคนละสายอย่างชัดเจนซึ่งนั่นคือความสนุกของการ์ตูนเรื่องนี้ที่แฟน ๆ ชอบ

Dragon Ball

Piccolo คือตัวละครที่ Akira Toriyama ชอบที่สุด

Dragon Ball

ปิดท้ายกับเรื่องราวสบาย ๆ กับสิ่งที่หลายคนไม่ทราบมาก่อนว่าตัวละครที่อาจารย์ โทริยามะชอบมากที่สุดในเรื่อง ‘Dragon Ball’ ก็คือพิโกโร่ โดยคำถามนี้ถูกถามขึ้นเมื่อตอนที่ ‘Dragon Ball Super Super Hero’ ฉายในประเทศญี่ปุ่น ที่ก็มีนักข่าวไปสัมภาษณ์อาจารย์โทริยามะว่าตัวละครไหนที่อาจารย์ชอบที่สุด ซึ่งอาจารย์ก็ตอบแบบเรียบง่ายว่า “พิโกโร่คือตัวที่แกชอบที่สุดในเรื่อง” ส่วนเหตุผลที่อาจารย์ชอบตัวนั้นก็เพราะตัวละคร “พิโกโร่มักจะเงียบอยู่เสมอ” ที่เมื่อเราเอาสิ่งที่อาจารย์พูดมาแปลความหมาย ก็น่าจะเป็นลักษณะนิสัยของพิโกโร่ที่นิ่งเงียบยืนดูอย่างใจเย็นและคิด วิเคราะห์ แยกแยะทุกอย่างระหว่าต่อสู้ แถมยังเป็นพวกปากร้ายแต่ใจดี ซึ่งเขาเป็นเพียงตัวละครเดียวในเรื่องที่เป็นแบบนี้ จึงไม่แปลกที่อาจารย์จะชอบ และอย่าเข้าใจผิดคิดว่าพิโกโร่คือพ่อของโกฮังเชียวนะ

Dragon Ball

ก็จบกันไปแล้วกับการรวมเรื่องราวแง่มุมน่าสนใจที่ถูกซ่อนเอาไว้ในซีรีส์ ‘Dragon Ball’ หวังว่าจะถูกใจกัน โดยเนื้อหาทั้งหมดที่เราหยิบมาพูดถึงนั้นคือข้อมูลที่แฟน ๆ ซีรีส์นี้ต่างคิดกันถึงความเป็นไปได้ต่าง ๆ โดยการอ้างอิงเนื้อหามาจากในการ์ตูนที่พูดหรือกระทำเอาไว้มาตีความ ซึ่งเราก็ไม่ขอยืนยันว่าสิ่งเหล่านี้ถูกต้องทั้งหมดเพราะบางอย่างมันก็ดูขัดแย้งกัน เอาเป็นว่าอ่านกันสนุก ๆ ไม่ต้องคิดมาก แต่ถ้าใครมีความคิดเห็นแนวทางที่ต่างออกไปก็เอามาพูดคุยกันได้ เพราะทุกคนสามารถออกความคิดได้ไม่มีถูกไม่มีผิดเพราะทุกคนก็คือแฟนการ์ตูนเรื่องนี้ และถ้าใครสนใจบทความแนว ๆ นี้ก็ไปอ่านบทความย้อนหลังได้เพราะเรามีบทความที่น่าสนใจเกี่ยวกับอนิเมะเรื่องอื่น ๆ และ ‘Dragon Ball’ รอให้คุณมาติดตามมากมาย ส่วนคราวหน้าจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไรในวงการอนิเมะก็ติดตามกันได้ที่แบไต๋ได้เลย เพราะที่นี่มีทุกความบันเทิงเพื่อคุณ

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส