[รีวิวซีรีส์] The Boys Season 3: เดินหน้าโหดตลกร้ายแบบเข้ม ๆ เล่นจนคนดูเหวอ
Our score
9.5

Release Date

03/06/2022

ความยาว

8 ตอน ตอนละประมาณ 45 นาที

[รีวิวซีรีส์] The Boys Season 3: เดินหน้าโหดตลกร้ายแบบเข้ม ๆ เล่นจนคนดูเหวอ
Our score
9.5

The Boys

จุดเด่น

  1. อะไรที่เคยดีก็ยังคงรักษาไว้ได้เช่นซีซันก่อน ๆ แถมเพิ่มแก้ไขจุดอ่อน เดินหน้าเต็มสูบแบบมันคาดเดาไม่ทันลุ้นกันไปทุกตอน

จุดสังเกต

  1. ภาพโหดมากเห็นเลือดชิ้นเนื้ออวัยวะกันนองจอ บางฉากก็ก้ำกึ่งจะวิปริตอยู่ในทีแล้วเช่นกัน ต้องบอกว่าเหมาะกับคนดูหนังซูเปอร์ฮีโรที่ฮาร์ดคอร์หน่อยล่ะนะ
  • บท

    9.5

  • โปรดักชัน

    10.0

  • การแสดง

    9.0

  • ความสนุกตามแนวหนัง

    10.0

  • ความคุ้มค่าการรับชม

    10.0

เรื่องราวต่อเนื่องมาสู่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ เมื่อเหตุการณ์สตอร์มฟรอนต์ (เอยา แคช Aya Cash) ก่อกบฏได้สิ้นสุดลงในซีซันที่แล้ว โฮมแลนด์เดอร์ (แอนโทนี สตาร์ Antony Starr) ที่คะแนนนิยมเสื่อมลงมากได้ถูกควบคุมอย่างเข้มงวดโดยเอดการ์ (จิอันคาร์โล เอสโปซิโต Giancarlo Esposito) ประธานของบริษัทวอจธ์ จนเขาเองต้องยอมให้สตาร์ไลต์ (อีริน มอริอาร์ตี Erin Moriarty) ขึ้นมาเป็นผู้นำร่วมของเดอะเซเว่น

ด้านฝั่งนักล่ายอดมนุษย์เองก็เปลี่ยนท่าทีไป เมื่อ ฮิวอี้ (แจ็ก เควด Jack Quaid) ได้ทำงานใต้หน่วยงานควบคุมฮีโรของวุฒิสมาชิกนิวแมน (คลอเดีย ดูมิต Claudia Doumit) และคอยสั่งการทีมของบุตเชอร์ (คาร์ล เออร์แบน Karl Urban) คอยปราบปรามเหล่าซูปที่แหกกฎโดยไม่ใช้ความรุนแรงอีก บุตเชอร์หลังสูญเสียภรรยาที่รักไปก็ตัดสินใจดูแลลูกชายของเธออย่างไรอัน (คาเมรอน โครเวตติ Cameron Crovetti) โดยฝากฝังไว้กับซีไอเอเฒ่าอย่างเกรซ (ไลลา โรบินส์ Laila Robins)

ทุกอย่างดูน่าจะดีขึ้น ทว่าไม่นานโฮมแลนด์เดอร์ก็เริ่มขบถอีกครั้ง และครั้งนี้ยิ่งจะรับมือได้ยากขึ้นทวีคูณทั้งจากฝั่งพระเอกและฝั่งบริษัทวอจธ์เมื่อตัวเขาไม่เหลืออะไรจะต้องเสียอีกแล้ว

นี่เป็นการกลับมาครั้งที่ 3 สำหรับซีรีส์ซูเปอร์ฮีโรสายโหดแถมตลกร้ายแบบกวนยับ หลังจากปล่อยให้ HBO มี ‘Peacemaker’ มาเขย่าชิงความนิยมในแนวทางเดียวกันเมื่อต้นปี มาถึงกลางปีเพียงเปิดขึ้นมาด้วย 3 ตอนแรกก็ต้องบอกว่าถึงเวลาราชากลับมาทวงบัลลังก์แล้ว เพราะ ‘The Boys’ ซีซันที่ 3 นี้ยังมีมนต์ขลังในความตลกร้ายสายโหดแบบเดาทางอะไรไม่ได้เลย แถมนอกจากทีเล่นที่สุดกวนแล้ว ทีจริงของมันก็ยังทำขนลุกหนาวสันหลังได้เช่นเดิม

อ่านรีวิวซีซันแรก ที่นี่

อ่านรีวิวซีซัน 2 ที่นี่

ปัจจัยความสำเร็จของซีรีส์ชุดนี้ยังคงถูกขยี้อย่างต่อเนื่องจากฝ่ายพระเอกที่มาแนวแอนตี้ฮีโรที่พร้อมเป็นปีศาจเพื่อฆ่าปีศาจ ยอมให้มีผู้บริสุทธิ์หรือแม้แต่พวกพ้องโดนลูกหลงกันจนเป็นเรื่องปกติ ราวกับว่าความโกรธของบุตเชอร์หัวหน้าทีมคือพลังนิวเคลียร์ที่ทำลายไม่เลือกหน้าเพื่อไปให้ถึงจุดหมาย ทว่าในภาคนี้ก็มีความขัดแย้งในใจของเขามากขึ้นคือตัวละคร ไรอัน ลูกชายของภรรยาเก่าของเขากับโฮมแลนด์เดอร์ และความคล้ายคลึงของ ฮิวอี้ กับน้องชายที่จากไปของเขามันยิ่งฉายภาพชัดขึ้น และเป็นเหมือนตัวเหนี่ยวรั้งให้เขาไม่อาจเป็นคนที่ไม่มองรอบข้างคนเดิมได้อีก

The Boys

แต่ซีรีส์ก็ไม่ได้ใช้ปมเดิม ๆ ย่ำกับที่ เราจะเห็นพัฒนาการของตัวละครต่าง ๆ มากขึ้น ฮิวอี้ที่เลือกอะไรก็ผิดทุกครั้งเป็นไอ้ขี้แพ้มาตลอดก็เหมือนจะเป็นผู้เป็นคนขึ้น จนถึงขนาดเกิดเป็นปมที่ยอมแลกบางอย่างเพื่อไม่ต้องเป็นคนห่วยแตกคนเดิม ในขณะที่บุตเชอร์ก็ยอมรับว่าความโกรธเกรี้ยวของเขาไม่ได้ช่วยแก้ไขอะไรให้ดีขึ้น และได้เรียนรู้จากการสูญเสียภรรยา รวมถึงการได้พบกับไรอันเด็กน้อยที่ต้องการผู้ปกครองคนใหม่ บุตเชอร์ก็ดูจะมีด้านที่อ่อนโยนขึ้น ตรงนี้ทำให้เคมีความสัมพันธ์ของกลุ่มตัวละครค่อนข้างต่างจากซีซันก่อนหน้า และทำให้ลุ้นไปด้วยว่าอยากให้กราฟชีวิตพวกเขาทะยานขึ้นเสียทีหลังจากดิ่งจมเหวกันมาหลายปี

แต่อีกสิ่งที่เราจะได้ลุ้นแทบตลอดในช่วงนี้คือตัวละครจะทำลายชีวิตดี ๆ ของตัวเองอีกเมื่อไหร่กันแน่ ซึ่งแฟน ๆ ต่างรู้ดีว่าพวกพระเอกมันก็เหมือนระเบิดเวลาดี ๆ นี่เอง อย่างไรเสียมันต้องหมดเวลาทำตัวเป็นคนดีไม่ช้าก็เร็ว

ซึ่งน่าสนใจขึ้นด้วยจากการที่ฝั่งนักล่าฮีโร โดยเฉพาะบุตเชอร์เองที่ได้รับยาโดปวีเพื่อให้กลายเป็นยอดมนุษย์ชั่วคราวที่เขาเกลียดนักหนามา เขาจะยอมทำลายศักดิ์ศรีของตนเองเพื่อเป้าหมายคือทำลายโฮมแลนด์เดอร์และบริษัทวอจธ์ได้มากแค่ไหน ดูจะเป็นตัวแปรสำคัญเช่นกันในซีซันนี้และซีซันต่อไป

The Boys

นอกจากนี้จุดที่ทำให้เราตราตรึงอยู่กับเรื่องราวก็คงไม่พ้นเหล่าตัวร้ายที่มีเอกลักษณ์สูง แม้ในซีซันก่อนหน้าเราจะได้เห็นการพังทลายและด้านอ่อนแอขั้นสุดของเขามานับครั้งไม่ถ้วน แต่ในซีซันนี้เราก็จะยังได้เห็นพัฒนาการขั้นต่อไปของโฮมแลนด์เดอร์ในฐานะตัวร้ายหลักไปอีก และเป็นสิ่งที่ตัวละครรวมถึงคนดูกลัวมาตลอด นั่นคือเมื่อใดที่เขาพังทลายจนไม่สนใจหน้าตาชื่อเสียงหรืออีโก้ใด ๆ แล้วก็ตาม มันก็เหมือนสัตว์ร้ายที่ไร้ปลอกคอหรือโซ่ล่าม ในซีซันนี้เราน่าจะสัมผัสความหวาดผวาที่ก่อรอบตัวเขาได้มากขึ้นด้วย และยิ่งหนักข้อไปอีกเมื่อเขาเริ่มพบว่าการไม่เป็นคนดีในอุดมคติก็มีคนรักคนนิยมได้เหมือนกัน

The Boys

ต้องบอกว่าในซีซันนี้เนื้อหาขยับไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง ไม่มีช่วงที่อิดออดยื้อจำนวนนาทีให้นานเท่าไรนัก บทของความสัมพันธ์ตัวละครถ้าใครเคยรำคาญฉาก เช่น โบรแมนซ์ง้องอนระหว่างฮิวอี้กับบุตเชอร์ หรือความงี่เง่าระหว่างฮิวอี้กับสตาร์ไลต์ ในซีซันนี้ก็แทบไม่มีช่วงน่าเบื่อแล้ว เส้นเรื่องต่าง ๆ ถูกวางอย่างเหมาะสมให้ลุยไปข้างหน้าลูกเดียว หรืออย่างน้อยก็มีการขยี้ปมหรือเปิดพัฒนาการจากปมเดิม ๆ ไปอีกขั้น

ฮิวอี้พบว่าวุ?ฒิสมาชิกนิวแมนเป็นซูปจอมระเบิดหัวคนและต้องพยายามทำงานใกล้ ๆ โดยไม่ให้เธอจับพิรุธได้ พวกบุตเชอร์พบว่าในอดีตเคยมีซูปที่ชื่อ โซลเยอร์บอย (ประมาณกัปตันอเมริกา) (เจนเซน แอ็กเคิลส์ Jensen Ackles) ซึ่งแข็งแกร่งพอ ๆ กับโฮมแลนด์เดอร์เคยถูกพวกโซเวียตใช้อาวุธบางอย่างฆ่าตายจึงออกตามหาเบาะแสหาวิธีฆ่าโฮมแลน์เดอร์ และการกลับมาของจอมโฉดชั่วในอดีตที่มีพลังทำลายความเป็นยอดมนุษย์ได้ก็กลายเป็นตัวแปรที่ทำให้เรื่องราวดูยุ่งยาก และเดาจุดจบไม่ได้เข้าไปอีก และที่สำคัญทำให้เราได้เห็นฉากต่อสู้แบบ 3 รุม 1 ถ้า กัปตันอเมริกา แท็กทีมกับไซคลอปส์และเดอะแฟลช รุมใส่ซูเปอร์แมน มันจะเป็นยังไง และก็ทำให้ตอน Herogasm กลายเป็นตอนที่ใคร ๆ ก็ต้องพูดถึง

The Boys
กลุ่มฮีโรในอดีตที่นำโดย โซลเยอร์บอย ที่ดูยังไงก็ล้อกัปตันอเมริกาชัด ๆ

สตาร์ไลต์ถูกดันขึ้นมาเป็นผู้นำร่วมกับโฮมแลนด์เดอร์แต่ยิ่งใกล้ชิดก็ยิ่งหนีจากเขายากมากขึ้น โฮมแลนด์เดอร์หลังจากสูญเสียคนรักอย่างสตอร์มฟรอนต์และถูกหันหลังให้จากบริษัทเขาก็เหมือนเกลียวเชือกที่ตึงจวนเจียนจะขาดอยู่ทุกขณะ ในขณะเดียวกันเอดการ์ก็ยังคงคุมเกมและอ่านทางยากว่าซ่อนไพ่ในมืออะไรไว้อีกบ้างแต่เราก็เริ่มเห็นปูมหลังของเขามากขึ้นแล้ว และแม้ในช่วงกลางของซีซันเขาดูจะถูกลดบทบาทไป แต่จากเชื้อที่ทิ้งไว้ก็คาดเดาได้ว่าเขาน่าจะเป็นลาสต์บอสในที่สุด เมื่อทุกเส้นทางของแต่ละตัวละครมาบรรจบกันทำให้ซีซันนี้มีคู่ขัดแย้งหลายฝ่ายที่น่าจะมันที่สุดในทุกซีซันที่ผ่านมาได้เลย

The Boys

นอกจากเรื่องเนื้อหาที่คมเข้ม ด้านของความกวนและคาดเดาไม่ถูกก็ยังสามารถทำเราอึ้งได้ตลอดเช่นกัน แค่เปิดมา 15 นาทีแรกของซีซันนี้ เราก็เจอทั้งมุกจิกกัดหนังข้ามค่ายทั้ง ดิสนีย์ วอร์เนอร์ (ซีรีส์นี้เป็นผลงานความร่วมมือระหว่างโซนี่และแอมะซอน) รวมถึงหนังซูเปอร์ฮีโรอีกสารพัด โดยเฉพาะการล้อยอดมนุษย์ที่มีพลังย่อร่างเหมือนแอนต์แมน แต่ใช้พลังเพื่อร่วมรักกับเกย์หนุ่มคนรักผ่านรู xxx ก็เป็นอะไรที่เกินจินตนาการผู้ชมไปไกลมาก และฉากจบของซีนนี้ก็ทำเราอ้าปากค้างกันได้เลยทีเดียว หรือจะเป็นการล้อเล่นกับชะตากรรมของ เดอะดีป เจ้าสมุทรผู้อยากเสพสังวาสกับปลา ที่แค่ฉากทานอาหารก็ชวนให้เราขมขื่นไปกับเขาได้ มุกเหนือคาดเหล่านี้เป็นอะไรที่เราชอบและผู้สร้างก็ประเคนให้ได้แบบไม่มีเบื่อ

ยังไม่นับเรื่องนักแสดงรับเชิญที่โผล่มาไม่กี่วินาทีแต่เซอร์ไพรส์จัด ๆ อย่าง ชาร์ลิซ เธอรอน (Charlize Theron) หรือ บิลลี เซน (Billy Zane) และอาจรวมถึง ไซมอน เพ็กก์ (Simon Pegg) ที่เคยโผล่มาก่อนหน้าหลายครั้งในบทพ่อของฮิวอี้อีกด้วย

The Boys
การล้อเลียนรายการทีวี และรายการประกวดหาฮีโรคนใหม่ก็เป็นอีกหนึ่งความจิกกัดในซีซันนี้

ซีจีในซีซันนี้ก็ยังถึงเลือดเนื้อตับไตไส้พุงกันหนักเช่นเคย ใครแพ้เครื่องในต้องบอกเลยว่างดทานอาหารระหว่างรับชมจะดีต่อท้องไส้มากที่สุดแล้ว มันจึงยังคงขี่คร่อมในการเป็นหนังฮีโรที่ผู้ใหญ่ดูได้ เด็กไม่ควรดู หรือเป็นหนังเฉพาะกลุ่มฮาร์ดคอร์ไปเลย อันนี้ก็ต้องแล้วแต่ว่าใครรับฉากโหด ๆ ได้มากน้อยแค่ไหน เพราะซีซันนี้เราได้เห็นการเจาะถ่ายภาพพวกชิ้นส่วนร่างกายที่ขาดกระจุยอยู่แบบไม่เหนียมอายเลยทีเดียว

ตอนนี้ต้องบอกว่า ‘The Boys’ ซีซัน 3 คือความสุขในทุกนาทีสำหรับคอโหดที่เบื่อหนังฮีโรสายโลกสวยจริง ๆ และแน่นอนว่าซีซัน 4 มันต้องบรรลัยวอดวายยิ่งกว่าซีซันไหน ๆ แน่นอน เพราะในตอนสุดท้ายของซีซันนี้ได้ปลดปลอกคอทุกอย่างของโฮมแลนด์เดอร์ทิ้ง แถมใส่โซ่ถ่วงน้ำหนักกับฝั่งบุตเชอร์เข้าไปจนเพลี่ยงพล้ำสุด ๆ ไปด้วย น่าดูมากจริง ๆ

The Boys

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส