[รีวิว] Godzilla x Kong: The New Empire: เปิดจักรวาลมหาศึก ลิงxกิ้งก่า ฟัดนัวไม่อะไรกับใคร

Our score

6.8

Release Date

28/03/2024

แนว

แอ็กชัน/ผจญภัย

ความยาว

1.55 ช.ม. (115 นาที)

เรตผู้ชม

PG-13

ผู้กำกับ

อดัม วินการ์ด (Adam Wingard)

Our score

6.8

Godzilla x Kong: The New Empire | ก๊อตซิล่าปะทะคอง 2 อาณาจักรใหม่

จุดเด่น

1. ได้เห็นไททันต่อสู้กันแบบเน้น ๆ เซอร์วิสจัดเต็มสะใจแฟน ๆ
2. CGI ถือว่าทำถึง รายละเอียด อารมณ์ ชัดเจน แม้จะแอบมีแผลบ้างถือว่าเล็กน้อย
3. มีความเป็นหนังผจญภัยแฟนตาซีที่แปลกตามากกว่าภาคอื่น ๆ
4. ช่วงต่อสู้องก์สุดท้ายจัดเต็มแฟนเซอร์วิสสุด ๆ ดู IMAX 3D น่าจะคุ้มสุด

จุดสังเกต

1. เส้นเรื่องค่อนข้างบางและไม่ได้ซับซ้อน ยังมีอาการเส้นเรื่องฝั่งมนุษย์เข้ามาปะปนบ้างแต่ถือว่าดีขึ้นจากภาคก่อน ๆ
2. พล็อตและ Conflict จัดได้ว่าค่อนข้างธรรมดาไม่ซับซ้อน ทั้งฝั่งของมนุษย์และไททัน
3. การแสดงของมนุษย์ทำได้ค่อนข้างดี แต่ไม่่มีนักแสดงคนไหนที่โดดเด่นเป็นพิเศษ

• คุณภาพด้านการแสดง

  6.4

• คุณภาพโปรดักชัน

  8.2

• คุณภาพของบทภาพยนตร์

  4.5

• ความบันเทิง

  7.4

• ความคุ้มค่าเวลาในการรับชม

  7.5

เมื่อ 10 ปีที่แล้ว Legendary Pictures และ Warner Bros. Pictures ได้พาเราเข้าไปสู่โลกแห่งมอนสเตอร์เวิร์ส (MonsterVerse) ผ่านเรื่องราวของอสูรยักษ์ผู้ยิ่งใหญ่ ก็อตซิลลา และคอง ตลอดเวลาที่ผ่านมา ทางฝั่งพี่ก็อตก็มีหนังออกมา 3 เรื่อง+1 ซีรีส์ (‘Monarch: Legacy of Monsters’, 2023) ส่วนฝั่งพี่คองเองก็มีหนัง ‘Kong: Skull Island’ (2017) และแอนิเมชันซีรีส์ ‘Skull Island’ (2023) จนเมื่อ 3 ปีที่แล้ว โลกก็ได้เป็นประจักษ์พยานแห่งศึกการ Crossover ครั้งแรกใน ‘Godzilla vs. Kong’ (2021) ที่เป็นการจับเอา God กับ King มาไฝว้กันเป็นครั้งแรกในจักรวาลนี้ ซึ่งก็ทำรายได้ในช่วงโรคระบาดไปได้พอสมควร

มาถึงตอนนี้ ศึกลิงปะทะกิ้งก่ากลับมาอีกครั้งในภาคต่อ ‘Godzilla x Kong: The New Empire’ ที่คราวนี้แอบเปลี่ยนจาก VS. เป็นการ X หรือการครอส เพื่อเป็นการจับมือกันครั้งแรกของคู่ไม้เบื่อไม้เมาตลอดกาล โดยที่นอกจากทีมเขียนบทจะเปลี่ยนยกชุดจากภาคแรก ก็ยังมีนักแสดงแค่บางคนจากภาคที่แล้ว ที่ได้กลับมาภาคนี้ด้วย ทั้ง รีเบ็กกา ฮอลล์ (Rebecca Hall), ไบรอัน ไทรี เฮนรี (Brian Tyree Henry) และน้อง เคย์ลี ฮอตเทิล (Kaylee Hottle) นักแสดงเด็กผู้พิการทางการได้ยิน นอกจากนี้ก็ยังเป็นครั้งแรกที่จักรวาลยังคงเรียกตัว อดัม วินการ์ด (Adam Wingard) ผู้กำกับจากภาคที่แล้ว กลับมาสานงานครอสโอเวอร์ให้กับจักรวาลนี้อีกครั้ง

เรื่องราวใน ‘Godzilla x Kong: The New Empire’ จะเป็นการเล่าเหตุการณ์หลังจากการปะทะกันของคองกับก็อตซิลลาครั้งแรกใน ‘Godzilla vs. Kong’ หลังจากที่มนุษย์จากหน่วยงาน Apex Cybernetics ได้ทะลุมิติเข้าไปค้นพบอาณาจักรลับแลใต้พิภพ หรือที่เรียกกันว่า ฮอลโลว์เอิร์ธ (Hollow Earth) ซึ่งตอนนี้กลายมาเป็นที่อยู่ที่คองใช้ปลีกวิเวกหลังจากศึกครั้งที่แล้ว แต่คองเองก็มีความต้องการหาพรรคพวก มันจึงเดินทางออกตามหาไปทั่วดินแดน จนกระทั่งมันได้พบกับ ซูโก (Suko) คิงคองเด็ก และราชาวานรแดง สการ์คิง (Skar King) จ่าฝูงจอมโหดที่มีแส้ยาวเป็นอาวุธ และพลังอำนาจในการควบคุม ชีโม (Shimo) ไททันจากยุคน้ำแข็งที่เชื่อมโยงกับตำนานโบราณ

เจีย (เคย์ลี ฮอตเทิล – Kaylee Hottle) สาวน้อยชนเผ่าอีวีส์ (Iwis) จากเกาะกระโหลก มีนิมิตสัมผัสถึงอันตรายที่อยู่เบื้องล่างได้ และ ดร. ไอลีน แอนดรูว์ส (รีเบ็กกา ฮอลล์ – Rebecca Hall) นักภาษาศาสตร์เชิงมานุษยวิทยาขององค์กรโมนาร์ก (Monarch) ได้พบสิ่งผิดปกตินั้น ทั้งคู่จึงต้องออกเดินทางลงไปยัง Hollow Earth พร้อมกับ และ เบอร์นี เฮย์ส (ไบรอัน ไทรี เฮนรี – Brian Tyree Henry) นักจัดรายการพอดแคสต์เกี่ยวกับไททัน และ แทรปเปอร์ (แดน สตีเวนส์ – Dan Stevens) นักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านไททัน เพื่อสำรวจต้นกำเนิดแห่งไททัน ความลึกลับของฮอลโลว์เอิร์ธที่ยังไม่ถูกค้นพบ และผนึกกำลังคู่ปรับตลอดกาลระหว่างคองกับก็อตซิลลา (สีชมพู) เพื่อร่วมกันหยุดยั้งภัยคุกคามใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น

แม้เนื้อหาในภาคนี้มีเนื้อหาที่เป็นการเล่าต่อจากเหตุการณ์ในภาคที่แล้ว แต่เอาเข้าจริง ตัวหนังแอบมีความเป็นหนังครอสโอเวอร์ที่แยกต่างหากจากกันค่อนข้างชัดเจนนะครับ คือนอกจากผู้กำกับจะรักษาโทนบางอย่างเอาไว้ในหนังแต่เพียงเล็กน้อย รวมทั้ง Easter Egg เล็ก ๆ น้อย ๆ จากภาคเก่าที่จริง ๆ ก็พอจะมองข้ามไปได้ บรรดาไททันที่คุ้น ๆ ก็มีเพียงแค่ มอธรา (Mothra) เพื่อนยากของพี่ก็อตที่ได้กลับมาในภาคนี้ ฉะนั้น ถ้าผู้ชมเคยดู ‘Godzilla vs. Kong’ ก็จะได้เปรียบนิดหน่อย แต่ถ้าไม่เคยดูภาคไหนมาเลย ก็ไม่ถือว่าเสียหายนัก เพราะเนื้อเรื่องไม่ถึงกับเชื่อมโยงกันเสียทีเดียว

รวมทั้งการที่ตัวหนังปรับโทนจากหนังไซไฟ และหนังไคจูถล่มเมืองแบบที่คุ้นตา ให้มีความเป็นหนังแอ็กชันกึ่ง ๆ ผจญภัยของทั้งคองและมนุษย์ ที่พาเราไปสำรวจ Hollow Earth ที่เต็มไปด้วยความลับและอารยธรรมโบราณ (อย่างกับ ‘Indiana Jones’) ที่ไม่เคยค้นพบมาก่อนและมีความแฟนตาซีหนักข้อที่สุดเท่าที่หนัง MonsterVerse จะให้ได้แล้วล่ะ คือจะเรียกว่าโม้ก็คงไม่เกินจริง แต่ก็ถือว่าเป็นการขยายจักรวาลที่น่าสนใจไม่น้อย คือก็จะไม่แปลกล่ะครับ ถ้าหากว่าหนังหรือซีรีส์เรื่องใหม่ในอนาคตของ MonsterVerse จะหยิบจับเอาโลกลับแลนี้มาขยี้เพิ่มเติม และเล่าเรื่องของไททันที่มีมุมของความเป็นแฟนตาซี โดยไม่จำเป็นต้องตายตัวเอาไว้กับหนังไซไฟถล่มตึกแบบที่คุ้นตามานาน

จริง ๆ ถ้าจะบอกว่ามันแก้ปัญหาความเทอะทะวุ่นวายในเส้นเรื่องของมนุษย์ ที่เป็นปัญหาเรื้อรังในหนังแทบทุกเรื่องของ MonsterVerse ลง และเป็นข้อครหาของบรรดาผู้ชมมาตลอดยาวนานได้อย่างสิ้นเชิงเลยไหม สำหรับผู้เขียนก็มองว่ามันยังไม่ถึงกับเบ็ดเสร็จเสียทีเดียวครับ (ยกเว้นว่าภาคต่อไปจะหักดิบไม่เล่าเรื่องมนุษย์ แล้วทำเป็นหนัง CGI เล่าเรื่องของไททัน 100% ไปเลยอะไรแบบนี้นะ)

แต่สิ่งที่ตัวหนังรู้ตัวเอง และรู้ใจแฟน ๆ ก็คือการลดบทบาทของฝั่งมนุษย์ให้มีสถานะเป็นตัวส่งผู้ชมเข้าสู่เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นใน Hollow Earth ต่อไปในองก์แรก ซึ่งถือเป็นการตั้งใจลดเส้นเรื่อง ลดดราม่า ลด Conflict ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากมนุษย์ ลงไปเป็นตัวละครเสริมที่คอยนำพาเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นให้คนดูตามไป แล้วนำเข้าสู่พาร์ตของไททันที่ถูกดันให้ขึ้นมามีบทบาทอย่างเป็นรูปธรรมชัดเจน

แนวทางของการชูให้ไททันมีเส้นเรื่องและนำเรื่องได้ไปตลอดรอดฝั่งก็ยังคงใช้สูตรแบบที่คล้าย ๆ กับภาคก่อนหน้านะครับ นั่นก็คือการใช้สูตรให้คองกลายเป็นพระเอกตัวหลัก ด้วยวิธีการเล่าพาร์ตของคองให้เยอะขึ้นกว่าเดิมอย่างชัดเจน พยายามทำให้คองมีความสามารถบางอย่าง มีอารมณ์ความรู้สึก มีชีวิตจิตใจใกล้เคียงกับมนุษย์ มีความดุร้ายแบบสัตว์ป่า แต่ก็มีความอ่อนโยนอยู่ในตัว เหมือนพระเอกหนังบู๊ยุคเก่ากล้ามใหญ่ ๆ มีความเป็นลุงแอ็กชันสตาร์ที่เน้นอัดไม่เน้นพูด

ส่วนก็อตซิลลานี่ก็ชัดเจนมาตั้งแต่ภาคที่แล้วก็คือ คอยเป็นเส้นเรื่องรองให้เห็นภาพของความเป็นอสุรกายที่มีพลังให้ใช้แบบไม่จำกัด และเป็นสัตว์นิสัยคุ้มดีคุ้มร้าย เหมือนจะเชื่องแต่ไม่เชื่อง บทจะโหดก็โหดสลัด บทจะช่วยโลกก็ไม่เกี่ยงงอน ลุยเต็มที่ (แต่พอเวลาจะนอน ดันนอนขดตัวในโคลอสเซียมเหมือนแมวอ้วน ๆ ซะอย่างงั้นอ่ะ)

ในส่วนของตัวละครใหม่ ๆ ก็มีการออกแบบมิติที่น่าสนใจไม่แพ้กันครับ ทั้งสการ์คิง ที่ผู้กำกับบอกว่าจะเป็นเหมือนวายร้ายจอมเผด็จการ แม้จะยังไม่ได้เห็นความเผด็จการของพี่ลิงแดงเท่าไหร่ และอาจจะไม่ได้ดูโหดเท่ากับวายร้ายในภาคก่อน ๆ แต่เห็นลีน ๆ แบบนี้ก็พอฟัดพอเหวี่ยงกับคองอยู่นะ ในขณะที่อีกตัวละครที่น่าจับตาก็คือ เจ้าซูโก หรือมินิคอง แม้น้องจะน่ารักขนาดนี้ แต่ก็เรียกว่าเป็นตัวขโมยซีนและตัวเปลี่ยนเกมที่ทั้งฮา ทั้งเปรตได้อย่างคาดไม่ถึงเลยแหละ

ในภาพรวมของบท ไม่ว่าจะทั้งของฝั่งมนุษย์และฝั่งของไททันก็เรียกได้ว่าไม่ได้มีความซับซ้อนนะครับ ค่อนไปทางค่อนข้างจะธรรมดาด้วย และเนื้อเรื่องก็ไม่เกินไปจากการคาดเดา และเอาเข้าจริงก็แอบรู้สึกว่ามันมีความเยิ่นเย้อจนไม่สะใจไปด้วย แม้มันจะเป็นพาร์ตที่ค่อนข้างจำเป็นในการปูและชงเข้าสถานการณ์หลักก็ตาม และจะมีการวางปมดราม่าเกี่ยวกับครอบครัว ความแปลกแยกของตัวละครไว้บ้างเผื่อเรียกน้ำตา มีการชงมุกฮาพอให้ได้สีสัน แต่ก็เรียกได้ว่าเบาบางจนหลุดโฟกัสไปเลย ในขณะที่การแสดงในฝั่งมนุษย์ก็ถือว่าทำได้ค่อนข้างดี เพียงแต่ก็ยังไม่มีนักแสดงคนไหนที่โดดเด่นจับใจเป็นพิเศษ

แต่สุดท้ายโฟกัสก็คงต้องยกให้เหล่าบรรดาพี่ ๆ ไททันที่แย่งชิงความสนใจไปได้แบบอยู่หมัดนั่นแหละ ซึ่งจริง ๆ เส้นเรื่องก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไร แต่ก็เรียกได้ว่าเป็นแฟนเซอร์วิสชั้นดีของแฟน ๆ ไททันที่อยากเห็นการปะทะกันแบบเต็ม ๆ แบบไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ โดยเฉพาะองก์ที่ 2 และองก์สุดท้ายนี่คือเหมือนนั่งที่นั่งริงไซด์ข้างเวทีมวยปล้ำ หรือหนังแอ็กชันแนวตำรวจคู่กัดคู่หูอะไรทำนองนั้นเลย เหมือนเป็นคู่หูขิงก็รา ข่าก็แรง พอมาเจอกันก็เลยต้องมีซัดกันเองซักแมตช์ ก่อนที่ทั้งคู่จะต้องจำใจร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรูของตัวเองที่ใหญ่กว่าเดิม

ซึ่งพอถึงตอนท้ายนี่ ลีลาการต่อสู้ก็คือแทบจะกลายเป็นมวยปล้ำไปแล้วครับ ตั้งแต่การสู้แบบ 1 ต่อ 1 สลับคู่กันสู้ แล้วก็กลับมาแท็กทีมกัน มีจุดพลิกแพ้พลิกชนะให้ลุ้นอย่างกับดูมวยปล้ำจริง ๆ คือ 50-70% นี่คือยกให้กับเรื่องราวและการต่อสู้ของเหล่าไททันไปเลย ซึ่งก็ต้องยกประโยชน์ให้กับการทำ CGI ที่แม้จะยังเห็นแผลบ้างในบางจุด แต่ก็เรียกได้ว่าถึงพร้อมมากพอสมควรที่ทำให้เราได้เห็นความรู้สึก อารมณ์ สีหน้าท่าทางของเหล่าไททันได้อย่างมีมิติมากขึ้น ไม่ได้เป็นแค่ลิงยักษ์ตีกับกิ้งก่าดุ ๆ เหมือนภาคก่อน ๆ อีกจุดที่โดดเด่นของงานวิชวลก็คือ การได้เห็นไททันตีกันในฉากกลางวันแสก ๆ ที่เรียกได้ว่าอลังการและแปลกตามาก จากที่ปกติมักจะตีกันตอนฟ้ามืด ๆ (เพราะ CGI ตอนฟ้าสว่างทำยากกว่าตอนฟ้ามืด) ก็นับว่าเป็นอีกจุดเด่นที่ถ้าดู IMAX 3D ก็จะได้เปรียบมากกว่าระบบอื่น ๆ นะครับ เพราะมันคมชัดสว่างตาแตกไปเลย

ถ้าคุณเป็นแฟนคลับไคจู ชอบเรื่องราวของไททัน ชอบเห็นกิจวัตรของไททัน แต่รำคาญเส้นเรื่องของมนุษย์ การตีความเกี่ยวกับสงคราม ความขัดแย้งของมนุษย์ การชิงดีชิงเด่น การทดลองที่เอาแต่ล้มเหลวจนต้องเรียกไททันมาช่วยเหลือ ดราม่าคนที่รักจากไป ทิ้งไว้แต่ปมแค้นกับลูกโคตรดื้อ นี่คือหนัง MonsterVerse ที่ใส่เซอร์วิสมาเต็ม ๆ เพื่อความบันเทิงสะใจแฟน ๆ ไคจูโดยแท้เลยครับ

คือพล็อตจริง ๆ มันก็ธรรมดาแหละ แต่นี่คือหนังแอ็กชันแฟนตาซีผจญภัยที่จะได้เห็น Hollow Earth ที่แสนตื่นตา เห็นการเปิดจักรวาลที่โคตรโม้ แต่ก็น่าจะขยายเรื่องได้อีกเยอะ อาจจะมีความลึกล้ำด้านจินตนาการจนเกือบจะหลุด ๆ บ้าง แต่ก็มาเอาคืนได้ด้วยฉากการต่อสู้ที่เรียกได้ว่าโคตรมัน โดยเฉพาะช่วงประมาณ 50 นาทีสุดท้ายของหนังนี่คือเหมือนนั่งข้างสนามมวยปล้ำแท็กทีมแบบเมามันซัดกันแหลก บันเทิงลูกเดียว จกเคี้ยวป๊อปคอร์น ดูดน้ำอัดลมแบบไม่ต้องอะไรกับใครกันไปข้างหนึ่งไปเลย