เมื่อ 25 ปีที่แล้ว ตอนที่ ‘Star Wars: Episode I – The Phantom Menace’ (1999) ภาพยนตร์เรื่องแรกในไตรภาคต้น (Prequel Trilogy) ของจักรวาล สตาร์ วอร์ส (Star Wars) เข้าฉาย ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกภาพยนตร์ในเวลานั้น แต่ไม่ใช่กับ เจค ลอยด์ (Jake Lloyd) นักแสดงเด็กที่โด่งดังเป็นพลุแตกจากการรับบทเป็น อนาคิน สกายวอล์คเกอร์ (Anakin Skywalker) วัยเด็ก ที่โดนชื่อเสียงและคำวิจารณ์ถาโถม นานวันยิ่งสะสมกลายเป็นความเกลียดชัง และผลักเขาเข้าสู่ด้านมืดของชีวิต ไม่ต่างอะไรกับอนาคิน ที่ถูกความมืดเปลี่ยนให้กลายเป็น ดาร์ธ เวเดอร์ (Darth Vader)

ไม่ว่าจะด้วยพรสวรรค์ หรือการผลักดันจากพ่อผู้ทำงานกองถ่ายหนัง และแม่ผู้ทำงานในบริษัทเอเจนซีนักแสดง สุดท้าย เจค วัย 10 ขวบ สามารถเอาชนะนักแสดงเด็กกว่า 3,000 คน เพื่อรับบทเป็น อนาคิน สกายวอล์คเกอร์ วัยเยาว์ได้ในที่สุด แต่ด้วยชื่อเสียงที่ถาโถม ทำให้เขาต้องพูดซ้ำ ๆ ในการสัมภาษณ์กับสื่อวันละหลายครั้ง เขาต้องรับมือกับชื่อเสียง คำวิจารณ์ที่หนักหน่วงเกินกว่าเด็กคนหนึ่งจะทนไหว

ชีวิตของเขาเริ่มถลำเข้าสู่ความเหลวแหลก ในวัยเริ่มหนุ่ม มีกระแสข่าวว่าเขาปฏิเสธผลงานการแสดงของตัวเอง เขาถูกเพื่อนกลั่นแกล้งด้วยการทำเสียงไลต์เซเบอร์ใส่ เขาเริ่มทำลายของที่ระลึกทุกอย่างที่เกี่ยวกับ Star Wars ความกดดันทับถมจนกลายเป็นปัญหาสุขภาพจิต จนกระทั่งเขาตัดสินใจออกจากฮอลลีวูด โดยมีผลงานการแสดงหนังเรื่อง ‘Madison’ (2001) เป็นผลงานสุดท้าย ในปี 2015 มีข่าวว่าเขาด่าทอและทำร้ายร่างกายแม่ของตัวเอง จนกระทั่งมีการเปิดเผยว่า เขาได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าเขาเป็นโรคจิตเภท

ลิซา ลอยด์ (Lisa Lloyd) แม่ของเจค ได้อัปเดตชีวิตของลูกชายที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคจิตเภทกับเว็บไซต์ Scripps News ในวาระที่หนังเรื่องดังกล่าวถึงวาระครบรอบ 25 ปีหลังจากเข้าฉายครั้งแรก และยังถือเป็นครั้งแรกที่เธอได้เปิดเผยเรื่องราวการดูแลของเธอ และการต่อสู้กับอาการป่วยทางจิตของลูกชาย รวมทั้งยังเคลียร์ประเด็นเกี่ยวกับความเกลียดชังใน Star Wars ของเจคที่ลือกันมาอย่างยาวนาน

Jake Llyod Star Wars Episode I The Phantom Menace

เธอเล่าว่า อาการของเจคเริ่มชัดเจนขึ้นตอนสมัยมัธยม เมื่อเธอสังเกตบุคลิกของลูกชายที่เริ่มเปลี่ยนไป แม่ส่งเขาเข้าเรียนชั้นมัธยมที่ Columbia College Chicago ในปี 2007 เจคเริ่มมีปัญหาในการรับรู้และยอมรับความเป็นจริง เขาเริ่มไม่ยอมทำการบ้าน และมักขาดเรียนบ่อยครั้ง “เขาบอกกับฉันว่า ‘ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมจำเป็นต้องทำหรือเปล่า ผมไม่รู้ว่าผมอยู่ในความจริงแบบไหน’ และฉันก็บอกเขาว่า ‘เอาล่ะ วันนี้ลูกอยู่ในความเป็นจริงของแม่ ดังนั้นลูกก็ต้องทำการบ้านนะ'”

เจคมักรู้สึกว่ามีดวงตาคอยจ้องมองมาที่เขา และเริ่มคุยกับทีวีคนเดียว ลิซาพาเจคไปพบจิตแพทย์ครั้งแรก และได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคไบโพลาร์ เจคได้รับการรักษาด้วยการใช้ยาหลายชนิดแต่ก็ไม่ได้ผล ก่อนที่เจคจะต้องออกจากโรงเรียนหลังจากผ่านไปแค่ครึ่งภาคเรียน ก่อนที่ลิซาจะพาลูกชายย้ายไปอยู่ที่รัฐอินเดียนา จนกระทั่งจิตแพทย์ได้วินิจฉัยอีกครั้งและพบว่าเขามีอาการของโรคจิตเภทแบบหวาดระแวง (Paranoid Schizophrenia)

ซ้ำร้าย เขายังมีภาวะทางระบบประสาทที่เรียกว่า Anosognosia หรือภาวะที่ทำให้ผู้ป่วยไม่รู้สึกถึงอาการเจ็บป่วยของตัวเอง และปฏิเสธการรับการรักษาร่วมด้วย ทำให้การรักษาอาการจิตเภทยิ่งยากขึ้น ยาบางตัวไม่สามารถใช้รักษาได้อีก และบางครั้งเจคก็เลิกใช้ยาเองโดยพลการ จนบางครั้งลิซาก็มักจะหายาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนมาใช้รักษา และนั่นก็นำไปสู่ปัญหาที่ใหญ่กว่าเดิม “เขาไม่คิดว่าเขาจำเป็นจะต้องกินยา ไม่คิดว่าจำเป็นจะต้องไปหานักบำบัด เพราะเขาคิดว่าตัวเขาเองไม่ได้เป็นอะไร”

ปี 2015 ลอยด์ที่ตัดสินใจเลิกยาเอง ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจของรัฐเซาต์แคโรไลนาจับกุม ในข้อหาขับรถโดยประมาท ไม่มีใบอนุญาต และหลบหนีการจับกุม หลังขับรถฝ่าไฟแดง ตำรวจต้องขับรถไล่ล่าเป็นระยะทางกว่า 40 กิโลเมตร ก่อนที่รถจะเสียหลักพุ่งชนต้นไม้ ทำให้ลอยด์ถูกตั้งข้อหาหลายกระทง และถูกจำคุกนาน 10 เดือน โดยที่ไม่ได้รับการบำบัดรักษาอย่างถูกต้อง หลังจากพ้นโทษ เธอพาเขาย้ายไปที่ลอสแองเจลิส เธอเล่าว่าเขาเคยรู้สึกเหมือนมีคนมาบุกยิงในอะพาร์ตเมนต์ ลิซาจึงเริ่มตระหนักว่าเจคกำลังเริ่มมีอาการประสาทหลอน

มีนาคม 2023 อาการจิตเภทของเจคยิ่งรุนแรงมากขึ้นในระดับที่ลิซาใช้คำว่า ‘สติแตก’ ในระหว่างขับรถกลับบ้านหลังจากไปซื้ออาหารที่แม็กโดนัลด์ ลอยด์บอกกับเธอว่าต้องการจะขับรถปิดถนน ก่อนที่เขาจะขับรถปิดถนนเลนกลางบนถนนที่มี 3 เลน ตำรวจรุดไปยังที่เกิดเหตุและถามคำถามกับเจค แต่เจคก็มีอาการพูดวกไปวนมาจนสื่อสารไม่รู้เรื่อง เจคถูกพาไปเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ก่อนจะพาไปรักษาในสถานฟื้นฟูสุขภาพจิตในอีก 2-3 เดือนต่อมา

แม้จะดูเป็นเรื่องเศร้าที่ลิซาต้องดูแลลูกชายที่มีปัญหาทางจิต แต่ตอนนี้ ลิซาเผยว่า เจคที่ได้เข้ารับการรักษามาเป็นระยะเวลา 10 เดือนมีความคืบหน้าที่ดีเกินคาด จากการบำบัดและใช้ยาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ลอยด์เริ่มกลับมามีสมาธิที่ดีขึ้น จนถึงขั้นที่เธอสามารถพาลูกชายเข้าสังคม ไปดูหนังเรื่อง ‘Wonka’ ในโรงหนัง และปาร์ตี้ร่วมกับครอบครัวได้อีกครั้ง “เขาทำได้ดีกว่าที่ฉันคาดไว้มาก เขาเชื่อมโยงกับผู้คนได้ดีขึ้น เข้าสังคมได้มากขึ้นนิดหน่อย ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีจริง ๆ มันเหมือนกับได้เจคคนเก่ากลับมา เพราะเขาเป็นคนที่เข้าสังคมมาก ๆ จนกระทั่งเขามีโรคจิตเภท”

Jake Llyod Star Wars Episode I The Phantom Menace

และที่เซอร์ไพรส์ก็คือ ลิซาเผยว่า เขาชอบดู Star Wars มาก ขัดกับความเชื่อของหลาย ๆ คนที่มองว่าเขาเกลียดชังแฟรนไชส์ที่เคยทำลายชีวิตวัยเด็กของเขาให้พังพินาศ ลิซาเล่าว่า เขาเพิ่งได้ดูซีรีส์เรื่อง ‘Ahsoka’ ทาง Disney+ ซึ่งเป็นเรื่องราวของ อาโซกา ทาโน (Ahsoka Tano) เจไดผู้เป็นพาดาวัน หรือลูกศิษย์ของอนาคิน และเธอยังซื้อตุ๊กตาฟิกเกอร์ Ahsoka เป็นของขวัญวันเกิดให้กับเจคด้วย

“เขาชอบ ‘Star Wars’ เรื่องใหม่ทั้งหมดเลยค่ะ ผู้คนชอบคิดว่าเจคเกลียด ‘Star Wars’ แต่จริง ๆ แล้วเขารักมันมาก”

เธออธิบายเพิ่มเติมว่า อาการจิตเภทของเจคที่ทำให้เขาไม่ประสบความสำเร็จในฮอลลีวูดนั้น ไม่ได้มีสาเหตุมาจาก ‘Star Wars’ เหมือนที่ใคร ๆ เข้าใจ และเจคเองก็ไม่ได้สนใจที่เขามักจะถูกเพื่อน ๆ ที่โรงเรียนกลั่นแกล้งเหมือนที่เคยได้ยินกันมา แต่ทั้งหมดเป็นเรื่องของพันธุกรรมที่มาจากครอบครัวฝั่งพ่อ และสภาพแวดล้อม “มันเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้วค่ะ ฉันเชื่อว่ามันเป็นเรื่องของพันธุกรรม มีคนบอกว่าเขาออกจากวงการเพราะ ‘Star Wars’ ซึ่งนั่นไม่เป็นความจริง มันไม่เกี่ยวอะไรกับ ‘Star Wars’ เลย มันเกี่ยวข้องกับครอบครัวของเรามากกว่า เพราะว่าตอนนั้นเรากำลังจะหย่าร้างกัน มันเกิดความวุ่นวาย และเจคเองก็ไม่สนุกกับการไปออดิชันอีกแล้ว”

แม้ในปัจจุบันจะมีความท้าทายมากขึ้น แต่ลิซาก็ได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญเกี่ยวกับการสงบสติอารมณ์ และความอดทนในการรับฟังและเข้าใจในตัวเจค ในขณะนี้ที่อาการของเจคดีขึ้น ทำให้ลิซามองว่า ณ ตอนนี้และอนาคต ชีวิตของเธอและลูกชายจะยิ่งพบกับความหวังที่ดีขึ้นกว่าเดิม หลังจากที่ต้องทุกข์ทนทรมานกับโรคร้ายมายาวนาน เช่นเดียวกับแฟน ๆ ที่ต่างก็เอาใจช่วยให้เขากลับมาดีขึ้น

“เราอยู่ในสถานที่ดีกว่าเดิมมาก และเราเองก็มีหลายสิ่งที่กำลังรอคอย เราทุกคนอยากอยู่ใกล้เขา และพวกเรารักเจค ฉันอยากทำให้เขามีความสุข”