เมื่อการพักร้อนแบบเดิมไม่พอฮีลใจ เคยรู้สึกไหมว่าลาพักร้อนไปหนึ่งสัปดาห์ แต่กลับมาทำงานวันแรกก็รู้สึกว่าพลังชีวิตติดลบเหมือนเดิม ? ความรู้สึกเหนื่อยล้าที่กัดกินลึกไปถึงจิตใจ อาจเป็นสัญญาณว่าร่างกายกำลังต้องการอะไรที่มากกว่าแค่การเปลี่ยนที่นอนหรือการเที่ยวชมเมืองแบบเดิม ๆ

Wellness Tourism หรือ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญ จนกลายเป็นเทรนด์ที่กำลังเติบโต ในยุคที่ภาวะหมดไฟ (Burnout) และความเครียดสะสมกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตการทำงาน การเดินทางจึงมีโจทย์ใหม่ที่ท้าทายกว่าเดิม นั่นคือทำอย่างไรให้การพักผ่อนครั้งต่อไปสามารถ “ฟื้นฟู” เราได้อย่างแท้จริง

แล้ว Wellness Tourism คืออะไรกันแน่ ?

ก่อนอื่นต้องเข้าใจตรงกันว่า Wellness Tourism ไม่ใช่การท่องเที่ยวสำหรับคนป่วย แต่เป็นการเดินทางโดยมีเป้าหมายหลักเพื่อการดูแลสุขภาพ เพื่อรักษาสุขภาวะที่ดีแบบองค์รวม ทั้งทางร่างกายและจิตใจ โดยผสมผสานประสบการณ์การท่องเที่ยวเข้ากับกิจกรรมเพื่อสุขภาพ อย่างการเข้าสปา โยคะ การทำสมาธิ การอยู่กับธรรมชาติ หรือการเข้ารับการบำบัดเฉพาะทาง เพื่อช่วยให้ร่างกายและจิตใจกลับมาสมดุลและเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอีกครั้ง

แล้วเทรนด์ท่องเที่ยวสุขภาพเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ?

การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของเทรนด์ Wellness Tourism ไม่ได้เกิดขึ้นโดยไม่มีที่มา แต่มีปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป

  • ผลกระทบระยะยาวจาก COVID-19 หลังจากโรคระบาดจาก COVID-19 ผู้คนหันมาใส่ใจ ตระหนักถึงความสำคัญกับการมีสุขภาพที่ดีและภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยการกินอาหารที่ดี ออกกำลังกาย สร้างภูมิที่ดีทั้งกายและใจ
  • วัฒนธรรมการทำงานที่หนักหน่วง ภาวะหมดไฟและความเครียดกลายเป็นเรื่องยอดฮิตของคนวัยทำงาน ทำให้เกิดความต้องการการพักผ่อนที่ไม่ใช่เพื่อผ่อนคลายเท่านั้นแต่ต้องเยียวยาจิตใจได้ด้วย
  • การเข้าสู่สังคมสูงวัย (Aging Society) ค่าเฉลี่ยของคนที่อายุเกิน 60 ปีในไทย ปี 2564 อยู่ที่ 20% หรือประมาณ 13 ล้านคน ประชากรกลุ่มนี้มีกำลังซื้อสูงและพร้อมลงทุนกับการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและยืนยาว
  • เทคโนโลยีและการเข้าถึงข้อมูล ผู้คนสามารถค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพและการดูแลตัวเองได้ง่ายขึ้น ทำให้ต้องการประสบการณ์ที่เฉพาะบุคคล (Personalized) และตอบโจทย์ความต้องการของตัวเองได้จริง

กิจกรรมฮีลใจ ช่วยเติมไฟอีกครั้ง

หลายคนอาจจะนึกถึงการนวดหรือสปา แต่ยังมีกิจกรรมอื่น ๆ อีก เช่น

  • ค้นหาความสงบภายใน ผ่านโยคะและการทำสมาธิ เป็นการมุ่งเน้นสุขภาวะทางใจ เพื่อช่วยให้เกิดความสมดุลทางอารมณ์ จิตใจสงบปลอดโปร่งมากขึ้น
  • เติบโตผ่านการแบ่งปัน ลองเข้าร่วมเวิร์กช็อปหรือกิจกรรมแลกเปลี่ยนความคิดผ่านการพูดคุยในหัวข้อพัฒนาตัวเอง ซึ่งนอกจากจะได้แนวทางใหม่ ๆ ยังได้พลังบวกและมิตรภาพดี ๆ อีกด้วย 
  • ให้ธรรมชาติบำบัด ลองเปลี่ยนจากการเที่ยวในเมืองมาเป็นเดินชมธรรมชาติที่ไม่เพียงแค่การเดินป่าแต่คือการซึมซับพลังจากธรรมชาติอย่างช้า ๆ เพื่อลดความเครียดและความวิตกกังวล
  • สร้างพลังบวกผ่านกิจกรรม หากรู้สึกหมดไฟ ลองหากิจกรรมใหม่ ๆ อย่าง การออกกำลังกาย ปั่นจักรยาน หรือเข้าคลาสเต้น ช่วยปลดปล่อยพลังงานและหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน ทำให้ร่างกายและจิตใจแจ่มใส

ประเทศไทยอยู่ตรงไหนของเทรนด์ Wellness Tourism ?

ด้วยจุดแข็งที่มาจากวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์และทรัพยากรที่เหมาะสม เช่น แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ อาหาร กีฬาพื้นบ้าน สมุนไพร หรือแพทย์แผนไทยที่เป็นมิตรและครองใจทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ 

ข้อมูลจากรายงานของ Global Wellness Institute (GWI) ปี2022 ชี้ว่าประเทศไทย คือผู้เล่นคนสำคัญในสนามนี้ โดยเศรษฐกิจเชิงสุขภาพของไทยมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 9 ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และมีมูลค่าตลาดรวมสูงถึงราว 1.4 ล้านล้านบาท

ประเทศไทยมีความแข็งแกร่งในการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) ซึ่งครองอันดับ 4 ของเอเชียแปซิฟิก รวมถึงการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกที่ติดอันดับ 7 ของภูมิภาค ซึ่งแสดงให้เห็นว่าภูมิปัญญาดั้งเดิมและวัฒนธรรมการดูแลที่เป็นเอกลักษณ์คือจุดแข็งสำคัญของเรา

แต่ภาพจำของหลายคนอาจมองว่าการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพคือการไปนวดหรือทำสปา แต่ในความเป็นจริง เทรนด์ปี 2025 ได้ขยายขอบเขตของกิจกรรมให้หลากหลายและน่าสนใจกว่านั้นมาก 

ธุรกิจที่ขับเคลื่อนการเติบโตของ Wellness Economy 

เมื่อผู้คนโหยหาที่พักใจ ใครคือผู้เล่นที่ได้โอกาสจากเทรนด์นี้ ? 

เปิดรายได้จากแต่ละภาคส่วนในปี ค.ศ. 2023

  • การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ 415,000 ล้านบาท
  • อาหารเพื่อสุขภาพและโภชนาการ 308,900 ล้านบาท
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพและความงาม 242,000 ล้านบาท
  • การแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก 118,000 ล้านบาท
  • ฟิตเนสและกิจกรรมทางกาย 113,400 ล้านบาท
  • เวชศาสตร์ป้องกันและการแพทย์เฉพาะบุคคล 91,500 ล้านบาท
  • สปา 53,840 ล้านบาท
  • สุขภาพจิต (Mental Wellness) 22,500 ล้านบาท
  • อสังหาริมทรัพย์เชิงสุขภาพ (Wellness Real Estate) 17,800 ล้านบาท
  • Wellness ในสถานที่ทำงาน 3,700 ล้านบาท

Wellness Economy ของไทยในอนาคตมีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ย 7-10% ต่อปี ตัวเลขนี้กำลังสะท้อนให้เห็นว่าการเติบโตในภาคการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพกำลังเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ หากได้ความร่วมมือจากทางภาครัฐและเอกชนที่ช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวให้แข็งแรงมากยิ่งขึ้นก็จะช่วยขับเคลื่อนให้ผู้ประกอบการได้มีโอกาสในการสร้างรายได้และช่วยผลักดันเศรษฐกิจไทยให้เติบโตยิ่งขึ้น

ท้ายที่สุดแล้ว เทรนด์ Wellness Tourism นอกจากจะช่วยให้ภาคธุรกิจเติบโตก็จริง แต่ยังเปิดมุมมองให้ย้อนกลับมาดูว่า “เรากำลังอ่อนล้าจากชีวิตการทำงานที่ขมปี๋” การเที่ยวเพื่อพักผ่อนแบบเดิม ๆ อาจไม่เพียงพออีกต่อไป และการหยุดเพื่อพักใจคือการลงทุนที่สำคัญที่สุด เพื่อให้เรามีภูมิคุ้มกันทางร่างกายและจิตใจที่สมดุลและแข็งแรง