ทำไมหันไปทางไหนก็เจอแต่คนหมดไฟ ? ผลสำรวจจากงานวิจัย ‘Burnout In The City’ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่าคนทำงานในกรุงเทพฯ กว่า 69% มีภาวะหมดไฟหรือเสี่ยงหมดไฟ โดยแบ่งเป็น 12% ภาวะหมดไฟ และ 57% มีความเสี่ยงสูงที่จะหมดไฟ ซึ่งอาจสะท้อนว่าการทำงานหนักเพียงอย่างเดียวอาจไม่ใช่คำตอบของความสำเร็จหรือความหมายของชีวิตอีกต่อไป

แต่ท่ามกลางโลกที่หยุดพัฒนาตัวเองไม่ได้ เราจะป้องกันหรือรับมือกับภาวะนี้ได้ยังไง ? คำตอบของคำถามนี้อาจง่ายและใกล้ตัวกว่าที่คิด และหนึ่งในทางออกนั้น คือ การเดินทาง

องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้นิยามภาวะหมดไฟไว้ว่าเป็น “ปรากฏการณ์ที่เกิดจากการทำงาน” (Occupational Phenomenon) ซึ่งเกิดจากความเครียดเรื้อรังในที่ทำงานที่ไม่ได้รับการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีลักษณะ 3 อย่างที่สามารถสังเกตได้

  1. ความเหนื่อยล้าทางอารมณ์: รู้สึกหมดพลัง สูญเสียแรงจูงใจ
  2. ความรู้สึกเหินห่างต่องาน: มองงานในแง่ลบ รู้สึกโดดเดี่ยวจากเพื่อนร่วมงาน
  3. ประสิทธิภาพการทำงานลดลง: รู้สึกว่าตนเองไม่ประสบความสำเร็จ ขาดความสามารถในการทำงาน

ถ้าคุณรู้หรือสัมผัสได้ว่าคุณกำลังเผชิญกับความคิดและพฤติกรรมเหล่านี้อยู่ การเลือกที่จะออกเดินทางไปพักผ่อนอาจเป็นตัวเลือกที่มองข้ามไม่ได้ บทความนี้จะพาไปสำรวจว่าการท่องเที่ยวไม่ใช่แค่การใช้เงินเพื่อความสนุกชั่วคราว แต่คือการลงทุนที่จำเป็นต่อสุขภาพจิตที่ช่วยป้องกันภาวะหมดไฟ ซึ่งอธิบายได้ด้วยมุมมองทางวิทยาศาสตร์

วิทยาศาสตร์ของการ “เปลี่ยนที่”

การพาตัวเองออกจากสภาพแวดล้อมเดิม ๆ ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนบรรยากาศ แต่เป็นการรีเซตระบบการทำงานของสมองและร่างกายครั้งใหญ่

  • ลดฮอร์โมนความเครียด (Cortisol): การอยู่ในสภาพแวดล้อมการทำงานที่กดดันตลอดเวลา จะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลออกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลเสียต่อร่างกายในระยะยาว การออกเดินทางไปในสถานที่ใหม่ ๆ ที่ผ่อนคลาย จะช่วยให้ร่างกายได้หยุดพักจากการถูกกระตุ้น ทำให้ระดับคอร์ติซอลลดลง และทำให้ความรู้สึกวิตกกังวลและความเครียดลดลง
  • กระตุ้นสารแห่งความสุข (Dopamine): การได้เห็นภาพทิวทัศน์ที่สวยงาม ได้ลองชิมอาหารที่ไม่เคยกิน หรือได้ทำกิจกรรมใหม่ๆ ที่น่าตื่นเต้น จะกระตุ้นให้สมองหลั่งสารโดพามีน ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่เกี่ยวข้องกับความพึงพอใจและแรงจูงใจ ทำให้เรารู้สึกมีความสุขและมีชีวิตชีวามากขึ้น
  • เพิ่มความคิดสร้างสรรค์และมุมมองใหม่: การจมอยู่กับปัญหาเดิม ๆ ในสภาพแวดล้อมเดิม ๆ มักทำให้ความคิดตีบตัน เหมือนการหันหน้าเข้ากำแพง แต่การเดินทางช่วยทำลายวงจรความคิดซ้ำซาก สมองได้พบเจอกับสิ่งเร้าและสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ ทำให้เกิดการเชื่อมต่อของเซลล์ประสาทในรูปแบบที่แตกต่างไปจากเดิม สิ่งนี้ไม่เพียงช่วยให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ แต่ยังอาจทำให้เราได้มุมมองใหม่ ๆ ในการกลับไปแก้ปัญหาที่ค้างคาอยู่ได้ดีขึ้น

งานวิจัยในตำนานอย่าง Framingham Heart Study ซึ่งเป็นการศึกษาติดตามผลระยะยาว พบความเชื่อมโยงที่น่าสนใจว่า ผู้ชายที่ไม่ได้ลาพักร้อนเป็นเวลาหลายปี มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจวายสูงกว่าคนที่ลาพักร้อนเป็นประจำถึง 30% และในผู้หญิงก็ให้ผลลัพธ์ไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการพักผ่อนส่งผลดีต่อสุขภาพกายที่เชื่อมโยงโดยตรงมาจากการลดความเครียดสะสม

เที่ยวไทย เที่ยวง่าย หายเครียด

หลายคนอาจคิดว่าการเดินทางและการท่องเที่ยวเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก ลำพังงานที่ต้องทำก็สลับซับซ้อนมากอยู่แล้ว โดยเฉพาะการไปเที่ยวต่างประเทศ การเที่ยวในประเทศจึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจและเข้าถึงได้ง่ายกว่าที่คิดสำหรับคนวัยทำงาน

ความพิเศษของเมืองไทยคือความ “หลากหลาย” ที่มาพร้อมกับความ “สะดวกสบาย” ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเดินทางสายลุยที่ชอบความท้าทาย หรือเป็นคนที่ต้องการการพักผ่อนแบบชิล ๆ ประเทศไทยมีคำตอบและตัวเลือกให้เสมอ ในราคาที่เข้าถึงได้และเลือกได้ แต่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ได้สัมผัสกับวัฒนธรรม อาหาร ผู้คน และเทศกาลที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละพื้นที่

และทั้งหมดนี้จะง่ายขึ้น แค่เข้าไปที่ https://www.tourismthailand.org จาก ททท. ที่จะเปลี่ยนการท่องเที่ยวไทยให้ง่ายกว่าที่เคย

นอกจากผ่อนคลายความเครียดและไปเติมไฟในชีวิตด้วการออกเดินทางแล้ว ภาวะหมดไฟสามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยการดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม อย่างการนอนหลับพักผ่อน การออกกำลังกาย รวมถึงการวางแผน และหากมีเวลา อย่าลืมเข้าไปเติมแรงบันดาลใจแห่งการเดินทางของคุณ…เริ่มต้นที่นี่ https://www.tourismthailand.org/