ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โซเชียลมีเดียและแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเราทุกคนมากขึ้น เพราะสิ่งเหล่านี้สามารถเชื่อมต่อเราเข้ากับโลกทั้งใบได้ทุกเวลา ไม่เว้นแม้กระทั่งช่วงก่อนนอน ที่หลายคนมักใช้เวลาอยู่กับหน้าจอมือถือ แทนที่จะนอนพักผ่อน เพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับวันถัดไป
ซึ่งเราอาจจะเคยได้ยินจากผู้เชี่ยวชาญหรืองานวิจัยต่าง ๆ ที่บอกว่า การเล่นมือถือก่อนนอนจะทำให้นอนไม่หลับ และทำให้คุณภาพการนอนของเราแย่ลง บ้างก็บอกว่าแสงสีฟ้าจากหน้าจอไปรบกวนการนอนหลับของเรา หรือแสงสีฟ้าจะไปยับยั้งการผลิตฮอร์โมนเมลาโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยในการนอนหลับ แต่ข้อมูลล่าสุดที่ออกมาระบุว่า ‘สิ่งเหล่านี้อาจจะไม่จริงเสมอไป’
“แสงสีฟ้า” อาจไม่ใช่ปัญหาที่แท้จริงของการนอน
ศาสตราจารย์คอลลีน คาร์นีย์ (Colleen Carney) ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับและโรคอารมณ์แปรปรวน (Mood disorders) จากมหาวิทยาลัยโทรอนโตเมโทรโพลิแทน (Toronto Metropolitan University หรือ TMU) กล่าวว่า ผลการวิจัยเหล่านั้นไม่ได้คำนึงถึงช่วงอายุ ระยะเวลา หรือความเข้มข้นของการรับแสง และเสริมว่า การวิจัยอื่น ๆ ในสาขานี้ใช้เงื่อนไขการทดลองที่ไม่สะท้อนถึงการใช้ชีวิตประจำวันของคนทั่วไป และในบางครั้งได้มีการใช้อคติในกระบวนการวิจัย เพื่อจะพิสูจน์ว่าแสงสีฟ้าเป็นสาเหตุของปัญหาการนอนหลับ
โดยศาสตราจารย์คาร์นีย์ยอมรับว่ามีการทำวิจัยพวกนั้นจริง แต่เพื่อที่จะได้ผลลัพธ์เหล่านั้น ในการศึกษาจึงมักเลือกกลุ่มคนที่อยู่ในวัยผู้ใหญ่ตอนต้น เพราะเป็นช่วงวัยที่กำลังไวต่อแสง ซึ่งสำคัญมากต่อผลลัพธ์ที่จะออกมา จากนั้นก็จะทดสอบให้คนเหล่านี้อยู่ในห้องแล็บที่มีแสงสลัวตลอดทั้งวัน และผู้คนก็นำผลการวิจัยในด้านนี้ไปใช้อย่างกว้างเกินไป อีกทั้งยังไม่ได้สนใจงานวิจัยที่ไม่พบผลลัพธ์แบบนี้อีกด้วย
ผลกระทบของแสงสีฟ้าต่อวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ตอนต้น
ขณะเดียวกันก็มีงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Brain Communications เมื่อปี 2023 ซึ่งได้วัดการนอนหลับของผู้ชายที่อยู่ในวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ตอนต้น ด้วยการให้อ่านหนังสือหนังสือแบบเป็นเล่มจริง ๆ เทียบกับการเล่นโทรศัพท์มือถือที่ปล่อยแสงสีฟ้าก่อนนอน ผลลัพธ์ที่ออกมาก็ตรงกับแนวคิดที่ว่าแสงสีฟ้าสามารถยับยั้งการทำงานของเมลาโทนินได้ แต่ก็พบว่าผลลัพธ์เหล่านี้จะลดลงหากหยุดใช้โทรศัพท์อย่างน้อยหนึ่งชั่วโมงก่อนนอน
อีกทั้งในปี 2024 คณะผู้เชี่ยวชาญของมูลนิธิการนอนหลับแห่งชาติ (National Sleep Foundation) ซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับและกุมารเวชศาสตร์ 16 คน ได้เผยแพร่แถลงการณ์ที่ลงความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่า การเล่นมือถือส่งผลเสียต่อสุขภาพการนอนหลับของเด็กและวัยรุ่น แต่ส่วนใหญ่เป็นเพราะคอนเทนต์หรือเนื้อหา โดยยังไม่ได้ข้อสรุปว่าการได้รับแสงสีฟ้าจากการใช้หน้าจอก่อนนอนนั้นจะส่งผลเสียต่อการนอนหลับของผู้ใหญ่หรือไม่
ดร. อเล็กซ์ ดิมิทรีอู (Dr. Alex Dimitriu) จิตแพทย์และแพทย์ด้านการนอนหลับ กล่าวว่า “มันน่าสนใจ เพราะมันขัดแย้งกับงานวิจัยจำนวนมากที่ได้รับการยืนยันแล้ว ซึ่งชี้ให้เห็นถึงผลกระทบที่ชัดเจนของการใช้หน้าจอต่อคุณภาพการนอนหลับ”
โดย ดร. ดิมิทรีอู ยกตัวอย่างการศึกษาของสมาคมโรคมะเร็งแห่งอเมริกา (American Cancer Society) ในปี 2025 ซึ่งผู้เขียนยอมรับว่ามีการค้นพบที่น่าสนใจบางอย่าง รวมถึงความสัมพันธ์เชิงสาเหตุที่ยังไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนจากการศึกษานี้ และเป็นไปได้ว่าผู้ที่นอนหลับได้ดีอาจจะใช้โทรศัพท์หรือไม่ใช้เลยก็ได้ ในขณะที่ผู้ที่นอนหลับไม่ดีไม่แน่ใจว่าเกิดจากสาเหตุใด
โดยวารสาร Frontiers in Psychology ฉบับปี 2022 ได้วิเคราะห์งานวิจัย 24 ชิ้น เพื่อหาคำตอบสำหรับคำถามนี้ในกลุ่มคนที่เป็นผู้ใหญ่ตอนต้น ซึ่ง 1 ใน 5 ของงานวิจัยรายงานว่า คุณภาพการนอนหลับลดลงหลังจากได้รับแสงสีฟ้า ขณะที่ 1 ใน 3 รายงานว่า ระยะเวลาการนอนหลับลดลง และครึ่งหนึ่งของงานวิจัยทั้งหมดแสดงให้เห็นถึงความเหนื่อยล้าที่ลดลงในช่วงก่อนนอน ที่อาจนำไปสู่ปัญหาการนอนหลับ สอดคล้องกับการที่แสงสีฟ้าได้เพิ่มความตื่นตัว และเพิ่มประสิทธิภาพการรับรู้ในช่วงกลางวัน
“โดยทั่วไปแล้ว ผลกระทบที่เฉพาะเจาะจงของการสัมผัสแสงสีฟ้าเป็นเรื่องที่ยังคงไม่ชัดเจน และจำเป็นต้องมีการตรวจสอบเพิ่มเติมก่อนจะสามารถสรุปผลที่แน่นอนและมีหลักฐานยืนยันได้” การศึกษาระบุ และแม้ว่านักวิจัยจะกล่าวว่า “แสงสีฟ้าอาจมีผลเสีย เช่น ทำให้คุณภาพการนอนหลับและระยะเวลาการนอนหลับลดลง ซึ่งอาจทำให้สมรรถภาพทางกาย ทางสติปัญญา และการฟื้นตัวของนักกีฬาแย่ลง”
“คอนเทนต์” คือตัวการสำคัญที่ทำให้คุณภาพการนอนแย่ลง
แต่ผลการศึกษาจาก TMU และมหาวิทยาลัยลาวาล (Université Laval) ได้แสดงให้เห็นถึงภาพรวมที่ซับซ้อนมากขึ้นของนิสัยการนอนของคนยุคใหม่
ซึ่งผลการศึกษานี้ได้รับการเผยแพร่ในวารสาร Sleep Health เมื่อเดือนตุลาคม 2025 ที่ผ่านมา ในบทความที่ชื่อว่า “ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างการใช้หน้าจอก่อนนอนกับสุขภาพการนอนหลับของผู้ใหญ่ (The complex association between bedtime screen use and adult sleep health)”
โดยงานวิจัยนี้ ศึกษาจากผู้เข้าร่วมในแคนาดา 1,342 คน ให้ผู้เข้าร่วมตอบคำถามเกี่ยวกับการใช้หน้าจอก่อนนอนและสุขภาพการนอนหลับในวัยผู้ใหญ่ (อายุ 18 ปีขึ้นไป) ซึ่งกว่า 80% ของผู้เข้าร่วมรายงานว่ามีการใช้หน้าจอก่อนนอนในเดือนที่ผ่านมา และกว่าครึ่งหนึ่งมีการใช้หน้าจอก่อนนอนทุกคืน
โดยผลออกมาพบว่า คนที่ใช้หน้าจอก่อนนอนทุกคืน และคนที่ไม่ใช้หน้าจอเลย มีสุขภาพการนอนโดยรวมดีไม่ต่างกัน แต่คนที่ใช้โทรศัพท์เพียงแค่ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์กลับกลายเป็นคนที่มีการนอนหลับแย่ที่สุด ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่ขัดแย้งกันและยังต้องศึกษาเพิ่มเติมต่อไป
ผลการศึกษานี้คล้ายกับการค้นคว้าก่อนหน้าที่ชี้ให้เห็นว่าแสงสีฟ้าอาจถูกใส่ร้ายอย่างไม่เป็นธรรม โดยพบว่า สิ่งที่เราทำอยู่บนมือถือก็มีความสำคัญพอ ๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นอะไรบางอย่างที่ทำให้คุณติดอกติดใจ ทำให้คุณหงุดหงิด หรือแม้กระทั่งแจ้งเตือนที่โผล่ขึ้นมาบนหน้าจอด้วยก็ตาม
“อาจมีเหตุผลที่ต้องระมัดระวังเกี่ยวกับการได้รับแสงสีฟ้ามากเกินไปในช่วงเย็นสำหรับวัยรุ่น เนื่องจากวัยรุ่นจะมีความไวต่อแสงมากกว่า” ศาสตราจารย์คาร์นีย์กล่าวในเอกสารเผยแพร่ผลการศึกษา “เมื่อเราอายุมากขึ้น ความไวต่อแสงของดวงตาจะลดลง และยังมีผลกระทบที่เกี่ยวข้องกับอายุที่ทำให้แสงรบกวนน้อยลง”
สรุปแล้ว “คนอายุน้อย” ได้รับผลกระทบเยอะที่สุด
นักวิจัยที่ TMU ยังพบว่า คนอายุน้อยอาจมีความเสี่ยงต่อผลกระทบของแสงที่กดการทำงานของเมลาโทนินมากกว่า และการศึกษามากมายพบว่าการสัมผัสแสงในเวลากลางคืน อาจส่งผลกระทบต่อเด็กและวัยรุ่นมากกว่า ไม่ใช่วัยผู้ใหญ่ซึ่งเป็นเป้าหมายการศึกษาของ TMU
จากผลการศึกษาที่ซับซ้อนนี้ชี้ให้เห็นว่า ผลกระทบของการใช้หน้าจอก่อนนอนต่อคุณภาพการนอนหลับนั้นขึ้นอยู่กับบริบทและช่วงวัย โดยวัยรุ่นจะได้รับผลกระทบจากแสงสีฟ้ามากกว่า แต่ในวัยผู้ใหญ่อาจได้รับผลกระทบจากเนื้อหาหรือคอนเทนต์ที่รับชมมากกว่าแสงสีฟ้า
ดังนั้น หากต้องการพักผ่อนและนอนหลับอย่างมีคุณภาพ ควรจำกัดการใช้หน้าจออย่างน้อยหนึ่งชั่วโมงก่อนนอน และปิดการแจ้งเตือนหรือหลีกเลี่ยงเนื้อหาที่เร้าอารมณ์ เพื่อให้ร่างกายและจิตใจได้เตรียมพร้อมเข้าสู่การพักผ่อนอย่างเต็มที่