ท่ามกลางสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะวิกฤตน้ำท่วมหนักที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา และจังหวัดใกล้เคียงที่กำลังน่าเป็นห่วงในขณะนี้ สิ่งหนึ่งที่สร้างความกังวลใจให้กับเจ้าของรถโดยเฉพาะผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) คงหนีไม่พ้นคำถามที่ว่า ‘หากรถ EV ต้องจอดแช่น้ำเป็นเวลานาน ระบบต่าง ๆ จะเสียหายหรือไม่ และยังสามารถขับขี่ต่อได้หรือเปล่า ?’ บทความนี้เราจะมาไขข้อข้องใจและแนะนำวิธีรับมือเบื้องต้น

ค่า IP Ratings ของรถยนต์ EV 

มาตรฐาน IP Ratings (Ingress Protection Ratings) คือค่ามาตรฐานสากลที่ใช้บอกระดับการป้องกันฝุ่นและน้ำ ซึ่งเรามักคุ้นตากันดีในสเปกของสมาร์ตโฟนและอุปกรณ์ไอทีต่าง ๆ โดยในวงการยานยนต์ หรือรถยนต์ไฟฟ้าก็นำมาตรฐานตัวเดียวกันนี้มาใช้เป็นเกณฑ์วัดประสิทธิภาพในการปกป้องระบบภายในตัวรถจากสิ่งแปลกปลอมเช่นกัน

ถ้าสมมติตัวเลข IP คือ IP67

  • ตัวเลขแรก 6 คือ ค่าความต้านทานต่อของแข็ง และเป็นค่าสูงสุดคือกันฝุ่นละอองได้ 
  • ตัวเลขหลัง 7 คือ ค่าการป้องกันของเหลว สามารถกันน้ำจากการแช่น้ำที่ความลึก 15 ซม. ถึง 1 ม. เป็นเวลา 30 นาที

สรุป คือ IP67 หมายถึงการป้องกันฝุ่นเต็มรูปแบบและมีความสามารถในการทนต่อการแช่น้ำได้ลึกถึง 1 เมตร เป็นเวลา 30 นาที

รถ EV ส่วนใหญ่มาพร้อมมาตรฐานกันน้ำระดับ IP67 ที่ช่วยให้มั่นใจได้ระดับหนึ่งว่าสามารถลุยน้ำได้ลึกราว 40–50 เซนติเมตร หรือสังเกตง่าย ๆ คือระดับปริ่มขอบประตูด้านล่าง แม้แบตเตอรี่จะติดตั้งอยู่ใต้ท้องรถ แต่ค่ายรถก็ได้ทำการซีลกันน้ำไว้อย่างดีเยี่ยม ควบคู่กับระบบเซฟตีที่จะตัดไฟอัตโนมัติหากเซนเซอร์ตรวจพบความผิดปกติ 

แต่ถึงอย่างนั้น ผู้ใช้รถก็ไม่ควรชะล่าใจ เพราะค่ามาตรฐานเหล่านี้ไม่ได้การันตีความปลอดภัย 100% ตลอดอายุการใช้งาน ปัจจัยเรื่องความเสื่อมของซีลยางหรือแรงดันน้ำขณะขับขี่อาจส่งผลกระทบได้ อีกทั้งมาตรฐานนี้ใช้บ่งบอกการป้องกันน้ำและฝุ่นเท่านั้น ไม่ได้ป้องกันแรงกระแทกหรืออุณหภูมิที่รุนแรง หากเป็นไปได้ควรเลี่ยงการลุยน้ำท่วมสูงเพื่อลดความเสี่ยงต่อตัวรถจะดีที่สุด 

คู่มือความปลอดภัย : ทำอย่างไรเมื่อรถ EV ผ่านการจมน้ำ ?

หลายค่ายรถจะมีคำแนะนำในการป้องกันและใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าเบื้องต้นเมื่อประสบเหตุอุทกภัย แต่โดยพื้นฐานแนะนำทำตามข้อปฏิบัติต่อไปนี้ 

  • ห้ามขับและห้ามชาร์จเด็ดขาด : สิ่งแรกที่ต้องจำให้ขึ้นใจคือ ‘อย่าพยายามสตาร์ตรถ หรือเสียบสายชาร์จ’ จนกว่าจะได้รับการตรวจเช็กอย่างละเอียดจากช่างผู้เชี่ยวชาญ 
  • เว้นระยะห่าง : รถ EV ที่ผ่านการจมน้ำมีความเสี่ยงที่จะเกิด ‘ไฟลุกไหม้’ ได้ในภายหลัง ควรเคลื่อนย้ายรถไปจอดให้ห่างจากอาคาร บ้านเรือน หรือรถคันอื่นอย่างน้อย 50 ฟุต (ประมาณ 15 เมตร) *กรณีนี้อาจจะต้องจ้างรถยกหลังน้ำท่วม
  • สังเกตสัญญาณเตือน : หากพบสิ่งผิดปกติเหล่านี้ ให้ถอยห่างและรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ดับเพลิงหรือหน่วยฉุกเฉินทันที เช่น มีควัน ทั้งสีจางหรือสีเข้มลอยออกมาจากใต้ท้องรถ ได้ยินเสียงแปลก ๆ เช่น เสียงปะทุ เสียงหวีดร้อง หรือเสียงฟู่ หรือเห็นเปลวไฟพุ่งออกมาเหมือนหัวพ่นไฟจากใต้ท้องรถ
  • ระวังแก๊สพิษและการสัมผัส : แบตเตอรี่ที่เสียหายอาจปล่อยแก๊สพิษออกมา แนะนำให้เปิดประตูหรือกระจกเพื่อระบายอากาศในห้องโดยสาร และห้ามสัมผัสตัวรถหากพบว่ามีของเหลวรั่วไหล มีประกายไฟ หรือมีกลิ่นเหม็นไหม้ผิดปกติ
  • การกำจัดแบตเตอรี่ : แบตเตอรี่รถยนต์ที่จมน้ำถือเป็นขยะอันตรายต้องได้รับการจัดการขนย้ายและทำลายโดยผู้เชี่ยวชาญตามกฎหมายเท่านั้น ห้ามทิ้งรวมกับขยะทั่วไป

ตัวอย่างวิธีจัดการกับรถ Tesla ที่จมน้ำ

  • หากคิดว่าบริเวณที่จอดรถ EV ของคุณอยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่ออุทกภัยให้รีบเคลื่อนย้ายรถไปยังพื้นที่สูง หรือพื้นที่ที่ไม่มีความเสี่ยงต่ออุทกภัยก่อน
  • อย่าพยายามใช้รถ (เมื่อน้ำลดแล้ว) จนกว่าศูนย์รถยนต์ที่ได้รับอนุญาตจะตรวจสอบแล้ว หากคุณเป็นเจ้าของรถ Tesla คุณสามารถกำหนดเวลาการตรวจสอบกับฝ่ายบริการของ Tesla ได้
  • ลากหรือเคลื่อนย้ายรถ EV (เมื่อน้ำลดแล้ว) ให้ตัวรถไปอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยอย่างน้อย 15 เมตร จากโครงสร้างหรือวัสดุที่ติดไฟได้อื่น ๆ เช่น รถยนต์คันอื่นและทรัพย์สินส่วนบุคคล (เจ้าของ Tesla สามารถขอรับบริการช่วยเหลือในการลากจากศูนย์ Tesla ได้)
  • หากสังเกตเห็นไฟ ควัน เสียงระเบิด/เสียงฟู่ หรือความร้อนที่มาจากรถ ให้ถอยห่างจากตัวรถ และติดต่อหน่วยงานปฏิบัติการฉุกเฉินในพื้นที่ทันที

สรุปแล้วทางออกที่ดีที่สุดคือ ‘เลี่ยงได้ควรเลี่ยง’ ไม่ควรจอดรถ EV แช่น้ำทิ้งไว้ไม่ว่าจะระดับไหนก็ตาม แต่หากเกิดเหตุสุดวิสัยจนรถต้องจอดแช่น้ำนาน เพื่อความปลอดภัยและป้องกันความเสียหายลุกลาม ห้ามสตาร์ตรถเด็ดขาด แนะนำให้รีบนำรถเข้าศูนย์บริการเพื่อตรวจเช็กระบบไฟอย่างละเอียด พร้อมติดต่อบริษัทประกันภัยเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนเคลมทันที จะเป็นวิธีแก้ไขปัญหาที่เหมาะสมที่สุด