ย้อนกลับไปในอดีตสมัยก่อนวัยรุ่น ‘Y2K’ จะมาเคลมกันว่าตัวเองอยู่ในยุคนั้นพร้อมคำบ่นว่าตัวเองแก่นั่นนี่ จนคนในยุคก่อน ‘Y2K’ จริง ๆ กลับนั่งเงียบ ๆ ไม่อยากแสดงตัว ที่เมื่อพูดถึงเรื่องราวก่อนวัยรุ่น ‘Y2K’ จะเกิดในวงการเกมก่อนปี 2000 นั้นก็เคยมีปรากฏการณ์ที่เป็นเหมือนจุดเปลี่ยนในวงการเกม กับผู้นำริเริ่มสร้างระบบเกมต่าง ๆ ออกมาจนเกมอื่น ๆ เอามาใช้ตาม จนกลายเป็นการต่อยอดเป็นเกมแนวอื่นๆ อีกมากมายที่มีจุดเริ่มต้นทางมาจากเกมเหล่านี้ ที่เราเรียกว่าต้นแบบแรงบันดาลใจ ซึ่งเราต้องขอบคุณเกมเหล่านี้ที่เป็นเหมือนเชื้อไฟตัวจุดประกายในวงการเกม ที่ถ้าไม่มีเกมเหล่านี้เป็นผู้ริเริ่มก็คงไม่มีเกมดี ๆ แบบนี้ให้เราได้เล่น เรามาดูกันดีกว่าว่ามีเกมอะไรซีรีส์ไหนภาคใดที่เป็นจุดเปลี่ยนในวงการเกมก่อนยุค 2000 บ้าง ถ้าพร้อมแล้วก็ไม่ต้องเรียกแมวสีฟ้าไร้หูให้เอาเครื่องย้อนเวลามาใช้ให้เสียเวลา เพราะเราจะพาคุณย้อนอดีตไปดูเรื่องราวเหล่านี้ในวงการเกมกันตอนนี้เลย ถ้าพร้อมแล้วก็มาดูกันเลย

ผู้ริเริ่มและพัฒนาเกมแอ็กชัน 2D ที่ดีอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้นจนเป็นมาตรฐาน Super Mario Bros 3

เริ่มต้นเกมแรกกับจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญครั้งหนึ่งในวงการเกมเกิดขึ้นในปี 1988 ที่หลังจากความสำเร็จของ ‘Super Mario Bros’ ทั้งสองภาคที่สร้างปรากฏการณ์ที่เหนือธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ไปแล้ว ทางปู่ ‘Nintendo’ ก็ไม่ยอมนอนกระดิกเท้าชื่นชมกับความสำเร็จเดิม ๆ ของตัวเอง แต่ทางนั้นคิดที่จะเปลี่ยนตัวเกมลุงหนวดที่มีแต่วิ่ง ๆ กระโดดเหยียบเต่ามาเป็นอะไรที่ยังคงเหมือนเดิมแต่แตกต่างและสนุกมากขึ้น นั่นจึงทำให้เราได้รู้จักกับเกมภาคใหม่ที่สนุกกว่าเดิมอย่าง ‘Super Mario Bros 3’ ที่คราวนี้ตัวเกมจะเปลี่ยนจากการเล่นผ่านเป็นฉาก ๆ แบบเดิม ๆ มาเป็นการเดินทางไปยังดินแดนต่าง ๆ ทั้ง 8 แผนที่เพื่อช่วยพระราชาดินแดนต่าง ๆ ที่ถูกสาปด้วยสมุนของ บาวเซอร์ (Bowser) หรือ คูป้า (Koopa) ที่คนเล่นเกมยุคเก่าคุ้นเคย กับระบบการเล่นที่แค่วิ่งกระโดดวิ่งจับเต่าก้มหัวเท่านั้นแต่ตัวเกมกลับซ่อนฉากความลับรวมถึงพลังของลุงหนวด มาริโอ้ (Mario) เอาไว้มากมาย จนตัวเกมมีความหลากหลายทำให้ผู้เล่นไม่เบื่อ แถมตัวเกมยังไม่ตกยุคที่แม้จะเอามาเล่นในยุคนี้ เรียกว่าเปลี่ยนตัวเกมจากภาคเก่าไปแบบไม่เห็นฝุ่น จนทำให้เกม ‘Super Mario Bros 3’ สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการเกมในยุคนั้นไปในทันทีจนเกมอื่น ๆ อันมาทำตาม ใครไม่เคยเล่นลองไปหามาเล่นดูบอกเลยว่าสนุกมาก ๆ แล้วคุณจะรู้ว่าทำไมเกมนี้ถึงสร้างมาตรฐานให้เกมแอ็กชันมาจนถึงยุคนี้

 Super Mario Bros 3

จุดเปลี่ยนของเกมต่อสู้ Street Fighter ll

อีกหนึ่งเกมที่เรียกว่าผู้นำทางชี้แนวให้กับเกมต่อสู้ตั้งแต่อดีตมาจนถึงทุกวันนี้ กับเกม ‘Street Fighter ll’ ที่เป็นผู้ที่ทำให้เกมต่อสู้แบบ 1 ต่อ 1 กลายเป็นที่สนใจให้กับผู้คนทั่วโลก หลังจากที่ ‘Street Fighter’ ภาคแรกยังเป็นเพียงเกมต่อสู้ที่เราต้องเอาชนะนักสู้ไปเรื่อย ๆ ไม่สามารถเลือกหรือเปลี่ยนตัวละครได้ แต่ก็สามารถเล่นแข่งกันเองได้โดยผู้เล่นอีกคนจะได้ใช้ตัวละครชุดสีแดงที่ชื่อ เคน (Ken) มาต่อสู้กับเรา ที่ตัวละครนั้นก็มีท่วงท่าเหมือนกับ ริว (Ryu) ตัวละครชุดขาวทุกอย่าง จนมาถึง ‘Street Fighter ll’ ที่ตัวเกมเปลี่ยนใหม่จากการเล่นผ่านตัวละครไปเรื่อย ๆ มาเป็นการเลือกตัวละครตัวไหนก็ได้มาสู้กันเอง โดยแต่ละตัวจะมีท่วงท่าการกดที่ต่างกัน ที่สร้างความแปลกใหม่ให้วงการเกมตู้มาก ๆ และที่ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนจริง ๆ คือการใส่นักสู้เพศหญิงลงไปในเกม ที่ในยุคนั้นเพศหญิงจะถูกจำกัดให้เป็นแค่เพศที่อ่อนแอรอการมาช่วยของชายกล้ามโตที่ดูไม่เป็นมิตร (แต่ศัตรูดูไม่เป็นมิตรกว่า) แต่เกม ‘Street Fighter ll’ ไม่ใช่แบบนั้น เพราะเราสามารถใช้ตัวละครสาวสวยขาใหญ่ (ขาใหญ่จริง ๆ ไม่ได้มุก) กระทืบผู้ชายอกสามศอกให้เหลือสามนิ้วได้ พร้อมท่าทางตอนชนะที่ดูถูกใจหนุ่ม ๆ กลัดเกมในยุคนั้นมาก ๆ จนทำให้เกมต่อสู้ค่ายอื่น ๆ เริ่มทำตามเรื่อยมาจนถึงตอนนี้

Street Fighter ll

ผู้นำของเกมภาษาในตอนนั้น Dragon Quest 3

ย้อนกลับในอดีตสมัยที่เครื่องเกม ‘Famicom’ ของ ‘Nintendo’ กำลังโด่งดังเป็นพลุระเบิดในช่วงปีใหม่จนหมาแมวตกใจวิ่งหนีหายไปจากบ้าน ก็มีเกมภาษาหรือแนว ‘RPG’ เกิดขึ้นมามากมาย หนึ่งในนั้นก็คือเกม ‘Dragon Quest’ ที่เรียกว่าสร้างมาตรฐานให้กับเกมภาษาในตอนนั้นให้ทำตามกันมาจนถึงตอนนี้ กับการเลือกคำสั่งในการกระทำต่าง ๆ ในเกม ทั้งการโจมตีป้องกันใช้เวทมนตร์ในการต่อสู้ ที่เราต้องเก็บค่าประสบการณ์จากการกำจัดศัตรูเพื่อให้ตัวเองแข็งแกร่ง และมีเงินในการซื้ออาวุธชุดเกราะที่มีขายตามร้าน หรือรับภารกิจต่าง ๆ ที่เราเรียกว่า ‘JRPG’ ซึ่งเกมซีรีส์ ‘Dragon Quest’ ทั้ง 2 ภาคก็สร้างมาตรฐานเกมภาษาที่ดีให้เกมแนวนี้ แต่จุดเปลี่ยนที่แท้จริงและเป็นผู้นำในวงการเกมภาษาในตอนนั้นก็คือเกม ‘Dragon Quest 3’ ที่เปลี่ยนจากระบบเดิม ๆ กับการมีเพื่อนร่วมทีมตายตัวความสามารถที่ถูกระบุเอาไว้แล้ว ที่พอเราเอามาเล่นซ้ำในรอบต่อไปก็รู้แล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่พอมา ‘Dragon Quest 3’ ที่ตัวเกมจะให้เราเลือกเพื่อนร่วมทีมได้เองว่าอยากได้ใครอาชีพไหนเป็นเพื่อนตั้งแต่เริ่มเกม ที่แต่ละตัวละครก็จะมีจุดดีจุดด้อยต่างกันทำให้เราเล่นได้หลายรอบไม่เบื่อ แถมกลางเกมยังมีการเปลี่ยนอาชีพได้โดยที่พลังเก่ายังอยู่แถมเนื้อเรื่องก็ดี เรียกว่าสร้างจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญให้เกมค่ายอื่น ๆ ต้องหันมาดูและทำตามในยุคนั้นเลยทีเดียว ใครที่สนใจก็รอเล่นใน ‘Dragon Quest III HD 2D Remake’ ที่จะวางจำหน่ายในอนาคตได้เลย ที่แม้ระบบจะเก่าแต่ถ้าคุณได้ลองเล่นรับรองว่าคุณต้องรักเกมซีรีส์นี้แน่นอน

Dragon Quest 3

ผู้นำพาเกมยิงมุมมองบุคคลที่ 1 Doom

ต้องบอกสำหรับผู้ที่ยังไม่ทราบก่อนว่าเกม ‘Doom’ ไม่ใช่เกมยิงมุมมองบุคคลที่ 1 เกมแรกอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่เกม ‘Doom’ มันคือจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่เปลี่ยนแนวคิดของเกมยิงมุมมองบุคคลที่ 1 ที่เห็นแค่ปืน ให้พัฒนาและเป็นมาตรฐานของวงการเกมมาจนถึงตอนนี้ ที่ต้องย้อนกลับไปในอดีตเกมแนวยิงมุมมองบุคคลที่ 1 ยังไม่เป็นที่นิยม เพราะด้วยระบบการเล่นการยิงที่ไม่ค่อยสนุกน่าสนใจ ที่น่าจะมาจากปัจจัยหลาย ๆ แบบอย่างที่รวมถึงกราฟิกที่เป็นส่วนสำคัญในเกมแนวนี้ จนเมื่อเกม ‘Doom’ มาที่เปลี่ยนจากการไล่ยิงคนมาเป็นยิงสัตว์ประหลาดในนรก แบบไม่ต้องสนใจอะไรทั้งนั้นเดินหน้าฆ่าให้หมดทั้งฉากก็พอ พร้อมกราฟิกที่สวยงามเนื้อแตกหัวระเบิดเมื่อโดนกระสุน แถมเรายังเป็นคนคลั่งนรกเดือดที่ไม่ต้องมานั่งแอบหลบหนีจะมีแต่เดินหน้าแล้วให้สัตว์ประหลาดหนีเราแทน ที่ทำให้คนเล่นเกมยุคนั้นรู้สึกถึงการมีอำนาจและพลังที่ยิ่งเล่นยิ่งสนุก ที่จนถึงตอนนี้เกม ‘Doom’ ภาคแรกก็ยังถูกพูดถึงและมีคนหามาเล่นกันอยู่ เพราะความสนุกของมันที่สร้างมาตรฐานให้เกมแนวนี้ ที่ปัจจุบันเกมยิงยุคนี้ก็ยังใช้ระบบควบคุมการยิงจังหวะต่าง ๆ แบบที่เกม ‘Doom’ ภาคแรกทำ ต้องขอบคุณ ‘Doom’ ภาคแรกที่ทำให้เราได้เล่นเกมมุมมองบุคคลที่ 1 ได้สนุกมาจนถึงทุกวันนี้

Doom

จุดเปลี่ยนเกมแอ็กชันแบบ 3D Super Mario 64

นับตั้งแต่ ‘Super Mario Bros 3’ ออกมาสร้างมาตรฐานใหม่ให้วงการเกม ทาง ‘Nintendo’ ก็รักษามาตรฐานเกมแอ็กชันผ่านด่านของตัวเองให้มีสีสันสดใส ฉากที่มีหลายมิติที่เล่นได้สนุกหลากหลายแบบที่เกมอื่น ๆ ในตอนนั้นก็หันมาทำตามกันมากมาย จนทาง ‘Nintendo’ ที่ไม่คิดจะหยุดแค่ความสำเร็จเดิม ๆ ของตัวเอง เลยทุบโต๊ะและบอกว่าเราจะคิดใหม่เล่นใหญ่ดุดันไม่เกรงใจใคร กับการสร้างเกม ‘3D’ ที่มีมิติตื้นลึกที่เราสามารถเดินสำรวจฉากต่าง ๆ ได้อย่างอิสระ ไม่ใช่มุมมองด้านข้างแบบเดิม ๆ จนทำให้เกิด ‘Super Mario 64’ เกมซีรีส์ลุงหนวดที่เปลี่ยนตัวเองจากแนว ‘2D’ มาเป็น ‘3D’ สมบูรณ์แบบ ที่เปลี่ยนเกม ‘Super Mario’ แบบเดิม ๆ มาเป็น ‘Super Mario 64’ ที่เหมือนเราสั่งผัดกะเพราแล้วป้าขายข้าวถามเราว่าใส่ไข่ดาวไหมรูปหล่อ จนทำให้ค่ายเกมต่าง ๆ ที่เมื่อเห็นว่าปู่ ‘Nintendo’ ขยับมาทางนี้ ทุกคนก็หันมาทำตามมาจนเราได้เห็นเกมแอ็กชัน ‘3D’ ผ่านด่านแบบนี้ออกมาอีกมากมาย แต่ก็ไม่มีเกมไหนเทียบเท่าหรือทำได้ดีเทียบเคียงกับซีรีส์ลุงหนวดเลย ที่จนถึงตอนนี้ซีรีส์ ‘Super Mario’ ก็ยังคงรักษามาตรฐานความดีงามที่ยิ่งสนุกยิ่งดีมากขึ้นเรื่อย ๆ สมแล้วที่เป็นปู่แห่งวงการเกม

Super Mario 64

จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของ PlayStation และคนเล่นเกมภาษาทั่วโลก Final Fantasy VII

มาถึงยุค ‘PlayStation’ กันบ้างที่ยังคงอยู่ในยุค 90 อยู่ กับเกมภาษาที่เป็นการเปลี่ยนแปลงวงการเกมอีกครั้ง จากระบบการเล่นที่เป็นแนว ‘2D’ เดินไปมาตามฉากรูปการ์ตูน มาเป็นกราฟิกแบบ ‘3D’ ที่เราสามารถสำรวจฉากเดินดูสิ่งต่าง ๆ ได้แบบ 360 องศาในเกม ‘Final Fantasy VII’ ที่ในช่วงแรกตัวเกมอาจจะบังคับเราให้เล่นตามเนื้อเรื่องยังไม่สามารถไปไหนมาไหนได้ จนเมื่อตัวเกมพาเราออกมาจากนอกเมืองเราก็จะมีอิสระในการสำรวจสถานที่ต่าง ๆ เหมือนเกมภาษาทั่วไป แต่เราจะได้เห็นภาพที่มีมิติแถมมีกราฟิกที่สวยงามอลังการงานสร้าง แถมเนื้อเรื่องที่ซับซ้อนน่าติดตามจนหลายคนอยากรู้ว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป จนหลายคนในยุคนี้พูดกันว่าที่ ‘PlayStation’ มีทุกวันนี้ได้ส่วนหนึ่งก็มาจากอานิสงส์ของ ‘Final Fantasy VII’ ที่ครั้งแรกเกมภาคนี้จะลงให้กับ ‘Nintendo 64’ แต่ก็เปลี่ยนใจมาลงบน ‘PlayStation’ จนทำให้ ‘Sony’ ในตอนนั้นผงาดในวงการเกมมาจนถึงตอนนี้ และเกมซีรีส์ ‘Final Fantasy VII’ ก็เป็นจุดเริ่มต้นให้ค่ายอื่น ๆ หันมาสร้างเกมภาษาด้วยกราฟิกแบบนี้ตามมา จนเราได้เห็นเกมภาษาสนุก ๆ มากมายในยุคนั้นที่มีเกม ‘Final Fantasy VII’ เกมนี้เป็นต้นทาง

 Final Fantasy VII

ผู้นำจุดประกายเกมสยองขวัญ Resident Evil

ถ้าบทความนี้ไม่พูดถึงเกมที่อยู่ของสิ่งชั่วร้ายอย่าง ‘Resident Evil’ บทความนี้ก็คงขาดความสมบูรณ์ไปในทันที เพราะถ้าไม่มีเกมยิงสัตว์ประหลาดแก้ปริศนาวิ่งหนีซอมบี้เกมนี้ก็ไม่รู้ว่าวงการเกมจะจืดลงขนาดไหน เพราะเกม ‘Resident Evil’ หรือ ‘Bio Hazard’ นั้นคือจุดเปลี่ยนสำคัญในการเอาซอมบี้ศพเดินได้มาเป็นตัวเอกในวงการเกม ที่ต้องบอกก่อนว่าเกม ‘Resident Evil’ ไม่ใช่เกมผีเกมแรกที่เอาซอมบี้มาเป็นศัตรูในเกม แต่เกม ‘Resident Evil’ คือการปลุกกระแสซอมบี้ที่หลับ ๆ ตื่น ๆ ให้ตาสว่างเหมือนการง่วงนอนตอนทำงาน แต่ตาสว่างตอนนอนของใครหลายคน แถมยังเป็นการปลุกกระแสเกมแนวสยองขวัญแบบ ‘3D’ ที่ในยุคนั้นการปั้นผีแบบ ‘3D’ ด้วยกราฟิกเหลี่ยม ๆ ให้ดูน่ากลัวแทบเป็นไปไม่ได้แต่ทาง ‘Capcom’ ทำได้และทำได้ดีด้วยจนทำให้ค่ายอื่น ๆ ทำเกมผีแนวไม่ก็ซอมบี้สัตว์ประหลาดออกมาอีกมากมาย นี่ยังไม่นับ ‘Resident Evil 4’ ที่ปลุกกระแสเกมแอ็กชันสยองขวัญกับระบบยิงมุมมองข้ามไหล่ที่ถูกใช้อย่างแพร่หลายในยุคนี้ ต้องขอบคุณ ชินจิ มิคามิ (Shinji Mikami) ชายผู้ถูกคว้านท้องเกือบ 20 ครั้งแต่ไม่ตาย (เรื่องสัญญาว่า ‘Resident Evil 4’ ไปลงเครื่องอื่นนอกจาก ‘Nintendo GameCube’ แกจะคว้านท้องตัวเอง) ที่ถ้าไม่มีเขาคงไม่มีต้นแบบเกมสยองขวัญที่เกมอื่นทำตามมาจนเราได้เล่นเกมสยองขวัญสนุก ๆ มาจนถึงตอนนี้

Resident Evil

เกมแอ็กชันที่ดีทั้งเนื้อเรื่องกราฟิกระบบการเล่นที่เข้าขั้นสมบูรณ์แบบในตอนนั้น The Legend of Zelda Ocarina of Time  

ปิดท้ายกับบทความการอวยปู่ ‘Nintendo’ ที่ไม่ใช่ก็เหมือนใช่ กับอีกหนึ่งเกมที่เป็นเหมือนจุดเปลี่ยนให้กับเหล่าเกม ‘Action RPG’ แบบ ‘3D’ ทำตามมาจนถึงตอนนี้ กับเกม ‘The Legend of Zelda Ocarina of Time’ เกมแอ็กชันที่เราสามารถเดินทางด้วยการขี่ม้านั่งเรือหรือเดินด้วยเท้าไปยังสถานที่ต่าง ๆ เพื่อทำภารกิจในโลกอันกว้างใหญ่ ที่เราจะไปตรงไหนทำอะไรก็ได้ หรือจะไม่ทำอะไรเลยก็สามารถทำได้ตามใจเรา ที่ด้วยขุมพลังของ ‘Nintendo 64’ ที่ไม่ด้อยไปกว่า ‘PlayStation’ ที่เมื่อ ‘The Legend of Zelda Ocarina of Time’ ถูกปล่อยออกมาค่ายเกมต่าง ๆ ก็อยากลองทำเกมแนว ‘Open World’ แบบนี้ออกมา แต่ก็ยังไม่มีเกมไหนทำได้ดีเทียบเท่าเกมนี้ จนการมาถึงของ ‘The Legend of Zelda Breath of the Wild’ ที่ยกระดับของซีรีส์ ‘The Legend of Zelda’ ของตัวเองขึ้นไปอีกขั้นจนเกมอื่น ๆ ยากที่จะทำตามได้ (ทิ้งห่างแบบไม่เห็นฝุ่น) เพราะนอกจากกราฟิกระบบการเล่นฉากองค์ประกอบสิ่งต่าง ๆ ในเกมแล้ว เนื้อเรื่องตัวละครก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้เกมภาคนี้ลงตัว ที่ถ้าไม่มี ‘The Legend of Zelda Ocarina of Time’ กับ ‘The Legend of Zelda Breath of the Wild’ เป็นมาตรฐานเกมแอ็กชัน ‘Open World’ ให้เกมอื่น ๆ ทำตาม เราคงไม่เห็นเกมสนุก ๆ ซีรีส์อื่นในตลาดแบบนี้แน่นอนต้องขอบคุณ ‘Nintendo’ จริง ๆ

The Legend of Zelda Ocarina of Time

ก็จบกันไปแล้วกับเกมดังในยุคอดีตที่เปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์วงการเกมก่อนยุค 2000 ที่ทั้งหมดที่เราเอามานำเสนอนี้เป็นเพียงบางส่วนเท่านั้น เพราะยังมีเกมอื่น ๆ อีกมากมายที่เป็นตัวจุดประกายต้นเชื้อไฟให้เกมอื่น ๆ ทำตามมา จนเราได้เล่นเกมสนุก ๆ แบบนี้ ที่ต้องบอกก่อนว่าการทำตามของค่ายเกมไม่ใช่การเลียนแบบ แต่เป็นการต่อยอดมาพัฒนาต่อให้เป็นแบบของตัวเอง เพราะถ้าไม่มีการพัฒนาที่มีคนทำแค่คนเดียว สุดท้ายทุกอย่างก็จะหยุดอยู่แค่นี้ไม่มีการพัฒนา ไม่อย่างนั้นวงการเกมคงหยุดแค่เกม 2D เม็ดสีบนจอคอมไม่มีกราฟิกที่สวยงามสมจริงแบบในทุกวันนี้อย่างแน่นอน และถ้าคุณมีเกมที่เป็นต้นแบบแรงบันดาลใจในวงการเกมไหนอีกก็เอามาพูดคุยกันได้ ส่วนคราวหน้าจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไรในวงการเกมก็รอติดตามได้ที่แบไต๋ได้เลย หรือจะอ่านบทความย้อนหลังเราก็มีเรื่องราวข่าวสารวงการเกมอีกมากมายรอคุณอยู่ เข้าไปย้อนอ่านตอนนี้ได้เลยแล้วพบกันใหม่บทความหน้า

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส