ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 1987 หรือเมื่อราว ๆ 35 ปีที่แล้วได้มีเกม ‘RPG’ เกมหนึ่งเกิดขึ้นมาในตลาด นั่นคือเกม ‘Final Fantasy’ ที่ถูกสร้างมาเพื่อเกาะกระแสเกมแนวเดียวกันอย่างซีรีส์ ‘Dragon Quest’ ที่ใช้แนวทางคล้ายกันแต่รูปแบบการเล่นการควบคุมไปจนถึงเนื้อหาจะต่างกันอย่างสิ้นเชิง ที่เรียกว่าเป็นคู่แข่งตลอดกาลเรื่อยมา ที่จนถึงตอนนี้ทั้งสองค่ายเกมได้รวมมาเป็นบริษัทเดียวการแข่งขันนี้จึงยุติไป ที่จนถึงตอนนี้เกมซีรีส์ ‘Final Fantasy’ ก็ยังคงมีภาคต่อภาคแยกภาคย่อยภาคเสริมของภาคแยกในภาคย่อยออกมาอีกมากมาย จนมาถึงภาคล่าสุดที่เพิ่งวางจำหน่ายอย่าง ‘Final Fantasy XVI’ ที่ก็ได้รับเสียงตอบรับในแง่ดีทั้งฝั่งคนเล่นและนักวิจารณ์ ที่ต่างให้คะแนนความสนุกของภาคนี้ที่ยอดเยี่ยม และพอพูดถึงเรื่องราวดี ๆ เรามาย้อนดูกันดีกว่าว่า ในเมื่อมีภาคที่ดีแล้วจะมีเกม ‘Final Fantasy’ ภาคไหนที่ทำออกมาได้ไม่ถูกใจแฟน ๆ บ้าง โดยเราจะขอหยิบภาคหลักและภาคต่อของภาคหลักมาแนะนำ เพื่อใครที่สนใจจะได้ไปหามาเล่นดู เพราะหลายเกมในนี้ไม่ได้แย่ไปหมด แต่แย่แค่บางส่วนที่เราจะแยกย่อยให้คุณได้อ่านแบบละเอียด เพื่อให้ง่ายต่อการตัดสินใจในการหามาเล่น จะมีเกมภาคไหนบ้างนั้นมาดูไปพร้อมกันเลย

Final Fantasy X-2

เริ่มต้นเกมแรกกับเกมภาคต่อครั้งแรก ๆ ของซีรีส์ ‘Final Fantasy’ ที่ส่วนมากภาคหลักของซีรีส์จะไม่มีภาคต่อออกมาแต่มันจะจบแล้วจบเลย แต่กับเกม ‘Final Fantasy X’ นั้นยังมีเรื่องราวที่ค้างคาจากภาคก่อนที่ยังเฉลยไม่หมด จนต้องมีการนำเรื่องราวตรงนั้นมาสร้างต่อเป็นเกม ‘Final Fantasy X-2’ กับเรื่องราวที่สานต่อจากภาค ‘X’ ที่ถ้าคุณไม่เคยเล่นภาคหลักมาก่อนก็อาจจะงงว่าตัวละครเขาพูดถึงอะไร เพราะเรื่องราวมันเชื่อมกันโดยตรง กับระบบการเล่นแบบใหม่ที่เปลี่ยนตัวละครเพื่อนรวมทีมเหลืองเพียง 3 คน แต่ตัวเกมได้พัฒนาระบบแปลงร่าง (เปลี่ยนชุด) เพื่อเปลี่ยนอาชีพในการต่อสู้ ที่เอาจริง ๆ ระบบการเล่นกราฟิกเนื้อเรื่องมันคือโอเคมาก ๆ เลยทีเดียว แต่สิ่งที่ทำให้ตัวเกม ‘Final Fantasy X-2’ มาติดอันดับคนไม่ชอบ นั่นคือตัวละครในเกมนี้ที่แฟน ๆ ไม่ปลื้ม โดยเฉพาะน้อง ยูน่า (Yuna) เด็กสาวตาสองสีที่เคยเป็นเดอะแบกในภาคที่แล้ว มาภาคนี้น้องเปลี่ยนตัวเองจากสาวน่ารักไร้เดียงสา มาเป็นสาวน่ารักไร้เดียงสาเหมือนเดิม แต่เพิ่มเติมความพยายามจะเป็นผู้ใหญ่ สิ่งที่ได้มาคือความขาด ๆ เกิน ๆ ขัด ๆ ตา เพราะคนเล่นดันติดภาพยูน่าแบบเก่ามากกว่า พอมาภาคนี้น้องยังเป็นคนเดิมแต่พยายามฝืนทำในสิ่งที่ไม่สมกับตัวละคร ทั้งการร้องเล่นเต้นบนเวทีในช่วงท้าย การแต่งตัวที่ดูไม่สมเป็นเด็กเรียบร้อยที่ดูขัดตา แถมการต่อสู้ก็เปลี่ยนจากจอมเวทมาใช้ปืน ที่แบบก้าวกระโดดไปไหม แถมเนื้อเรื่องในช่วงท้ายก็ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่ แค่เรื่องราวตามหาสามีที่หายไป เนื้อเรื่องก็ธรรมดาไม่ได้น่าสนใจอะไร เพราะตอนจบในภาคหลักก็เฉลยบอกเราอยู่แล้ว่าพระเอกมันฟื้น แค่ไม่ได้บอกว่าฟื้นยังไงเท่านั้น ซึ่งเอาจริง ๆ การเฉลยแบบภาคหลักยังน่าสนใจกว่าการเฉลยในภาคนี้อีก แต่ถ้าคุณอยากเล่นเกมระบบดี ๆ เกมนี้ถือว่าทำดีกว่าภาคหลักอีกแนะนำเลย

Final Fantasy X-2

Final Fantasy XV

คราวนี้มาดูเกมภาคหลักที่สร้างจุดด่างพร้อยให้กับคนเล่นเกมรุ่นใหม่ ที่มองเกมซีรีส์ ‘Final Fantasy’ ภาคหลักว่ามันไม่สนุกน่าสนใจ ส่วนแฟนรุ่นเก่าที่เล่นมาก็ผิดหวังกับสิ่งที่เกมนี้มีให้ ทั้งที่ผ่านการพัฒนามาอย่างยาวนานเป็นสิบปี (ตัวเกมมีปัญหามากมายสร้างใหม่ทำใหม่หลายครั้ง) ซึ่งจะเป็นเกมอะไรไปไม่ได้นอกจาก ความคิดเห็นสุดท้ายครั้งที่ 15 อย่าง ‘Final Fantasy XV’ ตัวเกมจะเปิดเรื่องราวด้วยการเข็นรถของเจ้าชายที่ออกเดินทางไปท่องโลกกว้าง ขณะที่อาณาจักรของตนเองนั้นโดนถล่มวอดวายคู่หมั้นหนีตายแทบเอาชีวิตไม่รอด (เรื่องราวในฉบับภาพยนตร์ ‘CG’ ภาค ‘Kingsglaive Final Fantasy XV’ ที่เป็นเรื่องราวก่อนเกม) ตัวเกมในช่วงแรกก็ไม่มีอะไรมากและไม่มีอะไรเลย เพราะเราแค่เดินทางนั่งรถเที่ยวเล่นกับเพื่อนผู้ชายล่ำ ๆ อีก 3 คน โดยที่เราไม่สามารถควบคุมรถได้ต้องปักหมุดแล้วให้รถวิ่งไปเอง กับระบบการเล่นที่ควบคุมตัวพระเอกได้คนเดียว ที่เหลือจะเป็นผู้ช่วยในการต่อสู้ ส่วนเวลาว่างระหว่างเดินทางก็ไปช่วยชาวบ้านจับกบ ไล่มอนสเตอร์ ตกปลามาเลี้ยงแมวที่หิว เข้าค่ายลูกเสือ คิดเมนูอาหารมาทำกิน ถ่ายรูปกับเพื่อน ๆ แถมรถมีน้ำมันหมดด้วย และถ้าคุณเบื่อเราก็มีระบบตกปลามีวิวสวย ๆ ให้ดู และถ้าคุณอยากได้เพื่อนร่วมทางสาว ๆ ก็เสียใจด้วยเพราะงานนี้มีแต่หนุ่ม ๆ ล้วน ๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ (มีผู้หญิงมารวมทีมระยะสั้น ๆ นั่นไม่นับ) แถมพอเล่นจบเกมก็ยังไม่จบเพราะเรายังมี ‘DLC’ มาให้คุณได้เล่น (ซื้อ) ต่อ แต่มันก็ยังไม่ใช่ตอนจบแต่มันคือจุดเริ่มต้นของตอนจบ ที่คุณต้องไปอ่านตอนจบในนิยายแทนเพราะทางค่ายไม่ทำต่อ  (อ้าว) ใครที่หวังจะเล่นเนื้อเรื่องก็ทำใจหน่อย ระบบการเล่นก็ขนาด ๆ เกิน ๆ ไม่สนุกเล่นไปหาวไปบอกเลย

Final Fantasy XV

Final Fantasy VIII

ถ้าพูดถึงเกมที่คนทั้งชอบและไม่ชอบอย่างละครึ่ง หลายคนต้องคิดถึงเกม ‘Final Fantasy VIII’ ที่คนเล่นเกมรุ่นเก่าหลายคน ต่างก็เถียงกันไปมาว่าเกมนี้มันดีและมันไม่ดีตรงไหน ซึ่งเราจะเอามาพูดถึงทีละเรื่อง เริ่มจากเนื้อเรื่องของเกมที่จัดว่าโอเคสนุกพอใช้ได้ แม้ในช่วงหลัง ๆ อาจจะดูไม่ค่อยถูกใจคนเล่น โดยเฉพาะคู่พระนางในเกมนี้ ที่ตัวเกมก็บอกอยู่ว่าภาคนี้มันเกี่ยวกับความรักของหนุ่มสาว แต่การเปลี่ยนจากพระเอกสุดซึนขี้เก๊กมาเป็นหนุ่มที่คลั่งรัก ที่แบบตายกี่ชาติก็ขาดเธอไม่ได้ (ใครดูภาพยนตร์เรื่องนี้คุณไม่เด็กแล้ว) ที่พลิกจากหน้ามือเป็นหลังเท้าที่จากชายผู้ไม่สนใจอะไรมาเป็นทุกลมหายใจมีแต่เธอ และพลังแห่งรักชนะทุกสิ่ง (เหม็นกลิ่นความรัก) ส่วนบทตัวร้ายก็ปูมาอย่างดีแต่พอบทจะเลิกร้ายก็เลิกเฉย ๆ แล้วมีตัวร้ายใหม่ที่มาจากไหนไม่รู้มาแทนที่ (มันก็บอกที่มาที่ไปนั่นละแต่มันดูยัดเยียดไปหน่อย) และที่เป็นจุดบ่นที่สุดคือระบบเกมที่เกมนี้ ที่ตัวเกมได้ตัดระบบซื้อชุดเกราะเพื่อเพิ่มพลังโจมตีป้องกันออกไป และแทนที่ด้วยการดูดพลังเวทมนตร์ของศัตรูมาเป็นของเรา เพื่อมาใส่แทนค่าพลังของชุดเกราะ นั่นก็หมายความว่าในทุก ๆ การต่อสู้ 70% เราต้องดูเวทมนตร์จากศัตรู ที่ดูดแล้วดูดอีกทุกการต่อสู้ ก็คิดดูว่าเรามีตัวละครในทีมมี 6 คนก็ดูดกันไป มาสู้ศัตรูตัวใหม่มีเวทมนตร์ใหม่ก็ดูดใหม่ ดูดแล้วก็ดูดอีกแบบนี้เรื่อย ๆ ที่คนชอบก็ชอบเลยแต่คนไม่ชอบก็ไม่ชอบเลย ส่วนคนรุ่นใหม่ไม่ต้องพูดถึงเพราะมันน่าเบื่อสุด ๆ กับระบบนี้ จึงไม่แปลกที่แฟน ๆ จะไม่ชอบภาคนี้

Final Fantasy VIII

Dirge of Cerberus Final Fantasy VII

เชื่อว่าแฟนใหม่หลายคนที่เล่น ‘Final Fantasy VII’ ฉบับเก่ามาแล้ว และได้มาเล่น ‘Final Fantasy VII Remake’ คงรู้แล้วว่าเกมนี้ไม่ใช่การ ‘Remake’ เอามาทำใหม่อย่างที่เกมบอกเรา แต่มันคือภาคต่อของซีรีส์ ‘Final Fantasy VII’ ที่มันยังไม่จบ และเมื่อคุณได้เล่น ‘DLC Final Fantasy VII Remake Intergrade’ เชื่อว่าหลายคนคงจะต้องงงเป็นไก่ตาแตกแน่ ๆ ว่าตัวละครเหล่านี้คือใครมาจากไหน ซึ่งในเนื้อเรื่องหลักไม่เคยพูดถึง แต่มันปรากฏตัวในภาคเสริมของภาคแยกที่มาจากภาคหลักอย่าง ‘Dirge of Cerberus Final Fantasy VII’ ที่บอกเล่าเรื่องราวหลังจากเกมภาคหลักและฉบับภาพยนตร์ ‘CG Final Fantasy VII Advent Children’ จบ กับเรื่องราวของพ่อหนุ่มผีดิบ วินเซนต์ วาเลนไทน์ (Vincent Valentine) ที่ต้องต่อสู้กับอดีตของตัวเอง ที่มีเหล่าเพื่อน ๆ จากภาคหลักมารวมแจมด้วย ซึ่งถ้าคุณอยากรู้เรื่องราวใน ‘DLC Final Fantasy VII Remake Intergrade’ ก็มาเล่นภาคนี้บนเครื่อง ‘PlayStation 2’ ก็จะถึงบางอ้อ แต่คุณต้องทนระบบของตัวเกมที่เป็นเกมยิงผสมแอ็กชันที่เล่นไม่สนุก จืดชืดเหมือนแกงจืดที่มีแต่ผักไม่ใส่น้ำปลา ที่ถ้าคุณหาแผ่นและทนเล่นไปได้คุณก็จะเข้าใจจักรวาลของ ‘Final Fantasy VII Remake’ เพิ่มแน่นอน เพราะแค่เล่นภาคหลักอย่างเดียวมันไม่พอหรอกสำหรับซีรีส์นี้

Dirge of Cerberus Final Fantasy VII

Final Fantasy XII

ถ้าคุณคิดว่าเกม ‘Final Fantasy Vlll’ ถกเถียงเรื่องความชอบไม่ชอบเยอะแล้ว คุณต้องมาดูเกม ‘Final Fantasy XII’ ที่ถูกถกเถียงยิ่งกว่า เพราะไม่ว่าจะเป็นกราฟิกในเกมที่เหมือนจะสวยแต่ก็ไม่สวยแต่ดูดี ๆ ก็ใช้ได้แต่ก็ไม่สวย (เอายังไงกันแน่) ส่วนเนื้อเรื่องที่ดีถึงดีมาก ๆ โดยที่เรื่องราวไม่ต้องมีพระเอกก็ได้ เพราะพี่แกเหมือนตัวประกอบที่จำเป็นต้องมีแบบเดียวกับ ‘Final Fantasy Vl’ ที่พระเอกก็จืดจางเป็นต้มจืดที่มีแต่น้ำกับซากหมูก้นหม้อ ที่ไม่ต้องมีก็ได้แต่ก็ต้องมี และที่เป็นจุดถกเถียงที่สุดคือระบบการต่อสู้ของเกมนี้ ที่จะมีเส้นโยงไปมาว่าเราจะโจมตีตัวนี้ศัตรูจะโจมตีฝั่งเราตัวนั้น และเราจะไม่สามารถควบคุมตัวละครได้ แต่เราจะเลือกคำสั่งให้พวกเราโจมตีได้ด้วยการสั่งแบบล่วงหน้า ที่พัฒนาระบบได้ดีกว่าภาคก่อน ๆ มาก ๆ แต่ไอ้เส้นโยง ๆ มันดูเกะกะกับการเพิ่มความสามารถให้ตัวละครที่เยอะดูงง จนหลายคนไม่เข้าใจ ที่กลายเป็นว่าระบบมันลึกไปจนคนที่ชอบก็ชอบเลยคนไม่ชอบก็เทเลย ใครที่คิดจะเล่นก็ลองคิดดูดี ๆ เพราะราคาไม่ถูกนะแม้จะเป็นเกมเก่าก็ตาม แต่ถ้าคุณชอบก็จะติดงอมแงมบอกเลยคุณต้องไปลองเองถึงจะรู้

Final Fantasy XII

Final Fantasy II

เชื่อว่าหลายคนคงจะต้องสงสัยและต่อว่าแน่ ๆ เมื่อเราหยิบเกม ‘Final Fantasy’ ภาคเก่าอย่าง ‘Final Fantasy II’ มาบอกว่าเกมมันแย่ไม่สนุก เพราะเกมเก่าในสมัยก่อนมันคือสนุกของยุคนั้นแต่มายุคนี้มันไม่สนุกก็ไม่แปลก แต่หยุดก่อนอานนท์ก่อนที่จะต่อว่าก็ช่วยอ่านต่อก่อนว่าทำไมเราถึงหยิบเกม ‘Final Fantasy II’ มาพูดถึง เพราะระบบเกมนี้แม้แต่คนในสมัยก่อนก็ไม่ค่อยชอบระบบการเล่นเกมนี้ ที่จนถึงตอนนี้ระบบที่ว่านี้ก็ไม่เคยถูกเอากลับมาใช้หรือดัดแปลงในภาคไหนอีกเลย เริ่มจากเนื้อเรื่องที่ในยุคนั้นก็ถือว่าโอเคเกี่ยวกับการเดินทางปกป้องอาณาจักร ที่ถือว่าเป็นเนื้อเรื่องที่น่าสนใจแปลกใหม่ (ในสมัยนั้น) แต่สิ่งที่เป็นข้อกังขาที่สุดคือระบบของเกม ที่จะไม่มีค่าพลังบอกแต่จะแทนที่ด้วยค่าความชำนาญแทน ที่ถ้าเราอยากเก่งดาบโจมตีสูง ๆ ก็ต้องใช้ดาบซ้ำ ๆ จนเก่ง ถ้าอยากจะใช้อาวุธหรือพลังอย่างอื่นเช่นธนูหรือเวทมนตร์เราต้องใช้ซ้ำ ๆ แบบเดิม ๆ จึงจะพัฒนาเป็นท่าใหม่ ๆ ที่อ่านดูก็ไม่ได้แย่อะไร แต่กว่าที่เราจะเก่งเราก็ต้องกระจอกมาก่อน และพอเราเพิ่มค่าสายดาบจนเต็ม เราจะไปสายธนูก็ต้องเริ่มต้นจากจุดแรก ที่พอจับธนูท่าดาบที่เรียนมาก็ใช้ไม่ได้จะใช้ได้บางท่า ก็ต้องทนใช้ทนสู้กันไป เรียกว่าเล่นช้าเล่นนานที่ไม่สนุกเอาเลยสำหรับคนยุคนั้น พอมาภาค 3 ระบบก็กลับมาเป็นของเดิมแบบภาคแรก เพิ่มเติมคือการเปลี่ยนอาชีพไปมาได้ จนซีรีส์นี้โด่งดังเป็นพลุในโกดังระเบิดมาจนถึงตอนนี้

Final Fantasy II

Dissidia Final Fantasy

จะเกิดอะไรขึ้น (เกิดไปแล้ว) ถ้าเหล่าตัวเอกจากจักรวาล ‘Final Fantasy’ ทั้งตัวร้ายตัวพระเอกนางเอกมาร่วมต่อสู้กันในศึกปกป้องมิติจักรวาลในเกม ‘Dissidia Final Fantasy’ ก็ได้ความไม่สนุกขาด ๆ เกิน ๆ ไม่สุดแม้แต่อย่างเดียว และสำหรับคนที่ไม่รู้จักเกม ‘Dissidia Final Fantasy’ จะเป็นเกมรวมดาวมาไล่ต่อสู้กันของความดีซึ่งอยู่แสงสว่าง กับความชั่วที่อยู่ความมืดมาต่อสู้กันในฉากแบบ 3 ต่อ 3 ที่อัดกันมั่วไปหมด ซึ่งข้อดีคือเราจะได้เห็นตัวละครที่เรารักและเกลียดมาต่อสู้ในตอนที่พวกเขาเก่งสุดยอดแล้ว ที่เราจะได้เห็นท่าไม้ตายที่สุดแสนอลังการดาวล้านดวง แม้แต่ตัวเอกภาคแยกภาคเสริมภาคที่เราไม่รู้จักก็มากันครบแบบอิ่มจุใจ แต่ข้อเสียคือมันคือเกมต่อสู้กดปุ่มรัว ๆ แล้วก็กระโดดหลบใช้ท่าไม้ตาย สู้ตัวนี้จบไปเจอตัวอื่นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ไม่มีความท้าทายความน่าสนใจอะไรเลย แถมฉากก็กว้างตัวละครก็สู้กันกระจุกตรงนั้น ใครที่เป็นแฟนซีรีส์ความคิดเห็นสุดท้ายและอยากเห็นตัวละครที่คุณรักมาร่วมต่อสู้กันคุณต้องหามาลอง แต่ถ้าเล่นแล้วไม่สนุกก็ช่วยไม่ได้เพราะเราเตือนคุณแล้ว

Dissidia Final Fantasy

Final Fantasy XIII

ปิดท้ายกับเกมซีรีส์ ‘Final Fantasy’ ภาคหลักที่ทำออกมาได้ย่ำแย่ ที่ถ้าให้เราเปรียบเทียบกับความรู้สึกของเกมนี้กับความรัก มันก็คืออาการอกหักเหมือนแฟนที่ตอนแรกคบก็ดูดี พอได้รู้จักคบเป็นแฟนกลับให้ความรู้สึกนิสัยต่างกันเป็นคนละคน ซึ่งเกม ‘Final Fantasy Xlll’ ให้เราแบบนั้นจริง ๆ ที่ตอนแรกที่เราได้เห็นตัวอย่างมันคือเกมต่อสู้แอ็กชันที่รวดเร็วดูน่าสนุกมาก ๆ จนเมื่อแผ่น ‘Demo’ ที่แถมมากับภาพยนตร์ ‘Final Fantasy VII Advent Children’ ออกมา ที่พอได้เล่นใน ‘Demo’ ความรู้สึกที่เหมือนคุณหลอกดาวก็เกิดขึ้น เพราะมันเล่นได้ไม่สนุกต่างกับที่เห็นในตัวอย่างเลย จนเมื่อได้แผ่นจริงมาเล่นทุกคนทั่วโลกต่างก็เอามือกุมขมับเหมือนสาวที่จีบไม่ตรงปก ระบบการเล่นที่ไม่มีอะไรน่าสนใจ แค่กดคำสั่งแล้วยืนดูตัวละครสู้เอง เราควบคุมตัวละครก็ไม่ได้ ทั้งที่ในตัวอย่างก็มีการใช้ท่าการต่อสู้ที่ดูสนุกมีการใช้มนตร์เรียกอสูรที่ดูดี แต่ปรากฏว่ามีแค่ท่ามนตร์เรียกอสูรที่ดูดีแต่ก็ท่าซ้ำ ๆ เดิม ๆ ไม่มีความแปลกใหม่ความสนุกหรือให้อารมณ์ร่วมเลย ส่วนเนื้อเรื่องก็ดำเนินไปแบบเหมือนจะเร็วแต่ก็วนไปวนมาไม่ไปไหนที่เล่นไปหาวไป จะดีก็ตรงกราฟิกตัวละครที่ถือว่าโอเคสวยสมยุคมาก ๆ นอกนั้นคือติดลบหมด จะมาดูดีก็ตอน ‘Final Fantasy XIII-2’ ที่น่าจะเอาระบบภาคนั้นมาทำก็จบแล้วคงไม่ต้องโดนด่าแบบนี้ ทั้งที่โฆษณาอย่างดีแต่ไม่สมการรอคอยเลยผิดหวังสุด ๆ สำหรับภาคนี้

Final Fantasy XIII

ก็จบกันไปแล้วกับรวมเกมซีรีส์ ‘Final Fantasy’ ที่คนเล่นเกมไม่ชอบมากที่สุด ที่เอาจริง ๆ มันมีมากกว่านี้แต่มันก็เป็นภาคแยกที่เพียงแค่แปะชื่อ ‘Final Fantasy’ ที่ไม่ใช่ภาคหลักและก็ไม่ใช่ภาคต่อของภาคแยกในภาคเสริมของภาคหลักเราเลยไม่หยิบมาพูดถึง ซึ่งข้อมูลทั้งหมดนี้ก็หยิบยกมาจากแฟน ๆ เกมที่ลงความเห็นกันเอาไว้ ใครชอบไม่ชอบอย่างไรก็เอามาพูดคุยกันได้ ส่วนคราวหน้าจะเป็นเรื่องราวอะไรในวงการเกมก็ติดตามที่แบไต๋ได้เลย เพราะเรายังมีบทความสนุก ๆ ให้คุณอ่านอีกมากมายรับรองไม่มีเบื่อแน่นอน ขอเอาชื่อเกม ‘Final Fantasy XIII’ เป็นเดิมพันเลย

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส