ว่ากันว่าผีหลอกยังไม่เจ็บเท่าคนหลอกคนกันเอง คำจำกัดความที่เอาไว้อธิบายถึงสิ่งที่มนุษย์ทำด้วยกันเอง ที่เรามักจะพูดว่ามนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐที่มีความคิดจิตใจความรู้สึกที่เหนือกว่าสัตว์อื่น ๆ บนโลก แต่ก็มีหลายครั้งที่เราเห็นสิ่งที่มนุษย์ทำกับมนุษย์ด้วยกันเองเหมือนกับว่านั่นไม่ใช่มนุษย์ด้วยกัน ซึ่งนอกจากในชีวิตจริงบนภาพยนตร์หรือตามสื่อต่าง ๆ แล้ว ในวิดีโอเกมก็มีสิ่งเหล่านี้อยู่เช่นกัน เรามาดูกันดีกว่าว่าในวิดีโอเกมมีการกระทำอันโหดร้ายที่มนุษย์ทำกับมนุษย์ด้วยกันเองเรื่องอะไรบ้าง โดยเราจะขอข้ามเรื่องการฆ่า NPC หรือเกมยิงกัน แต่จะเน้นไปที่เนื้อหาเรื่องราวหรือสิ่งที่เกิดขึ้นในเกม โดยอ้างอิงความเป็นจริงที่เคยเกิดขึ้นกับวิดีโอเกมเพื่อให้เห็นภาพง่ายขึ้น ที่บอกให้รู้ว่าแม้แต่ในวิดีโอเกมก็ยังแอบซ่อนหรือต้องการบอกให้คนเล่นเกมรับรู้หรือตระหนักถึงสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ว่ามันมีอยู่จริง จะมีเรื่องราวความโหดร้ายที่คนทำกับคนเรื่องอะไรที่น่าสนใจบ้างนั้นมาดูกันเลย

เหยื่อของ Umbrella Corporation จากเกม Resident Evil

Resident Evil

เริ่มต้นความโหดร้ายแรกกับสิ่งที่คนทำกับคนกันเองแบบไร้มนุษยธรรม ที่ดูโหดร้ายป่าเถื่อนกับการจับมนุษย์มาเป็นเหยื่อทดลองอาวุธชีวภาพเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ที่จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากบริษัทยาที่ชั่วร้ายอย่าง ‘Umbrella Corporation’ จากเกม ‘Resident Evil’ ที่นอกจากความโหดร้ายในเกมที่เราได้เห็นแล้ว บริษัทนี้ยังได้ทำเรื่องราวต่าง ๆ ลับหลังที่มาในรูปแบบของข้อมูลต่าง ๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการจับคนมาเป็นเหยื่อทดลองสร้างสัตว์ประหลาดเพื่อขายในตลาด โดยไม่สนว่าคน ๆ นั้นจะเป็นใครถ้าถูก ‘Umbrella’ หมายหัวคน ๆ นั้นจะถูกจับมาทดลองเพื่อปิดปากทันที ดูได้จากพ่อลูก ‘Burnside’ ที่ถูกจับมาบนเกาะ Rockfort ในภาค ‘Code Veronica’ หรือจะเป็นลิซา ทรีเวอร์ (Lisa Trevor) ในภาคแรกที่เธอและพ่อแม่ถูกจับมาทดลองเพื่อปิดปากไม่ให้คนรู้เรื่องความลับในคฤหาสน์  ‘Spencer’ นี่ยังไม่นับคนทั่วไปที่หายสาบสูญแบบใน ‘Resident Evil Resistance’ และถ้าใครที่ได้เล่นเกม ‘Resident Evil 3’ ฉบับเก่าจะทราบเรื่องข้อมูลของศพที่ล้นออกมาจากโรงงานกำจัดขยะจากการทดลอง จนศพเหล่านั้นที่เป็นซอมบี้อยู่แล้วออกมาเดินในเมือง แถมเชื้อไวรัสจากศพที่มีมากเกินก็ได้เข้ามาติดคนในโรงงานกำจัดขยะอีกด้วย และนี่ก็เป็นแค่บางส่วนของความเลวร้ายที่บริษัทนี้ทำเอาไว้ในเกมซีรีส์ ‘Resident Evil’ ที่เหยื่อทั้งหมดคือคนบริสุทธิ์ที่ไม่รู้เรื่อง และมันก็เคยเกิดขึ้นจริง ๆ มาแล้วในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2

Resident Evil

จับคน 100 คนมาปล่อยเกาะฆ่ากันเองจากเกม PUBG

PUBG

จะเกิดอะไรขึ้นถ้าจู่ ๆ คุณตื่นขึ้นมาบนเครื่องบินพร้อมร่มชูชีพ และโยนลงไปบนเกาะขนาดใหญ่เพื่อฆ่ากันเองจนเหลือคนสุดท้าย นั่นคือแนวคิดง่าย ๆ เล่นสนุกที่หลายคนชื่นชอบในเกม ‘PlayerUnknown’s Battlegrounds’ หรือที่เราเรียกสั้น ๆ ว่า ‘PUBG’ ซึ่งถ้ามองในแง่ของเกมมันดูคงจะดูสนุกที่เราต้องต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดที่ถ้าตายก็เริ่มเกมใหม่ แต่ถ้าเป็นชีวิตจริงแบบในภาพยนตร์ ‘Battle royale’ เราคงจะไม่สนุกกับการสู้กันแบบนี้อย่างแน่นอน เพราะไม่ว่ายังไงธรรมชาติของมนุษย์ไม่ใช่สัตว์ป่าเถื่อนที่สามารถฆ่าคนที่พบเห็นได้  แต่ถ้ามนุษย์ถูกดึงลงมาถึงจุดตกต่ำสุดขีดสัญชาตญาณอันป่าเถื่อนที่อยู่ในตัวเราก็จะตื่นขึ้นมา จนพร้อมที่จะฆ่าทุกคนเพื่อความอยู่รอด ซึ่งถ้ามองในแง่ของความเป็นจริงมันช่างโหดร้ายมาก ๆ เมื่อคิดแบบนั้น

PUBG

คนกินคนจากเกม Metro Exodus

Metro Exodus

ถ้าพูดถึงเนื้อหาเรื่องราวของมนุษย์กินคนนั้นเอาจริง ๆ มันก็ดูเป็นเรื่องปกติที่ไม่ค่อยมีอะไรน่าตกใจ สำหรับคนที่ชอบเล่นเกมแนวโลกอนาคตที่ล่มสลาย เพราะการกินคนมันก็คือหนึ่งในวิธีเอาชีวิตรอดของมนุษย์กลุ่มหนึ่งที่ถ้าไม่กินก็คงอดตาย ซึ่งมันแค่ขัดศีลธรรมความเป็นมนุษย์เท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นไม่ว่าจะมองมุมไหนการกินคนมันก็เป็นสิ่งที่รับไม่ได้ แต่สิ่งที่เลวร้ายกว่านั้นก็คือการหลอกล่อให้ความหวังคนให้มาติดกับ อย่างในเกม ‘Metro Exodus’ ที่เราจะได้รับคลื่นวิทยุบอกว่ามีชุมชนผู้รอดชีวิตและมีคนของรัฐบาลดูแลผู้รอดชีวิตอยู่ แต่พอไปถึงที่นั่นเรากลับถูกต้อนรับจากเหล่ามนุษย์กินคน ที่พวกนี้ไม่ใช่แค่พวกกินคนอย่างเดียว แต่ดูเหมือนพวกเขาจะสนุกกับการเอาเนื้อหนังกระดูกของคนเหล่านั้นมาเป็นเครื่องประดับตกแต่งห้อง ที่ดูโหดกว่าการเอามากินแบบปกติหลายเท่า เรียกว่ายกระดับของมนุษย์กินคนให้ดูโรคจิตไปอีกขั้นเลยทีเดียว ซึ่งเรื่องแบบนี้มันก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีตกับฆาตกรโรคจิตของอเมริกาเอ็ด กีน (Ed Gein) ที่เอากระดูหนังของเหยื่อที่ฆ่ามาทำเป็นเครื่องประดับตกแต่งห้อง

Metro Exodus

จับมนุษย์มาทดลองในหลุมหลบภัยจากเกม Fallout

Fallout

อีกหนึ่งความชั่วร้ายที่มาในรูปแบบของการทดลองแบบเดียวกับที่ ‘Umbrella Corporation’ ทำ และมันก็เคยเกิดการทดลองแบบนี้มาแล้วในสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ในเกม ‘Fallout’ จะดูโหดร้ายน้อยกว่า เพราะในเกมนี้ไม่ได้จับใครมาทดลองแต่จะเป็นการหลอกคนผู้ได้รับคัดเลือกให้เข้าไปอยู่ในหลุมหลบภัยแบบต่าง ๆ ที่มีอยู่มากมายทั่วอเมริกา ซึ่งความโหดร้ายของเกมนี้ก็คือบางหลุมนั้นได้แอบมีการทดลองต่าง ๆ เอาไว้ ยกตัวอย่างหลุมหลบภัย Vault 11 ที่ทุกปีต้องเสียสละคน 1 คนไม่อย่างนั้นทุกคนจะตายเพื่อทดสอบการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ Vault ที่ 68 จะเป็นที่อาศัยของผู้ชาย 999 คนกับผู้หญิง 1 คนขณะที่ Vault 69 จะตรงข้ามที่มีชาย 1 คนกับผู้หญิง 999 คน Vault ที่ 6 และ 12 จะเป็นการทดสอบว่ามนุษย์ที่โดนรังสีจากหลุมที่ปิดไม่สนิทจะเป็นอย่างไร หรือจะเป็น Vault ที่ 87 ที่มีการจับมนุษย์ในหลุมหลบภัยมาทดลองสร้างสัตว์ประหลาด เรียกว่าถ้าโชคดีไปอยู่หลุมหลบภัยปกติก็รอดไป ซึ่งสิ่งนี้นับเป็นการกระทำกับมนุษย์ด้วยกันที่โหดร้ายมาก ๆ แต่น่าจะยกเว้นหลุมที่ 69 นะ

Fallout

ปกครองคนด้วยความกลัวและความรุนแรงจากเกม Far Cry 4

Far Cry 4

ว่ากันว่าเมื่อใดที่มนุษย์รู้สึกว่าตนเองมีอำนาจอยู่เหนือผู้อื่นจนสามารถชี้นิ้วสั่งได้ทุกอย่าง  มนุษย์คนนั้นจะไม่ยอมลงจากอำนาจและพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ตนเองอยู่ในอำนาจนั้นต่อไปเรื่อย ๆ เหมือนอย่างที่ปาแกน มิน (Pagan Min) ผู้นำอันชั่วร้ายในเกม Far Cry 4 ทำกับประชาชนในประเทศตนเอง ที่เขานั้นปกครองประเทศ Kyrat ด้วยความป่าเถื่อนโหดร้ายกับระบบระบอบเผด็จการเต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะฆ่านายทหารของตนเองด้วยปากกาเมื่อไม่ทำตามสิ่งที่ตนต้องการ หรือจับประชาชนที่คิดว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามมาทรมาน จนทำให้เกิดฝ่ายต่อต้านขึ้นมาเพื่อโค่นล้มผู้นำคนนี้ ซึ่งในตอนท้ายของเกมเมื่อเราปราบปาแกน มินลงได้ และไม่ว่าจะเลือกเพื่อนเราคนไหนในฝ่ายต่อต้านมาเป็นผู้ปกครอง ประเทศ Kyrat ก็ยังคงเป็นแบบเดิมไม่ต่างจากที่ปาแกน มินทำกับประเทศก่อนหน้านี้ เป็นการบอกให้รู้ว่ามนุษย์นั้นเป็นสัตว์ที่หลงในอำนาจและพร้อมจะทำทุกทางเพื่อให้ตนเองอยู่สูงสุดโดยไม่สนวิธีการ ซึ่งคนที่ได้รับผลนั้นก็คือคนด้วยกัน

Far Cry 4

จับคนป่วยทางจิตมาทดลองจากเกม Outlast

Outlast

แค่การทำกับคนปกติด้วยกันในหัวข้อที่ผ่านมาก็แย่พออยู่แล้ว แต่ในเกม ‘Outlast’ ภาคแรกนั้นเลวร้ายยิ่งกว่า เพราะในเกมนี้เราจะได้เห็นคนป่วยทางจิตที่อยู่ในโรงพยาบาลจิตเวชร้างที่ถูกปิดตายจากโลกภายนอก ที่ภายในนั้นนอกจากเหล่าคนป่วยทางจิตที่คิดจะฆ่าเราแล้ว ก็ยังมีผู้ป่วยทางจิตทั่วไปที่กำลังหวดกลัวซึมเศร้า ซึ่งบางคนก็ตกเป็นเหยื่อหรืออาหารแก่คนที่ป่วยทางจิตที่รุนแรงและแข็งแรงกว่าอย่างน่าสงสาร ซึ่งที่มาที่ไปของการนำผู้ป่วยในโรงพยาบาลจิตเวชมาอยู่ที่นี่นั้นก็เพื่อการทดลองในการย้ายจิตไปอยู่ร่างใหม่ ที่กว่าจะมาถึงจุดที่สำเร็จได้นั้นต้องเสียสละผู้ป่วยทางจิตไปอย่างมากมาย นี่ยังไม่นับการถูกทรมานในรูปแบบอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากการทดลองปกติอีก ด้วยเหตุผลที่ว่าคนป่วยเหล่านี้คือขยะไร้ค่าที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากเป็นแค่เหยื่อเพื่อการทดลอง เรียกว่าดูถูกความเป็นมนุษย์แบบสุดขั้วจริง ๆ สำหรับเกมนี้

Outlast

ความโหดร้ายของ Trevor Phillips พระเอกจากเกม Grand Theft Auto V

Grand Theft Auto V

คุณเคยเล่นเกม ‘Grand Theft Auto V’ หรือ ‘GTA V’ รึเปล่า ถ้าเคยคุณก็ต้องรู้จักชายวัยกลางคนผมน้อยที่ชื่อเทรเวอร์ ฟิลลิปส์ (Trevor Phillips) ว่าเขานั้นคือหนึ่งในสามพระเอกของเกมนี้ที่เราสามารถควบคุมได้ ซึ่งตลอดทั้งเกมนั้นเราจะได้รับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิตของเขามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการฆ่าฝ่ายตรงข้ามยกครอบครัวและยึดกิจการของพวกนั้นมาเป็นของตน นี่ยังไม่นับการฆ่าเจ้าของคลับเปลื้องผ้ายัดใส่ตู้เย็น ตัดหูคนมาใส่ชามแล้วเอามากินเล่น ไปจนถึงการกระทืบคนบริสุทธิ์ยัดใส่ถุงดำที่แค่ไปทำให้เขาไม่พอใจ ซึ่งทั้งหมดนั้นคือสิ่งที่เราจะได้เห็นตลอดทั้งเกม ที่ไม่ว่าจะดูมุมไหนตัวละครตัวนี้ก็ไม่ใช่คนดีและทำกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกันด้วยความโหดร้าย แต่เขากลับได้เป็นพระเอกของเกมนี้ เราจึงไม่สงสัยเลยว่าทำไมเกมนี้ถึงถูกต่อว่าในเรื่องความรุนแรง แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นเราก็ว่าเรื่องนี้ไปทางทีมพัฒนาเกมได้ไม่เต็มปาก เพราะในตอนท้ายของเกมเราจะได้เล่นเป็นแฟรงคลิน คลินตัน (Franklin Clinton) กับเส้นทางสามแบบให้เลือกตอนจบ ที่หนึ่งในนั้นก็คือการฆ่าเทรเวอร์ทิ้ง เพราะทีมพัฒนาเชื่อว่าผู้เล่นหลายคนที่ได้เล่นเกมนี้คงไม่มีใครชอบหมอนี่อย่างแน่นอน แถมการตายยังตายแบบทรมานสาสมกับสิ่งที่เขาทำด้วย

Grand Theft Auto V

จับคนมาบูชายัญจากเกมซีรีส์ Fatal Frame

Fatal Frame

มาดูฝั่งเอเชียกันบ้างกับเรื่องราวความโหดร้ายที่เกี่ยวกับความเชื่อของมนุษย์ ที่คิดว่าการบูชายัญเพื่อสังเวยแก่เทพเจ้าหรือปีศาจจะทำให้หมู่บ้านครอบครัวที่ตนอยู่มีความเจริญรุ่งเรือง ซึ่งใครซึ่งเคยเล่นเกมซีรีส์ ‘Fatal Frame’ มาก่อนจะเข้าใจในเนื้อหาตรงนี้ได้เป็นอย่างดี  เพราะในทุกภาคของซีรีส์นี้จะนำเสนอความโกรธเกลียดเคียดแค้น ที่มนุษย์ทำกับมนุษย์ด้วยกันไม่ว่าจะเป็นการบูชายัญฝาแฝดของหมู่บ้าน Minakami ในเกมภาค 2 การบูชายัญหญิงสาวที่ต้องสักลายต่าง ๆ เพื่อเป็นการมอบความทุกข์และโรคภัยไปบนรอยสักก่อนทิ้งให้ตายอย่างเดียวดายในเกมภาคที่ 3 ซึ่งในทุกภาคนั้นจะเกี่ยวกับอะไรแบบนี้ทั้งหมด และแน่นอนว่าคงไม่มีใครพร้อมใจที่จะตายเพื่ออะไรแบบนี้ แต่ในบางกรณีผู้ถูกบูชายัญก็เต็มใจแต่เปลี่ยนใจในภายหลังเพราะมีความรักหรือการทำพิธีผิดพลาดด้วยหลาย ๆ เหตุผลที่ไม่ว่าจะดูยังไงการนำหญิงสาวมาบูชายัญด้วยชีวิตยังไงก็ไม่ถูกต้อง และดูโหดร้ายที่มนุษย์ไม่น่าจะทำด้วยกันไม่ว่าจะด้วยเหตุผลที่ดีหรือร้ายก็ตาม

Fatal Frame

จับวิญญาณมาใช้งานจากเกม Home Sweet Home

Home Sweet Home

ใครว่าความตายคือจุดสิ้นสุดของชีวิตนั่นไม่ใช่ความจริงแต่อย่างใด โดยเฉพาะในโลกของวิดีโอเกมการนำเรื่องราวของผีวิญญาณมาใช้นั้นแทบจะเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้เราต้องหยิบยกเรื่องของวิญญาณมาพูดถึง ก็เพราะในเกม ‘Home Sweet Home’ นั้นเราจะได้เห็นความโหดร้ายที่คนทำกับคนด้วยกันในอีกรูปแบบหนึ่งที่น่าสนใจ นั่นคือการนำวิญญาณคนตายมาใช้งานเพื่อทำสิ่งต่าง ๆ ซึ่งใครที่เคยเล่นเกม ‘Home Sweet Home’ มาก่อนจะทราบดีว่าทำไมติมถึงถูกผีนักศึกษาไล่ล่าโดนผีนางรำตามหลอก ไปจนถึงเกม ‘Home Sweet Home Survive’ ที่เหล่าผู้รอดชีวิตถึงถูกผีไล่ล่า ซึ่งทั้งหมดนั้นก็มาจากฝีมือของเหล่าหมอผีที่มีวิชาได้สะกดวิญญาณเหล่านั้นเพื่อมาใช้งานในการไล่ฆ่าคนหรือทำในสิ่งต่าง ๆ ตามที่คนมาจ้าง โดยที่ไม่สนใจเลยว่าวิญญาณเหล่านั้นจะเต็มใจรึไม่ ซึ่งแน่นอนว่าถ้าวิญญาณเหล่านั้นขัดขืนก็จะถูกทำร้าย ทั้งที่พวกเขาหรือเธอนั้นตายไปแล้วก็ควรจะได้อยู่อย่างสงบ แต่กลับถูกเหล่าหมอผีจับมาเป็นทาส นับเป็นการกระทำอันโหดร้ายที่แม้แต่คนตายก็ไม่เว้น

Home Sweet Home

ปลูกฝังการแก้แค้นให้ Ellie จากเกม The Last of Us Part II

The Last of Us Part II

ฉันไม่รู้ละไม่สนหรอกนะว่าพวกแกจะเป็นใครหรือฝ่ายไหน ถ้ามาขวางทางการแก้แค้นฉันจะฆ่าทุกคน นั่นคือหนึ่งในประโยคที่เอลลี่ (Ellie) ตัวเอกจากเกม ‘The Last of Us Part II’ พูดกับตัวเองระหว่างเดินทางข้ามประเทศเพื่อไปแก้แค้นคนที่ทำร้ายตน ซึ่งไม่ว่าจะดูมุมไหนสิ่งที่เอลลี่ทำมันก็คือความโหดร้ายป่าเถื่อนที่คนทำกับคนด้วยกัน ลองคิดดูว่าระหว่างทางที่เอลลี่เดินทางเพื่อไปแก้แค้นแอ็บบี้ (Abby) นั้นเธอต้องฆ่าคนไปแล้วกี่ศพ แถมพวกคนเหล่านั้นก็ไม่ใช่ศัตรูหรือรู้จักเป็นแค่การผ่านทาง(ทางฝ่ายศัตรูคิดว่าเอลลี่คืออีกฝ่ายจึงฆ่า) ซึ่งถ้าเราจะพูดว่าถ้าเอลลี่ไม่ฆ่าก็จะถูกฆ่ามันคือกฎของโลกในเกมนี้ซึ่งก็ใช่ แต่การที่จะฆ่าคน ๆ เดียวแต่ต้องเดินทางออกไปฆ่าคนอื่นที่ไม่รู้เรื่องมันก็ดูโหดร้ายเกินไป ซึ่งต่างกับทางแอ็บบี้ที่ก็ฆ่าเหมือนกันแต่ทางนั้นทำเพราะต้องปกป้องกลุ่มที่ต่างฝ่ายต่างจะทำลายกันเอง เพราะมันคือกฎของโลกใบนี้ และเลือกที่จะช่วยเหลือแม้จะเป็นอีกฝ่ายจะเป็นศัตรู ขณะที่เอลลี่นั้นเลือกจะฆ่าหมดไม่ฟังอะไรทั้งนั้น เรื่องนี้จึงถูกนับให้เป็นหนึ่งในความโหดร้ายที่คนทำกับคนในแง่ของการปลูกฝังความรุนแรงให้เด็ก ซึ่งถ้ามองในมุมมองของเกมเรื่องนี้พอเข้าใจได้เพราะมันคือการเอาตัวรอด  แต่การบอกให้เอลลี่ไปแก้แค้นของทอมมี่ มิลเลอร์ (Tommy Miller) ในช่วงท้ายเกมโดยไม่สนว่าระหว่างทางจะต้องฆ่าใครบ้าง หรืออาจจะเอาชีวิตไปทิ้งนั้นมันก็คือหนึ่งในการปลูกฝังความคิดในการแก้แค้นให้อีกฝ่ายที่ไม่น่าเกิดขึ้น ซึ่งมนุษย์ไม่ควรทำแบบนี้กับมนุษย์ด้วยกันเพราะการแก้แค้นไม่ใช่คำตอบของปัญหา และการปลูกฝังความคิดในการแก้แค้นให้คนอื่นทำแทนหรือสั่งให้ไปทำมันก็เลวร้ายไม่ต่างกัน

The Last of Us Part II

ฝืนธรรมชาติกับการสร้างมนุษย์เทียม Haunting Ground

Haunting Ground

มนุษย์มักจะคิดว่าตนเองนั้นคือผู้อยู่เหนือสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลก และคิดว่าตนเองนั้นสามารถที่จะทำอะไรกับโลกใบนี้ก็ได้ จนบางครั้งสิ่งที่มนุษย์ทำก็คือการฝืนธรรมชาติอย่างการสร้างมนุษย์โคลนขึ้นมา ซึ่งไม่ว่าจะเกิดจากวิทยาศาสตร์หรือเล่นแร่แปลธาตุจนให้กำเนิดชีวิตมนุษย์ขึ้นมาแบบผิดปกติ มันก็ถูกนับเป็นการฝืนธรรมชาติ ซึ่งนั่นคือสิ่งที่เกม ‘Haunting Ground’ เป็น เพราะตัวละครทุกตัวในเกมยกเว้นฟีโอน่า เบลลี (Fiona Belli) เท่านั้นที่เป็นคนปกติ แต่พ่อของเธอนั้นก็คือหนึ่งในมนุษย์ที่เป็นร่างโคลน ที่หนีออกมาจากการทดลองและไปสร้างครอบครัวจนมีฟีโอน่า  โดยเป้าหมายที่สร้างร่างโคลนขึ้นมานั้นก็เพื่อการสร้างมนุษย์อมตะที่ก็ฝืนธรรมชาติไม่แพ้กัน ซึ่งความโหดร้ายก็คือความผิดปกติของสิ่งมีชีวิตเมื่อเราฝืนธรรมชาติ เราก็จะได้สิ่งมีชีวิตที่ไม่สมประกอบอย่างชายร่างยักษ์และหญิงสาวที่ไม่พอใจในรูปร่างตนเอง จนกลายเป็นการไล่ล่าฟีโอน่าเพราะอิจฉาความเป็นมนุษย์ของเธอ ซึ่งนั่นก็คือความโหดร้ายที่มนุษย์ทำกับมนุษย์ เพราะเราไม่ใช่พระเจ้าที่จะสร้างสิ่งที่ไม่น่าเกิดขึ้นมาบนโลก  แถมเมื่อสร้างมาแล้วไม่สมบูรณ์แบบที่เราต้องการ ก็มองสิ่งนั้นว่าคือความผิดพลาดซึ่งในเกมไม่เรียกสิ่งนั้นว่าเป็นมนุษย์ด้วยซ้ำ

Haunting Ground

เหยียดเชื้อชาติจากเกม BioShock Infinite

เมื่อพูดถึงการเหยียดเชื้อชาติเชื่อว่าบ้านเราอาจจะไม่ค่อยมีประเด็นในเรื่องนี้เท่าใดนัก แต่ถ้าเราไปอยู่ในบางประเทศหรือบางที่ก็ยังมีการเหยียดเชื้อชาติอยู่ โดยเฉพาะกรณีของชาวผิวสีหรือชาวเอเชียที่มักจะถูกต่างชาติไม่ชอบมองว่าเราคือคนที่ต่อยต่ำกว่า ซึ่งในเกม ‘BioShock Infinite’ ก็หยิบเรื่องนี้มาพูดถึงได้อย่างน่าสนใจ เพราะตั้งแต่เริ่มเกมมาเราก็จะได้เห็นการประจานของชายผิวขาวที่มีความรักกับคนผิวสีซึ่งเป็นเรื่องผิดของที่นี่ รวมถึงการบอกเล่าเรื่องราวของอเมริกาที่ไปฆ่าชนเผ่าอินเดียแล้วยึดพื้นดินมา ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันคือสิ่งที่มนุษย์ไม่ควรทำแต่ก็ทำและเกิดขึ้นอยู่เสมอจนถึงตอนนี้ ซึ่งอย่าลืมว่ามนุษย์ก็คือมนุษย์ไม่ว่าจะสีผิวอะไรเชื้อชาติไหนก็มีความเป็นคนเหมือนกัน

ก่อสงครามจากเกม Call of Duty WWII

Call of Duty WWII

ปิดท้ายกับเกมการอ้างอิงความเป็นจริงที่เกิดขึ้นมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง ที่จนถึงตอนนี้วันนี้วินาทีนี้ก็ยังคงมีอยู่ กับการก่อสงครามของมนุษย์ด้วยกัน ซึ่งเหตุผลที่ก่อสงครามนั้นก็เกิดมาจากความต้องการอยู่เหนือคนอื่น หรือไม่อยากสูญเสียบางอย่างไปจนสามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ได้สิ่งนั้นหรืออยู่แบบนั้นต่อไป ซึ่งคนที่ได้รับผลกระทบจากความบิดเบี้ยวของคนเหล่านั้นคือคนทั่วไปที่ใช้ชีวิตไปวัน ๆ ต้องมาเดือดร้อนกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ด้วยเหตุผลต่าง ๆ ทั้งที่ความจริงแล้วมันเกิดจากความอยากได้อยากมีของคนอื่น จึงใช้ความชอบความชอบธรรมที่สร้างขึ้นมาเองยึดหรือทำลายอีกฝ่าย ซึ่งเราจะเห็นได้ในหน้าประวัติศาสตร์ที่เกมซีรีส์ดัง ๆ ได้บันทึกเอาไว้ในเกม ยกตัวอย่างก็เกมซีรีส์ ‘Call of Duty’ ที่หยิบยกเรื่องของสงครามโลกทั้งสองครั้งมาทำเป็นเกม เพื่อให้เด็กยุคใหม่ได้รู้จักความโหดร้ายของสงคราม ว่าไม่มีใครได้ประโยชน์กับการกระทำนี้ และหลายเรื่องมันก็คือความโหดร้ายที่มนุษย์ไม่ควรทำกับมนุษย์ด้วยกันไม่ว่าจะด้วยเหตุผลหรือสิ่งใดก็ตาม เพราะปลายทางของสงครามไม่ว่าฝ่ายไหนจะแพ้หรือชนะก็ต้องสูญเสียอยู่ดี

Call of Duty WWII

ก็จบกันไปแล้วกับเรื่องราวความเลวร้ายที่มนุษย์ทำด้วยในวิดีโอเกม โดยเราก็หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ผู้อ่านได้แง่คิดหรือมุมมองต่าง ๆ ที่มากขึ้นในการใช้ชีวิต เพราะแม้หลายเรื่องมันจะดูเกินจริงไปบ้าง แต่ในหลาย ๆ เรื่องนั้นมันก็เคยมีหรือเกิดขึ้นจริงมาแล้วในหน้าประวัติศาสตร์โลก แต่เราก็ไม่ได้หมายความว่ามนุษย์ทุกคนจะเป็นแบบนั้นไปทั้งหมด เพราะในแง่ของคนร้ายก็ย่อมมีคนดีที่จิตใจดีงามจริง ๆ อยู่ด้วย และอาจจะเยอะกว่าคนไม่ดีที่ทำแบบในบทความนี้ ซึ่งเราก็เชื่อมั่นและรู้ซึ้งว่าถ้ามนุษย์ไม่ดีจริง ๆ เราคงจะไม่สามารถสืบเผ่าพันธุ์มาถึงตอนนี้อย่างแน่นอน หวังว่าบทความนี้จะทำให้คุณเชื่อมั่นในตัวมนุษย์และเข้าใจถึงมุมมองต่าง ๆ ไม่มากก็น้อย ส่วนคราวหน้าจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไรก็ติดตามกันได้ที่นี่ที่เดียว

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส