เชื่อว่าหลายคนเสพติดความหวานไม่ว่าจะจากเครื่องดื่ม ขนม หรือแม้แต่อาหารที่มีแป้งเป็นส่วนประกอบหลัก ซึ่งท้ายที่สุดก็จะถูกย่อยกลายเป็นน้ำตาลเข้าสู่ร่างกาย ที่ผ่านมาเราพอทราบกันดีว่าการกินอาหารที่มีน้ำตาลจะส่งผลเสียมากมายต่อสุขภาพกาย ทั้ง โรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด เป็นต้น

แต่บทความนี้จะพาทุกคนมาทราบอีกหนึ่งข้อเสียจากการบริโภคน้ำตาลเป็นประจำ ที่ไม่ได้ส่งผลเสียต่อสุขภาพกายเท่านั้น แต่อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพผิวของคุณด้วย!

กินน้ำตาลเยอะทำให้หน้าแก่ ?

ปกติแล้วอาหารจำนวนมากที่เรารับประทานจะมีน้ำตาลอยู่ในนั้น แม้แต่ผักและผลไม้ก็ตาม ขณะเดียวกันน่าเสียดายที่น้ำตาลเป็นอาหารที่ทำให้เกิดการอักเสบ เมื่อคุณมีน้ำตาลในกระแสเลือดมากเกินกว่าที่อินซูลินจะรับได้ อาจทำให้เกิดปฏิกิริยาเคมีตามธรรมชาติที่เรียกว่า ปฏิกิริยาไกลเคชัน (Glycation) ที่เป็นสาเหตุของความชราก่อนวัยอันควร หรือ Premature Aging

โดยโมเลกุลของน้ำตาลจะเกาะติดกับคอลลาเจนและโปรตีนจนก่อเกิดเป็นสาร AGEs (Advanced Glycation End-Products) หรือสารเร่งแก่ ทำให้คอลลาเจนแข็ง ผิวของคุณอาจแห้งกร้าน ผิวหนังยืดหยุ่นน้อยลง และยังยับยั้งกระบวนการสร้างเซลล์ผิวใหม่ด้วย แม้ว่าปกติแล้วผิวหนังของคนเราจะเริ่มแห้งกร้านและหย่อนคล้อยตามอายุที่เพิ่มขึ้น แต่การกินน้ำตาลในปริมาณมากจนก่อเกิดเป็นปฏิกิริยาไกลเคชัน ก็สามารถกระตุ้นให้ผิวหนังมีความแห้งเหี่ยวได้เร็วมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ผลกระทบที่ทำให้หน้าแก่ก่อนวัยจากน้ำตาล อาจไม่ได้ไม่รุนแรงมากนักเมื่อเทียบกับปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม และพันธุกรรมอื่น ๆ 

วิธีดูแลตัวเองเพื่อให้ผิวดูอ่อนเยาว์

1.ลดของหวานในอาหาร 

การกำจัดน้ำตาลให้หมดไปนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แม้แต่เมล็ดธัญพืช ผลไม้ และผักก็เปลี่ยนเป็นน้ำตาลกลูโคส ซึ่งเป็นน้ำตาลชนิดหนึ่งที่กระตุ้นกระบวนการไกลเคชัน แต่คุณสามารถจำกัดน้ำตาลในอาหารที่รับประทานเข้าไปได้ด้วยการระวังน้ำตาลที่ซ่อนอยู่ในอาหาร เช่น อาหารสำเร็จรูปหลายชนิดมีน้ำตาลจำนวนมาก หรือแม้แต่น้ำผลไม้เข้มข้นก็มีน้ำตาลสูงเช่นกัน สิ่งสำคัญคือต้องตรวจสอบฉลากโภชนาการสำหรับน้ำตาลซึ่งแสดงผลเป็นกรัมภายใต้คาร์โบไฮเดรตทั้งหมด ซึ่งต่อวันคนเราไม่ควรบริโภคอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลสูงเกินกว่า 4 ช้อนชา หรือ 16 กรัม

2.เสริมอาหารของคุณด้วยวิตามินบี 1 และวิตามินบี 6 

คุณควรกินอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินบี 1 และวิตามินบี 6 อย่างน้อย 1 มิลลิกรัมต่อวัน โดยแพทย์ผิวหนังเชื่อว่าวิตามินเหล่านี้พิสูจน์แล้วว่าเป็นตัวยับยั้ง AGEs ที่มีศักยภาพ 

3.กินอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ 

สารต้านอนุมูลอิสระจะช่วยป้องกันไม่ให้น้ำตาลจับตัวกับโปรตีน ดังนั้นควรเติมสารอาหารเหล่านี้ให้มากขึ้นโดยการรับประทานผลไม้ ถั่ว และผักที่อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วอลนัท พริกหยวกแดง ผักบุ้ง ผักกวางตุ้ง เป็นต้น

4.ทาครีมกันแดดสม่ำเสมอ

การทาครีมกันแดดที่มี SPF 30-50 ทุกวัน จะช่วยปกป้องผิวคุณจากแสงแดดหนึ่งในต้นเหตุของปัญหาผิวแห้งกร้าน และช่วยชะลอผิวแก่ก่อนวัยได้

ทำอย่างไรเมื่อไม่สามารถเลิกกินของหวานได้!

แม้ว่าจะเป็นการดีที่สุดหากคุณสามารจำกัดการบริโภคน้ำตาลที่มาในรูปแบบขนม หรือของหวานอื่น ๆ ได้ แต่มีหลายคนที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงสิ่งล่อใจเหล่านั้นได้ ซึ่งการกินขนมไม่กี่ชิ้นในแต่ละวันก็ไม่ใช่เรื่องผิด แต่อย่าละเลยการดื่มน้ำให้เพียงพอ เพราะน้ำจะสามารถชะลอการดูดซึมน้ำตาล และอาจช่วยป้องกันไม่ให้น้ำตาลในเลือดพุ่งสูงขึ้นได้

อีกสิ่งสำคัญคือการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ นักวิทยาศาสตร์ได้แสดงให้เห็นว่าเมลาโทนินสามารถลดความเสียหายจากเกิดการปฏิกิริยาไกลเคชันได้ถึง 50% 

นอกจากนี้ อีกวิธีที่ดีในการดูแลผิวของคุณ ก็คือการเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวที่แห้งกร้านอย่างสม่ำเสมอ คุณควรหาทรีมบำรุงที่เหมาะกับสภาพผิวของตนเอง เพื่อเพิ่มความชุ่มชื่น อิ่มน้ำ และชะลอการเกิดริ้วรอยร่วมด้วย

ที่มา belledeprovence , nbcnews , unitypoint , hellokhunmor

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส