ในโลกที่เราคุ้นเคย กลิ่นตัวมักถูกมองว่าเป็นเรื่องของสุขอนามัยส่วนบุคคล แต่ถ้าหากกลิ่นเหล่านี้เป็นมากกว่าแค่กลิ่นเหงื่อล่ะ? ถ้ามันคือรหัสลับที่ร่างกายใช้สื่อสารกับเรา บอกใบ้ถึงความผิดปกติที่กำลังก่อตัวอยู่ภายในอย่างเงียบ ๆ เรื่องราวนี้อาจฟังดูเหมือนนิยายวิทยาศาสตร์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว กลิ่นตัวสามารถเป็นกุญแจสำคัญในการวินิจฉัยโรคได้ ซึ่งเป็นแนวคิดที่กำลังเปลี่ยนโฉมวงการแพทย์ในอนาคต
เมื่อกลิ่นตัวไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
ร่างกายของเราปล่อยสารเคมีที่ระเหยได้ หรือที่เรียกว่า VOCs (Volatile Organic Compounds) ออกมาตลอดเวลา สารเหล่านี้เป็นผลผลิตพลอยได้จากกระบวนการเผาผลาญอาหารและพลังงานภายในร่างกาย ซึ่งแต่ละกระบวนการก็ให้สารเคมีที่มีกลิ่นเฉพาะตัวที่แตกต่างกันไป และเมื่อกระบวนการเหล่านั้นเกิดความผิดปกติ กลิ่นที่ปล่อยออกมาก็จะเปลี่ยนไปเช่นกัน
ลองนึกภาพตามว่าเมื่อร่างกายของเราเผาผลาญไขมันแทนที่จะเป็นน้ำตาลในภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ สารที่เรียกว่า คีโตน จะถูกสร้างขึ้นมาในปริมาณมาก และเมื่อขับออกมาทางลมหายใจและผิวหนัง ก็จะทำให้เกิดกลิ่นคล้าย แอปเปิ้ลเน่า ซึ่งเป็นหนึ่งในสัญญาณเตือนของโรคเบาหวาน
ในทำนองเดียวกัน กลิ่นยังสามารถเป็นสัญญาณเตือนของโรคอื่น ๆ ได้อีกด้วย
- โรคตับ เมื่อตับซึ่งทำหน้าที่กรองสารพิษทำงานได้ไม่ดี สารพิษจะสะสมในร่างกายและถูกขับออกมาทางลมหายใจและปัสสาวะ ทำให้เกิดกลิ่นที่คล้าย กลิ่นเน่า หรือ ซัลเฟอร์ ที่เหม็นคล้ายไข่เน่า
- โรคไต ไตที่ล้มเหลวในการกรองของเสียจะทำให้ของเสียอย่าง ยูเรีย สะสมในเลือดและถูกเปลี่ยนเป็นแอมโมเนีย ทำให้มีกลิ่นตัวและกลิ่นปากคล้าย แอมโมเนีย
- โรคติดเชื้อ แบคทีเรียบางชนิดก็สร้างกลิ่นเฉพาะตัว เช่น โรคไข้รากสาดน้อย ที่ทำให้เกิดกลิ่นตัวคล้าย ขนมปังอบใหม่ หรือ โรคติดเชื้อ Clostridioides difficile ที่ทำให้ท้องเสียอย่างรุนแรงก็มีกลิ่นเฉพาะเช่นกัน
จมูกมนุษย์ พลังวิเศษที่ถูกมองข้าม
ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์กำลังใช้เครื่องมือที่ซับซ้อนเพื่อวิเคราะห์กลิ่นตัว มีบุคคลหนึ่งที่พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าจมูกของมนุษย์เองก็มีความสามารถที่ไม่ธรรมดา เรื่องราวของ Joy Milne หญิงชาวสก็อตแลนด์วัย 74 ปี เป็นตัวอย่างที่น่าทึ่ง เธอมีความสามารถในการรับรู้กลิ่นที่ละเอียดอ่อนมากจนสามารถรับรู้กลิ่นของโรคพาร์กินสันได้
เรื่องนี้เริ่มต้นเมื่อเธอสังเกตเห็นกลิ่นตัวของสามีที่เปลี่ยนไป เป็น กลิ่นมัสก์ (musky) ที่เธอนิยามว่าเป็น “กลิ่นอับ” ซึ่งเธอบอกว่ามันไม่ใช่กลิ่นที่สามีของเธอเคยมีมาก่อน หลังจากนั้นไม่นาน Les สามีของเธอก็ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคพาร์กินสัน
ไม่กี่ปีต่อมา Joy ได้เข้าร่วมกลุ่มผู้ป่วยพาร์กินสัน และเธอก็ต้องประหลาดใจเมื่อได้กลิ่นตัวแบบเดียวกันนี้จากผู้ป่วยทุกคนในกลุ่ม ทำให้เธอมั่นใจว่ากลิ่นนี้คือสัญญาณของโรคพาร์กินสันจริง ๆ ความสามารถของเธอถูกนำไปทดสอบในห้องปฏิบัติการ โดยนักวิทยาศาสตร์ให้เธอดมเสื้อยืด 12 ตัว ซึ่ง 6 ตัวมาจากผู้ป่วยพาร์กินสัน และอีก 6 ตัวมาจากคนปกติ ผลคือเธอสามารถระบุได้อย่างถูกต้องทุกตัว และที่น่าทึ่งที่สุดคือ เธอยังสามารถชี้ได้ว่ามีคนหนึ่งในกลุ่มคนปกติที่เธอได้กลิ่นเหมือนผู้ป่วยพาร์กินสัน ซึ่งในอีก 8 เดือนต่อมา คนคนนั้นก็ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคพาร์กินสันจริง ๆ
จากจมูกมนุษย์สู่จมูกอิเล็กทรอนิกส์
เรื่องราวของ Joy Milne เป็นแรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์เริ่มศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง ศาสตราจารย์ Perdita Barran และทีมวิจัยที่มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ได้เริ่มต้นภารกิจในการพัฒนา “จมูกอิเล็กทรอนิกส์” ที่สามารถตรวจจับกลิ่นโรคพาร์กินสันได้เหมือนกับที่ Joy ทำ
พวกเขาใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ขั้นสูงอย่าง Gas Chromatography-Mass Spectrometry (GC-MS) เพื่อวิเคราะห์สารเคมีที่ระเหยออกมาจากผิวหนังของผู้ป่วยพาร์กินสัน ผลการศึกษาพบว่าผู้ป่วยพาร์กินสันมีสารเคมีบางชนิด เช่น กรดไขมันสายยาว (long-chain fatty acids) และ ไขมัน (lipids) ในระดับที่แตกต่างจากคนปกติอย่างมีนัยสำคัญ
การค้นพบนี้เปิดประตูสู่การพัฒนา การวินิจฉัยโรคพาร์กินสันในระยะเริ่มต้น ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากโรคนี้ในปัจจุบันมักจะถูกวินิจฉัยได้ก็ต่อเมื่อมีอาการทางระบบประสาทที่ชัดเจนแล้ว ซึ่งนั่นหมายความว่าโรคได้ดำเนินไปในระยะหนึ่งแล้ว การมีวิธีการตรวจหาที่ง่ายและไม่เจ็บปวดจะช่วยให้แพทย์สามารถเริ่มการรักษาได้เร็วขึ้นและอาจช่วยชะลอการลุกลามของโรคได้
สุนัขดมกลิ่น ภูมิปัญญาโบราณที่ยังมีประโยชน์
การนำสัตว์มาช่วยในการวินิจฉัยโรคไม่ใช่เรื่องใหม่ ก่อนที่เราจะมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี สุนัข ได้รับการฝึกฝนให้ใช้จมูกที่ยอดเยี่ยมของมันในการดมกลิ่นเพื่อตรวจจับโรคต่าง ๆ มานานแล้ว ด้วยประสาทสัมผัสที่ไวต่อกลิ่นมากกว่ามนุษย์หลายพันเท่า สุนัขจึงสามารถตรวจจับสารเคมีที่บ่งชี้ถึงโรคได้อย่างแม่นยำ เช่น
- มะเร็ง สุนัขสามารถตรวจจับมะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งรังไข่จากกลิ่นลมหายใจ ปัสสาวะ หรือแม้แต่กลิ่นจากผิวหนังของผู้ป่วย
- โรคเบาหวาน สุนัขบางตัวถูกฝึกให้เตือนผู้ป่วยเบาหวานเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดต่ำหรือสูงเกินไป
- การติดเชื้อ สุนัขสามารถตรวจจับแบคทีเรีย Clostridioides difficile ที่ทำให้เกิดอาการท้องเสียอย่างรุนแรงได้
ความสำเร็จของการใช้สุนัขเหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันว่าการวินิจฉัยด้วยกลิ่นนั้นมีศักยภาพอย่างมาก และยังเป็นแรงบันดาลใจให้นักวิทยาศาสตร์พยายามสร้างเครื่องมือที่สามารถทำหน้าที่ได้เหมือนจมูกของสุนัข โดยการนำ เทคโนโลยี AI และเซ็นเซอร์ที่มีความไวสูงมาใช้ในการจำแนกกลิ่นโรคต่าง ๆ
อนาคตที่ใกล้เข้ามา การวินิจฉัยด้วยกลิ่น
การศึกษาด้าน Odoromics หรือวิทยาศาสตร์แห่งกลิ่น กำลังก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าในอนาคตอันใกล้ การตรวจสุขภาพประจำปีอาจเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง แทนที่จะต้องเจาะเลือดหรือทำ MRI เราอาจเพียงแค่ เป่าลมหายใจลงในเครื่องหรือแปะแผ่นตรวจจับเหงื่อบนผิวหนัง เพื่อให้เครื่องมือวิเคราะห์และแจ้งเตือนความเสี่ยงของโรคต่าง ๆ ได้ทันที
เทคโนโลยีนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยให้การวินิจฉัยโรคในระยะเริ่มต้นทำได้ง่ายและรวดเร็วขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ผู้คนตระหนักถึงสุขภาพของตัวเองได้มากขึ้น และสามารถเริ่มดูแลตัวเองได้ก่อนที่จะเกิดอาการที่รุนแรง การวินิจฉัยด้วยกลิ่นอาจเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยลดภาระให้กับระบบสาธารณสุขและช่วยชีวิตผู้คนได้มากมายในอนาคต
ดังนั้น ครั้งหน้าเมื่อคุณรู้สึกว่ากลิ่นตัวของคุณเปลี่ยนไป ลองสังเกตให้ดี มันอาจเป็นเพียงกลิ่นเหงื่อจากการออกกำลังกาย แต่ก็อาจเป็นเสียงกระซิบจากร่างกายที่บอกให้คุณใส่ใจกับสุขภาพของตัวเองมากขึ้นก็ได้