ไม่ใช่แค่ในสหรัฐฯ แต่ทั้งโลกที่มีการใช้ยาพาราเซตามอล เพื่อบรรเทาอาการปวด ต้องตกใจไปตาม ๆ กันเมื่อประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ของสหรัฐฯ แถลงเตือนประชาชนห้ามกินยาไทลินอล (Tylenol) เพราะอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กเป็นออทิสติก 

โดยวันนี้ 23 กันยายน 2025 ทรัมป์ได้ออกแถลงว่า ออทิสติกในเด็กอาจเชื่อมโยงกับการฉีดวัคซีนและการที่มารดารับประทานไทลินอลระหว่างตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นข้ออ้างที่ไม่มีงานวิจัยรองรับ แต่กลับถูกยกขึ้นมาเป็นนโยบายสาธารณสุขของสหรัฐฯ

ในการแถลงข่าวพิเศษที่ทำเนียบขาว ทรัมป์ยอมรับว่าเขาไม่ใช่แพทย์ แต่ได้แนะนำให้หญิงตั้งครรภ์หลีกเลี่ยงการใช้ยาแก้ปวดชนิดนี้ พร้อมทั้งแนะนำว่าไม่ควรฉีดวัคซีนหลายชนิดรวมกันหรือฉีดเร็วเกินไปในวัยเด็ก

ซึ่งสวนทางกับสมาคมการแพทย์หลายแห่ง ที่ยืนยันจากงานวิจัยมากมายว่า พาราเซตามอลเป็นยาที่ปลอดภัยต่อการใช้ในหญิงตั้งครรภ์ 

องค์กรการแพทย์และกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านออทิสติกหลายสิบแห่ง รวมถึง American Academy of Pediatrics หรือสถาบันกุมารเวชศาสตร์ และ ACOG หรือ รัฐสภาอเมริกันของสูตินรีแพทย์และนรีแพทย์ ต่างออกมาประณาม โดยระบุว่า ไม่มีข้อมูลใดสนับสนุนข้อกล่าวหาดังกล่าว และสิ่งที่ทรัมป์พูดเพียงแต่จะสร้างความกลัวและให้ข้อมูลผิด ๆ

ในขณะเดียวกันที่บริษัท Kenvue ผู้ผลิต Tylenol ออกแถลงการณ์ยืนยันว่า “กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ชี้ชัดว่า พาราเซตามอลไม่ก่อให้เกิดออทิสติก เราไม่เห็นด้วยกับข้ออ้างใด ๆ ที่บอกเป็นอย่างอื่น และกังวลต่อความเสี่ยงที่สร้างขึ้นกับแม่และเด็ก”

ตัวอย่างงานวิจัยที่บ่งชี้ว่ายาพาราเซตามอลไม่เป็นอันตราย

  • การศึกษาปี 2024 ในสวีเดน ที่ติดตามเด็กเกือบ 2.5 ล้านคน ไม่พบความเชื่อมโยงเชิงสาเหตุ ระหว่างการได้รับพาราเซตามอลในครรภ์กับการเกิดออทิสติกหรือความผิดปกติทางพัฒนาการ


  • การทบทวนงานวิจัย 46 ชิ้นในปี 2025 พบความสัมพันธ์บางอย่าง แต่ไม่ได้พิสูจน์ว่าเป็นสาเหตุ นักวิจัยจาก Icahn School of Medicine at Mount Sinai, Harvard University และสถาบันอื่น ๆ ยังแนะนำให้หญิงตั้งครรภ์ใช้ยาเท่าที่จำเป็น ในขนาดต่ำที่สุดและในช่วงเวลาสั้นที่สุด

ข้อมูลจาก International Journal of Gynecology & Obstetrics วารสารนานาชาติสูติวิทยาและสูติศาตร์ ระบุว่าในงานวิจัย เรื่อง “การใช้ยาพาราเซตามอลขณะตั้งครรภ์ ไม่ปลอดภัยเท่าที่เราคิด ?” (Paracetamol use in pregnancy: Not as safe as we may think ?) โดยผลวิจัยชี้ให้เห็นถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นของพาราเซตามอลต่อสมองของทารกในครรภ์ และการศึกษาบางชิ้นพบความสัมพันธ์ระหว่างการได้รับพาราเซตามอลก่อนคลอดในระยะยาวกับผลลัพธ์ด้านพัฒนาการทางระบบประสาท รวมถึงความเสี่ยงที่สูงขึ้นของโรคสมาธิสั้น (ADHD) และโรคออทิสติก (ASD)

อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่างการได้รับยาพาราเซตามอลในครรภ์กับผลลัพธ์ด้านพัฒนาการทางระบบประสาทยังไม่ได้รับการยืนยัน โดยผู้วิจัยให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า ระหว่างที่รอหลักฐานเพิ่มเติมที่อาจยืนยันความสัมพันธ์เชิงสาเหตุระหว่างการได้รับยาพาราเซตามอลก่อนคลอดและผลกระทบต่อพัฒนาการทางระบบประสาทที่ไม่พึงประสงค์ในทารก แนะนำให้สตรีมีครรภ์ใช้ยาพาราเซตามอลเฉพาะในกรณีที่จำเป็นเท่านั้น เช่น อาการปวดอย่างรุนแรงหรือไข้สูง จะลดความเสี่ยงด้านสุขภาพได้ดีกว่า

แม้การออกแถลงของทรัมป์จะสร้างความไม่สบายใจให้กับผู้ป่วยที่ใช้ยาพาราเซตามอลอยู่ แต่ไม่ต้องตระหนกตกใจไป เพราะหน่วยงานกำกับดูแลทั่วโลกยังย้ำว่า “พาราเซตามอลปลอดภัย” ทั้ง MHRA ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพของอังกฤษ และ Therapeutic Goods Administration (TGA) หน่วยงานกำกับดูแลด้านผลิตภัณฑ์บำบัดรักษาโรคของออสเตรเลีย ต่างออกมายืนยันว่า ยังไม่มีหลักฐานใดที่เชื่อมโยงพาราเซตามอลกับออทิสติก และยังคงแนะนำให้ใช้ได้ต่อไปในหญิงตั้งครรภ์