ในปี 2020 ที่ผ่านมาโลกได้รู้จักกับ Covid-19 ที่มีการแพร่ระบาดเมื่อต้นปี 2020 นับเป็นการระบาดของโรคที่เลวร้ายที่สุดที่เกิดขึ้นภายใน 100 ปี ที่ผ่านมา ไม่เพียงเท่านั้นมีผู้ติดเชื้อ Covid-19 มากกว่า 75 ล้านรายและเสียชีวิต 1.6 ล้านคนทั่วโลก การแพร่ระบาดในครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อเราทุกคนในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน หรือแม้แต่การใช้ชีวิประจำวัน และนี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ Livesince นำเสนอให้เราได้เห็นว่า Covid-19 เปลี่ยนโลกของเราในปี 2020 ไปมากขนาดไหน

1. เกิดศัพท์ใหม่

ฟังดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะคำศัพท์ส่วนมากก็เกิดขึ้นใหม่ในทุก ๆ วันอยู่แล้ว แต่ในปี 2020 การแพร่ระบาดของ Covid-19 ทำให้เราได้รู้จักกับคำว่า “social distance” หรือ ระยะห่างทางสังคม เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อ และลดภาระให้เจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาล ไม่เพียงเท่านั้นเหตุการณ์นี้ยังทำให้คำศัพท์ทางระบาดวิทยาอย่างคำว่า R0 (ออกเสียงว่า R-naught) กลายเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น (RO หรือ R-naught คือจำนวนคนโดยเฉลี่ยที่ติดเชื้อจากผู้ติดเชื้อเพียงคนเดียว) และแน่นอน Covid-19 ก็เป็นคำใหม่ที่ถูกกำหนดโดยองค์การอนามัยโลกเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์เช่นกัน

2. แฟชันหน้ากากอนามัย

หลังจากการแพร่ระบาดเกิดขึ้นได้ไม่นานหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ก็ขาดตลาดในไม่ช้า ทำให้ผู้ประกอบการรายเล็กรายใหญ่หันมาผลิตหน้ากากอนามัยแบบผ้ากันมากขึ้น ทำให้หน้ากากอนามัยกลายเป็นส่วนหนึ่งของแฟชั่นไอเทมของพวกเขา ซึ่งเราก็ต้องยอมรับว่าตอนนี้ในคุณไม่สามารถออกจากบ้านโดยไม่สวมหน้ากากอนามัยได้ ใครจะไปคิดกันว่าวันหนึ่งการใส่หน้ากากอนามัยออกจากบ้านจะกลายเป็นเรื่องปกติจริงไหม?

3. ความวิตกกังวล และภาวะซึมเศร้า

ต้องยอมรับว่าข่าวการแพร่ระบาดของ Covid-19 ในยุคที่ข่าวสารสามารถเข้าถึง และแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วส่งผลต่อภาวะความเครียด และความวิตกกังวลของคนได้เป็นอย่างมาก งานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ถูกตีพิมพ์เมื่อเดือนสิงหาคมจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค CDC ระบุว่า ท่ามกลางการแพร่ระบาดระดับความวิตกกังวลภาวะซึมเศร้าและความคิดฆ่าตัวตายเพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมาก จากงานวิจัยไม่สามารถระบุสาเหตุที่แน่ชัดของอัตราการเพิ่มขึ้นได้ แต่มีปัจจัยที่เกี่ยวข้องเช่น การตกงาน การเงิน การหยุดเรียน การเว้นระยะห่างทางสังคม ร่วมถึงการแพร่ระบาดของโรคเองด้วย

4. อัตราการดื่มสูงขึ้น

อีกหนึ่งผลกระทบที่หลาย ๆ คนคาดไม่ถึงนั่นคือการดื่มแอลกอฮอล์ จากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร JAMA Network Open ในเดือนตุลาคม พบว่าในช่วงการแพร่ระบาดการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้น 14% และผู้หญิงมีแนวโน้มการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มากขึ้นอย่างน่าเป็นห่วง

อย่างไรก็ตามนอกจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะเป็นสาเหตุของปัญหาสุขภาพหลายอย่างแล้ว การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปอาจทำให้ปัญหาสุขภาพจิตแย่ลงด้วยเช่นกัน

5. New Normal

หลังจากการแพร่ระบาดเกิดขึ้น ธุรกิจหลายอย่างจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อให้เข้ากับ New Normal เพื่อลดการแพร่ระบาดจากกิจกรรมในชีวิตประจำวัน สถานที่หลายแห่งมีการกำหนดนโยบายการสวมหน้ากาก การจองคิวเพื่อเข้าใช้สถานที่ งดการอยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ถึงแม้ว่าจะไม่มีอะไรที่ป้องกันการติดเชื้อได้แบบ 100% แต่นั่นก็ดีกว่าการไม่ป้องกันเลยจริงไหมคะ?

6. ข่าวลือ

ในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดมีการส่งต่อข้อมูลและข่าวที่ไม่เป็นความจริงเป็นจำนวนมาก เช่นการดื่มสารฟอกขาวช่วยฆ่าเชื้อ Covid-19 ได้บ้าง ดื่มแอลกอฮล์ฆ่าเชื้อได้บ้าง จนไปถึงขนาดที่ว่าเชื้อไวรัสนี้ถูกสร้างขึ้นในห้องปฏิบัติการเลยก็มี อันที่จริงมีงานวิจัยชิ้นหนึ่งตีพิมพ์เมื่อวันที่ 10 สิงหาคมในวารสาร American Journal of Tropical Medicine and Hygiene พบว่าในช่วงการแพร่ระบาดเกิดข่าวลือที่มีความเกี่ยวข้องกับ Coid-19 มากกว่า 2,000 เรื่องเลยทีเดียว! และเรื่องราวส่วนใหญ่ที่ถูกนำไปเล่าต่อกันอย่างผิด ๆ ส่งผลร้ายแรงถึงขั้นต้องเข้ารับการรักษาจากทางโรงพยาบาลหลายพันคน และเสียชีวิตหลายร้อยคน

ดังนั้นเจ้าหน้าที่ที่มีความเกี่ยวข้อง และหน่วยงานทางด้านสาธารณสุขจึงมีความจำเป็นที่จะต้องคอยติดตาม และให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่ประชาชน

7. คนนิยมหันมาเลี้ยงสัตว์มากขึ้น

เพราะเราทุกคนถูกขอร้องให้อยู่ในบ้านให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ทำให้หลายคนรู้สึกเหงา และเพื่อนรักสี่ขาก็เหมือนจะเป็นทางออกที่ดี ตามรายงานของ The Washington Post หลังจากมีการแพร่ระบาดอัตราการอุปการะสุนัขจรจัดเพิ่มสูงขึ้นจากเดิมเป็นสองเท่า นี่ไม่ใช่ข่าวดีสำหรับศูนย์ดูแลสุนัขเท่านั้น แต่มันยังเป็นผลดีต่อเจ้าของอีกต่างหาก เพราะมีงานวิจัยจำนวนมากชี้ให้เราเห็นแล้วว่าการมีเพื่อนรักสี่ขานั้นส่งผลดีต่อสุขภาพจิตของมนุษย์ด้วยเช่นกัน

8. โรงเรียนปิด

แน่นอนว่าโรงเรียนเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่อาจมีการแพร่ระบาดเกิดขึ้นได้เช่นกัน แต่จะหยุดเรียนก็ไม่ได้ หลายโรงเรียนจึงเลือกใช้การเรียนการสอนออนไลน์ แต่ดูเหมือนว่าเด็กหลายคนจะตามไม่ทัน จากผลสำรวจทั่วทั้งรัฐพบว่าผู้ปกครอง 9 ใน 10 คน มีความกังวลว่าลูกของตนเองจะไม่เข้าใจบทเรียน และอาจนำไปสู่การซ้ำชั้นได้เช่นกัน

9. มลภาวะลดลง

นี่อาจเป็นหนึ่งในข้อดีไม่กี่ข้อของ Covid-19 หลังจากมีการประกาศการแพร่ระบาดเกิดขึ้น ทำให้ความวุ่นวายและกิจกรรมต่าง ๆ ในตัวเมืองลดลง ซึ่งดูเหมือนว่ามันช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั่วโลกลงอย่างมาก

จากงานวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Nature Climate Change เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคมพบว่าการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั่วโลกลดลงวันละ 17% ในช่วงต้นปี 2020 เมื่อเทียบกับปี 2019 ซึ่งดูเหมือนว่าจะลดลงมากที่สุดครั้งหนึ่งที่เคยถูกบันทึกไว้ อย่างไรก็ตามการลดลงของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในครั้งนี้ก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ชั้นบรรยากาศของโลกกลับมาดีขึ้นได้ แต่มันก็สามารถลดการสะสมของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไปได้มากทีเดียว

10. วัคซีนตัวใหม่

โดยปกติแล้วการจะพัฒนาวัคซีนตัวหนึ่งต้องใช้เวลาเป็น 10 ปีกว่าจะสำเร็จ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ืคือนักวิจัยจากหลายประเทศสามารถพัฒนาวัคซีนให้สำเร็จได้ภายใน 12 เดือน

เมื่อต้นปี 2020 เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ต้นเหตุของ Covid-19 ซึ่งถือเป็นการเผชิญหน้าครั้งใหม่ของนักวิทยาศาสตร์เพราะเราแทบไม่มีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับมันเลย แต่เมื่อพบไวรัส นักวิจัยก็เริ่มดำเนินการพัฒนาวัคซีนอย่างรวดเร็ว และเริ่มทดลองกับมนุษย์กลางเดือนมีนาคม จนในที่สุดสหรัฐอเมริกาก็ประกาศอนุญาตให้ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัส SARS-CoV-2 ได้เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา (อนุมัติทั้ง Pfizer และ Moderna) วัคซีนทั้งสองชนิดใช้โมเลกุลที่เรียกว่า mRNA กระตุ้นการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่วัคซีน mRNA ได้รับอนุญาตให้ใช้ในคน วัคซีนดังกล่าวได้รับการยกย่องว่าเป็นความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ที่ไม่ธรรมดา และจำนวนการผลิตแรกจะถูกส่งไปยังบุคลากรทางการแพทย์ในสหรัฐอเมริกาในช่วงกลางเดือนธันวาคม

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส

อ้างอิง livescience