นโยบายต่อต้านสิ่งแวดล้อมของ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ส่งผลให้ต้นทุนการเป็นเจ้าของรถยนต์สำหรับคนอเมริกันสูงขึ้น ทั้งราคาซื้อและค่าใช้จ่าย แม้ว่าทรัมป์จะอ้างว่าการยกเลิกกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมจะช่วยลดต้นทุนการผลิตรถยนต์ EV ก็ตาม

ต้นทุนราคาสูงที่ซ่อนอยู่ในนโยบาย 

ปัจจุบัน ราคารถยนต์ใหม่โดยเฉลี่ยในสหรัฐฯ ได้ทะลุ 50,000 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1.6 ล้านบาท) เป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นภาระใหญ่สำหรับผู้บริโภค ขณะเดียวกัน ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงยังคงเป็นค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่ใหญ่ที่สุดของครัวเรือนอเมริกัน โดยเฉลี่ยสูงถึง 2,930 เหรียญสหรัฐฯ (95,000 บาท) ต่อปี !

จากนโยบายของทรัมป์ที่บอกว่าการยกเลิกกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมจะช่วยลดต้นทุนผลิตภัณฑ์ แน่นอนว่าในระยะแรกการผลิตรถ EV อาจจะมีต้นทุนที่สูง แต่ถ้ามองระยะยาวจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายมากขึ้น 

ซึ่งนี่ก็เป็นความผันผวนของกฎระเบียบอุตสาหกรรมยานยนต์สหรัฐฯ (Regulation Whiplash) ที่ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนมหาศาลจากการเปลี่ยนแปลงมาตรฐานประสิทธิภาพและมลพิษของรถยนต์ที่สลับไปมา ตั้งแต่รัฐบาลบารัก โอบามา (Barack Obama) ที่เข้มงวด ส่งต่อทรัมป์ที่ผ่อนคลาย จนถึงยุคโจ ไบเดน (Joe Biden) ที่เข้มงวดอีกครั้ง และปัจจุบันในยุคที่ทรัมป์กลับมาผ่อนคลายนโยบายเรื่องนี้อีกรอบ 

นโยบายไม่แน่นอน สู่การเพิ่มภาระผู้บริโภค 

การเปลี่ยนกฎหมายทุก ๆ 2-3 ปี ทำให้บริษัทผลิตรถยนต์วางแผนและลงทุนพัฒนาโมเดลใหม่ ๆ ที่ต้องใช้เวลาและงบประมาณหลายปีไม่ได้ เมื่อเกิดความวุ่นวายและต้องปรับตัว ต้นทุนเหล่านี้ก็จะถูกผลักไปที่ผู้บริโภคในที่สุด

อีกทั้งการผ่อนคลายมาตรฐานประสิทธิภาพน้ำมันเชื้อเพลิงและมลพิษ ทำให้ผู้ผลิตไม่มีแรงจูงใจในการผลิตรถที่ประหยัดน้ำมัน ส่งผลให้ผู้ขับขี่ต้องจ่ายค่าน้ำมันเพิ่มขึ้น นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าการยกเลิกมาตรฐานนี้อาจทำให้ครัวเรือนต้องเสียค่าเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นรวม 310,000 ล้าน ภายในปี 2050

แน่นอนว่าผลกระทบต่อเศรษฐกิจในอุตสาหกรรมรถยนต์ก็ถดถอยอย่างน่าเสียดายด้วย ในขณะที่ตลาดสำคัญอย่างยุโรปกำลังเดินหน้าแบนรถยนต์สันดาป และจีนที่ผลิตรถ EV ราคาถูกและเป็นที่นิยม ทรัมป์กลับยกเลิกแรงจูงใจและลดการสนับสนุนการผลิตแบตเตอรี่ในประเทศ ทำให้สหรัฐฯ สูญเสียความสามารถในการแข่งขันระดับโลก

สรุปง่าย ๆ คือนโยบายต้าน EV ของทรัมป์ ไม่ได้ช่วยให้คนอเมริกันประหยัดเงิน แต่เป็นการสร้างความวุ่นวายในอุตสาหกรรม ชะลอการเข้าถึงเทคโนโลยีที่ประหยัดกว่า (EV) และที่สำคัญส่งผลทางอ้อมให้ค่าใช้จ่ายด้านน้ำมันเชื้อเพลิงของชาวสหรัฐฯ รวมถึงค่ารถยนต์สูงขึ้นในระยะยาว