“สวัสดีครับ พัสดุกำลังจะเข้าไปส่งนะครับ” เสียงที่แสนคุ้นเคยของยุคสมัยแห่งการเติบโต ขยายตัว และแข่งขันกันอย่างดุเดือดของวงการโลจิสติกส์ ที่ไม่ใช่แค่ในประเทศไทย แต่ธุรกิจการขนส่งพัสดุทั่วโลกเติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

ส่งผลให้ผู้บริโภคอย่างเรา ๆ เห็นการเปลี่ยนแปลงของราคา และนโยบายต่าง ๆ มากมายของขนส่งแต่ละเจ้า ไม่ว่าจะแบบ B2B หรือ B2C แต่นอกจากพฤติกรรมการซื้อของออนไลน์ของคนทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังมีปัจจัยเบื้องหลังท่ามกลางสงครามส่งด่วนอันเข้มข้นนี้ด้วย

การขยายตัวของตลาด E-Commerce

ตลาด E-Commerce ของไทย เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2024 การซื้อ-ขายของบนแพลตฟอร์มออนไลน์มีมูลค่า 1.2 ล้านล้านบาท โดยในปี 2025 คาดว่าตลาดนี้จะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ประมาณ 15% ตลอดช่วงปี 2024-2027 และอาจแตะ 2 ล้านล้านบาทในปี 2027

การที่ผู้บริโภคหันมาซื้อสินค้าทางออนไลน์มากขึ้น ธุรกิจขนส่งจึงกลายเป็นสายพานที่ต้องหมุนเร็วมากยิ่งขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่นอกจากจะสั่งซื้อผ่านมือถือได้อย่างรวดเร็วแล้ว ยังจำเป็นต้องได้รับการรับสินค้าอย่างรวดเร็วเพื่อสร้างความพึงพอใจด้วยเช่นกัน

COVID-19 ดิสรัปต์พฤติกรรมการซื้อ-ขาย

ท่ามกลางวิกฤตการณ์ COVID-19 กระตุ้นให้มนุษย์ดิ้นรนเพื่ออยู่รอดทั้งสังเวียนชีวิต และสังเวียนธุรกิจ หนึ่งในหนทางรอดที่ทุกคนถูกบีบอย่างเลี่ยงไม่ได้ คือการสั่งซื้อของออนไลน์เพื่อลดความเสี่ยงจากโรคระบาด เมื่อพฤติกรรมคนซื้อเปลี่ยน คนขายก็ต้องเปลี่ยนตามไปด้วย

และสิ่งนี้ทำให้คนทั่วโลกเห็นประโยชน์และเข้าถึงความสะดวกสบายในการช็อปปิงออนไลน์ ไปจนถึงการสั่งซื้อของเพื่อบรรเทาความเครียดภายในจิตใจในช่วงโรคระบาด

รายงานจาก McKinsey & Company ในปี 2023 พบว่า หลังวิกฤตนี้ ผู้บริโภคกว่า 75% ยังคงใช้บริการออนไลน์อย่างต่อเนื่อง ธุรกิจโลจิสติกส์ต้องปรับตัวและขยายบริการเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

เทคโนโลยีและ AI ตัวเร่งชั้นดีในวงการโลจิสติกส์

ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเป็นตัวเร่งสำคัญในทุกวงการ รวมถึงวงการส่งพัสดุ บริษัทโลจิสติกส์ทั่วโลกหลายแห่งได้นำระบบอัตโนมัติมาใช้ในระบบคลังหลังบ้าน ช่วยลดความผิดพลาดจากแรงงานมนุษย์ ทั้งในรูปแบบของหุ่นยนต์อัตโนมัติ เครื่องจักร และการจัดการหลังบ้านด้วย AI ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่งได้อย่างมหาศาล ทั้งยังช่วยลดต้นทุนในการดำเนินงาน

บริษัทโลจิสติกส์ระดับโลกเริ่มพัฒนาการส่งสินค้าและพัสดุด้วยโดรนอัตโนมัติเพื่อความสะดวกและรวดเร็วที่มากยิ่งขึ้นเพื่อตอบสนองความพึงพอใจของผู้ซื้อ อย่าง DHL ที่ใช้ AI เข้ามาวิเคราะห์ตลาด พร้อมกับใช้ระบบอัตโนมัติดำเนินการด้านอื่น ๆ ต่อไป ทั้งยังมองในแง่ของมูลค่าบริษัทในระยะยาว อย่างการลงทุนเรื่องความยั่งยืน

การแข่งขันราคาที่รุนแรงและการบริการที่รวดเร็ว

การเข้ามาของเทคโนโลยีจึงบีบให้ผู้เล่นในตลาดโลจิสติกส์ตื่นตัวเพื่อรับมือกับการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นทุกวัน รายที่ไม่สามารถสู้ได้ด้วยเทคโนโลยีออกแคมเปญหรือนโยบายเพื่อขยายทางเลือกของผู้บริโภคเพื่ออยู่รอดในสมรภูมิการส่งด่วนแห่งนี้

สิ่งแรกที่บริษัทผู้ส่งเริ่มเคลื่อนไหว คือการแข่งขันเรื่องราคาส่งที่ถูกมากขึ้น คุ้มค่ามากขึ้น ทั้งชิ้นเล็กชิ้นใหญ่ ในระดับอุตสาหกรรม ร้านค้ารายย่อย และรายบุคคล นอกจากเรื่องของราคาที่หั่นแล้วหั่นอีก

แต่ละบริษัทยังผุดบริการใหม่ ๆ ออกมามากมาย แย่งชิงการตอบสนองกับความต้องการอันหลากหลายของลูกค้าแต่ละแบบ อย่างการส่งสินค้าภายในวันเดียว (Same-day delivery) และการเพิ่มความสะดวกผ่านจุดรับ-ส่งสินค้า (Pick-up points) ที่เพิ่มความสะดวกในการเข้าถึง หรือการขนส่งสินค้าแต่ละประเภท อย่างอาหารแช่แข็ง ผักผลไม้ และพัสดุชิ้นใหญ่

ไปรษณีย์ไทยเป็นหนึ่งในตัวอย่างของบริษัทโลจิสติกส์ที่ปรับตัวเพื่ออยู่รอด อย่างการเปิดบริการส่งพัสดุใน 1 วัน และมีจุดบริการนับหมื่นจุดทั่วประเทศ ส่งผลให้ปี 2023 พลิกกลับมาได้กำไรหลังจากขาดทุนในช่วงโควิด-19 และอยู่ในสถานะได้กำไรมาจนถึงตอนนี้

สะท้อนให้เราเห็นถึงการปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อเอาตัวรอดในสถานการณ์ที่สุ่มเสี่ยง ใครที่กล้าปรับตัว หรือมองเห็นช่องทางก่อนย่อมได้เปรียบในตลาด

นอกจากเรื่องของค่าใช้จ่าย และบริการที่ตอบโจทย์แล้ว เรายังเห็นการโฆษณาและการทำการตลาด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในความเร็วและความปลอดภัยในการจัดส่งด้วย เรียกได้ว่าตลาดโลจิสติกส์เป็นตัวอย่างการแข่งขันแบบรอบด้านในโลกยุคใหม่ได้อย่างชัดเจน

โดยสรุปแล้ว ปัจจัยที่ทำให้ธุรกิจการส่งพัสดุเติบโตอย่างรวดเร็วคือการขยายตัวของ E-Commerce, พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปหลัง COVID-19, การนำเทคโนโลยีมาใช้ทั้งหน้าบ้านและหลังบ้าน, การแข่งขันด้านราคาและความเร็ว ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้ตลาดโลจิสติกส์ทั้งในไทยและต่างประเทศเติบโตและมีการแข่งขันสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยังดุเดือดมากขึ้นเรื่อย ๆ