หลายคนอาจจะคุ้นหูกันบ้างกับประโยคที่ว่า “ช่วงไหนมาม่าขายดี แสดงว่าเศรษฐกิจแย่” หรือสิ่งที่บางคนเรียกว่า MAMA Index ดัชนีชาวบ้านที่อ้างอิงจากยอดขายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป โดยเฉพาะแบรนด์ “มาม่า” ที่ฝังแน่นอยู่ในครัวคนไทยมาหลายสิบปี
แนวคิดนี้ตั้งอยู่บนสมมติฐานง่าย ๆ ว่า เมื่อคนรัดเข็มขัด ก็จะหันมากินของถูกลง และมาม่าก็เป็นตัวเลือกยอดฮิตอันดับหนึ่ง
แต่ในโลกแห่งความซับซ้อนของเศรษฐกิจ มีอะไรหลายอย่างที่ไม่ได้ตรงไปตรงมาเสมอไป เพราะยอดขายที่พุ่งอาจไม่ได้สะท้อนแค่การประหยัด แต่รวมไปถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป การออกสินค้าพรีเมียมใหม่ หรือแม้แต่การส่งออกที่เติบโตในต่างประเทศ
คำถามจึงเกิดขึ้นว่า MAMA Index บ่งบอกทิศทางเศรษฐกิจได้จริงหรือไม่ ? หรือเป็นแค่คำเปรียบเปรยที่พูดกันติดปาก บทความนี้จะพาไปไขข้อสงสัยอย่างเจาะลึกทั้งในมุมเศรษฐศาสตร์ มุมการตลาด และมุมของแบรนด์ “มาม่า” เอง ว่าดัชนีเมนูด่วนนี้สะท้อนอะไรให้เราเห็นจริง ๆ บ้าง
MAMA Index คืออะไร ?
บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนั้นเป็นสินค้าที่ราคาไม่แพง กินง่าย และเป็นที่นิยมในทุกกลุ่มคนมีพื้นฐาน จึงสอดคล้องกับแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ที่เรียกว่า ทฤษฎีสินค้าด้อยค่า (Inferior Goods) เมื่อเศรษฐกิจตกต่ำหรือรายได้ประชาชนลดลง ความต้องการบริโภคสินค้าที่มีราคาถูกอย่างบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจะเพิ่มสูงขึ้นสวนทางกัน
แต่ดัชนีนี้ไม่ได้เป็นมาตรวัดทางการของหน่วยงานเศรษฐกิจโดยตรง แต่เป็นแนวคิดที่คนทั่วไปพูดถึงกันมานานจนติดหู ใช้ตีความภาพรวมเศรษฐศาสตร์มหภาคได้แบบหยาบ ๆ
ซึ่งต้นกำเนิดชื่อ MAMA Index ก็มาจากการที่มาม่าเป็นยี่ห้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรายใหญ่ และกลายเป็นชื่อเรียกแทนผลิตภัณฑ์อาหารประเภทนี้ โดยแนวคิดเรื่อง MAMA Index ในไทยมีมาตั้งแต่หลังวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง ในช่วงปี พ.ศ. 2540 ซึ่งมีผู้สังเกตว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปขายดีผิดปกติช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ
และต่อมา คุณบุญเกียรติ โชควัฒนา ผู้บริหารเครือสหพัฒน์ ก็เคยกล่าวถึง “MAMA Index” ว่าเป็นดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจแบบชาวบ้าน โดยถ้ามาม่าขายดีมากก็อาจสะท้อนว่าช่วงนั้นคนรัดเข็มขัดกันมาก เศรษฐกิจไม่ดี คนไทยจำนวนไม่น้อยจึงคุ้นเคยกับวลีนี้เรื่อยมา
หลักการนี้ทำให้ประโยคยอดฮิต “ถ้าเศรษฐกิจไม่ดี ยอดขายมาม่าจะเติบโตสวนทาง” เนื่องจากคนจำนวนมากต้องรัดเข็มขัด เปลี่ยนมาบริโภคสินค้าราคาถูกอย่างมาม่ามากขึ้น ในทางกลับกัน หากเศรษฐกิจดี คนมีเงินก็จะซื้ออาหารอย่างอื่นที่ดีกว่า ทำให้ยอดขายมาม่าอาจทรงตัวหรือลดลง
MAMA Index ใช้วัดเศรษฐกิจไทยได้จริง ?
คุณพันธ์ พะเนียงเวทย์ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ ยืนยันกับสำนักข่าว The Standard ว่า “เศรษฐกิจดีหรือไม่ดี ‘มาม่า’ ก็ยังขายดี” และไม่สามารถใช้ยอดขายมาม่ามาชี้วัดเศรษฐกิจไทยได้ตามที่หลายคนเข้าใจ เนื่องจากรายได้ของมาม่าเติบโตขึ้นทุกปีตลอด 20-30 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีปีไหนที่รายได้ลดลงเลย เพียงแต่อัตราการโตจะมากหรือน้อยต่างกันเท่านั้น ซึ่งบ่งชี้ว่าความเชื่อมโยงระหว่างยอดขายมาม่ากับภาวะเศรษฐกิจอาจไม่ได้สัมพันธ์กันทั้งหมด
นอกจากนี้ งานศึกษาของ TISCO Wealth พบว่าเทรนด์ยอดขายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไม่ได้ผกผันกับภาวะเศรษฐกิจเสมอไป ดังจะเห็นว่าในช่วงวิกฤต COVID-19 ปี 2020-2021 ซึ่ง GDP ไทยหดตัวลง การบริโภคโดยรวมของประชาชนก็ลดลงตาม แต่ความต้องการบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกลับยังเติบโตเป็นบวก เนื่องจากคนแห่ซื้อกักตุนสินค้าและมองหาอาหารราคาถูก ต่อมาเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวในปี 2022-2023 กำลังซื้อรวมดีดตัวสูงขึ้น ยอดใช้จ่ายด้านอื่น ๆ เพิ่มขึ้นเร็วกว่ายอดซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
ทำไมต้องเรียกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปว่า ‘มาม่า’
แบรนด์มาม่าครองตำแหน่งเบอร์หนึ่งในตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไทยมายาวนาน เมื่อเอ่ยถึง “มาม่า” ชาวไทยหลายคนเข้าใจโดยอัตโนมัติถึงบะหมี่รสต้มยำน้ำข้น หรือน้ำใสที่กินง่ายแบรนด์นี้ ถึงขั้นเรียกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแทบทุกรูปแบบว่า ‘มาม่า’ กันเลยทีเดียว
ความนิยมนี้สะท้อนในตัวเลขบริโภคเฉลี่ยของคนไทย โดยปัจจุบันคนไทยกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปประมาณ 53.2 ซองต่อคนต่อปี หรือเกือบสัปดาห์ละ 1 ซอง ถือเป็นอันดับ 8 ของโลก
ประกอบกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ทำให้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไม่ได้ถูกมองว่าเป็นอาหารสำหรับคนรายได้น้อยเท่านั้น แต่กลายเป็นของโปรดในใจผู้บริโภคทุกคน ด้วยความเป็นเมนูง่าย ๆ สะดวกในการปรุง กลายเป็นของสามัญประจำบ้านที่ทุกครัวเรือนบริโภค
ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์และกลยุทธ์การตลาดต่อเนื่อง ทำให้ยอดขายเติบโตได้แม้เศรษฐกิจจะไม่ซบเซาก็ตาม ตัวอย่างเช่น การออกสินค้าพรีเมียมอย่าง มาม่า OK ออเรียนทัลคิตเชนจำหน่ายซองละ 15 บาท นอกจากนี้การขยายตลาดไปยังต่างประเทศก็ช่วยดันยอดขายโตสวนทางกำลังซื้อในประเทศ ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ยอดขายมาม่าเติบโตได้โดยไม่อิงกับภาวะเศรษฐกิจไทยเพียงอย่างเดียว
เสริมมุมมองนักเศรษฐศาสตร์ต่อ MAMA Index
งานวิจัยของศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นสินค้าที่มียอดขายเติบโตสวนกระแสกับสินค้าอื่น ๆ ในยามเศรษฐกิจฝืดเคือง เนื่องจากราคาถูกและตอบโจทย์ชีวิตเร่งรีบของคนยุคใหม่ จึงมักได้รับผลกระทบน้อยหรือกลับได้ประโยชน์เมื่อผู้บริโภคประหยัดค่าใช้จ่าย
ด้านนักเศรษฐศาสตร์ไทยอย่างเช่น ศ.ดร. พิริยะ ผลพิรุฬห์ ก็เคยอธิบายผ่านบทความส่วนตัวว่า ในภาวะเงินเฟ้อสูง ผู้บริโภคอาจลดการบริโภคสินค้าปกติที่ราคาแพงลง และหันมาบริโภคสินค้าทดแทนราคาถูกมากขึ้น ทำให้ยอดขายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเพิ่มขึ้นได้
แต่นั่นเป็นเพียงหนึ่งใน “ผลของอำนาจซื้อที่ลดลง” ไม่ใช่ตัวบ่งชี้เชิงสถิติที่ชัดเจนของภาวะเศรษฐกิจทั้งหมด เพราะยังมีปัจจัยอื่น ๆ ในระบบเศรษฐกิจที่ต้องพิจารณาประกอบ อาทิ การจ้างงาน นโยบายรัฐ ฯลฯ
ดังนั้น MAMA Index จึงเป็นได้แค่สัญญาณเตือนเล็ก ๆ ที่อาจต้องใช้ร่วมกับดัชนีอื่น เช่น ดัชนีราคาสินค้าอุปโภคบริโภค หรือดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในการประเมินภาพรวมเศรษฐกิจ
ตัวอย่างดัชนีสินค้าอื่น ๆ สะท้อนภาพเศรษฐกิจ
MAMA Index ไม่ใช่ดัชนีแรกที่ใช้สินค้าอุปโภคบริโภคมาอธิบายภาวะเศรษฐกิจ ในระดับสากลมีตัวอย่างดัชนีชื่อดังหลายตัวที่ใช้อ้างอิงอย่างไม่เป็นทางการ เช่น
Big Mac Index
Big Mac Index คิดค้นโดยนิตยสาร The Economist ในปี ค.ศ. 1986 เป็นการใช้ราคาแฮมเบอร์เกอร์ บิ๊กแมค ของแมคโดนัลด์ในแต่ละประเทศมาเปรียบเทียบกำลังซื้อและความสมดุลของค่าเงิน (Purchasing Power Parity)
หากประเทศใดราคา Big Mac ถูกกว่าเมื่อเทียบอัตราแลกเปลี่ยน ก็แปลว่าค่าเงินนั้นอาจถูกประเมินต่ำ เป็นต้น ดัชนีนี้ได้รับความนิยมเพราะเรียบง่ายและสนุก แต่ก็เป็นแค่แนวทางคร่าว ๆ ในการดูค่าเงินเท่านั้น
Lipstick Index
Lipstick Index แนวคิดนี้มาจาก ลีโอนาร์ด ลอเดอร์ (Leonard Lauder) ผู้บริหารเครื่องสำอาง Estée Lauder ช่วงต้นทศวรรษ 2000s เขาสังเกตว่าในยามเศรษฐกิจถดถอย ผู้หญิงมีแนวโน้มจะซื้อลิปสติก ซึ่งเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยชิ้นเล็ก ราคาถูกกว่าเครื่องสำอางอื่น ๆ มากขึ้น เนื่องจากไม่สามารถจับจ่ายสินค้าราคาแพงอย่างเสื้อผ้าหรือกระเป๋าหรูได้ตามเดิม
และมักถูกยกมาอธิบายพฤติกรรมการใช้จ่ายในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ อย่างไรก็ตาม งานวิจัยต่อมาพบว่าลิปสติกจะขายดีหรือไม่ยังขึ้นอยู่กับเทรนด์แฟชั่นและปัจจัยอื่น ๆ ด้วย จึงไม่ได้เป็นตัวชี้วัดเศรษฐกิจที่เชื่อถือได้เสมอไป
Men’s Underwear Index
Men’s Underwear Index แนวคิดโดย อลัน กรีนสปัน (Alan Greenspan) อดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) กล่าวไว้ว่า ยอดขายชุดชั้นในชายสามารถเป็นตัวบ่งชี้เศรษฐกิจได้ เนื่องจากผู้ชายมักไม่ซื้อกางเกงในใหม่หากไม่จำเป็น ในช่วงเศรษฐกิจไม่ดี ยอดขายจะซบเซาหรือหดตัว เพราะผู้ชายจะใช้ของเก่าไปก่อน แต่พอเศรษฐกิจฟื้น ยอดขายก็จะกลับมาเติบโต
Hemline Index
Hemline Index ทฤษฎีเก่าจากปี 1926 โดย จอร์จ เทย์เลอร์ (George Taylor) ระบุว่าความยาวกระโปรงของแฟชั่นสตรีสัมพันธ์กับเศรษฐกิจ (กระโปรงสั้นในยุคเศรษฐกิจรุ่งเรือง และกระโปรงยาวในยุคตกต่ำ) อย่างไรก็ตาม แนวคิดนี้ปัจจุบันถือว่าเป็นเพียงเรื่องสนุกเชิงสถิติ เพราะแฟชั่นได้รับอิทธิพลจากปัจจัยหลายอย่าง ไม่ได้ขึ้นกับเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว
นอกจากนี้ยังมีดัชนีสินค้าแปลก ๆ อีก เช่น Champagne Index (ยอดขายแชมเปญในยามคนฉลองหรือไม่ฉลอง), Waffle House Index (ใช้การเปิด-ปิดร้านอาหาร Waffle House ในสหรัฐฯ เพื่อประเมินความรุนแรงหลังภัยพิบัติ), KFC Index (ราคาไก่ทอด KFC ในแอฟริกาเพื่อวัดเงินเฟ้อ) เป็นต้น ซึ่งล้วนเป็นตัวอย่างการหาตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจจากของใกล้ตัวทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์มักเตือนว่า ดัชนีเหล่านี้เป็นเพียงดัชนีขำ ๆ หรือเป็นข้อสังเกตที่ให้มุมมองเสริมเท่านั้น ไม่ควรใช้แทนที่ดัชนีหลักที่ผ่านการวิจัยอย่างเป็นระบบ แม้จะฟังดูเข้าใจง่ายและมีตัวอย่างยืนยันบางช่วงเวลา แต่มันก็ไม่สามารถแทนความซับซ้อนของเศรษฐกิจจริงได้ทั้งหมด จึงควรใช้ควบคู่กับดัชนีอื่นและวิเคราะห์ด้วยความรอบด้าน จึงจะได้ภาพที่ชัดเจนของสภาพเศรษฐกิจไทยในแต่ละช่วงนั่นเอง