ชีวิตคนเราแตกต่างกันไปตามวิธีคิดและพฤติกรรมทางการเงินของแต่ละคน ซึ่งปฎิเสธไม่ได้เลยว่าไลฟ์สไตล์ทางการเงิน (financial lifestyle) ก็เป็นส่วนสำคัญ สะท้อนแนวคิดเรื่องการใช้จ่าย การออม และรูปแบบการใช้ชีวิตของเรา

บทความนี้จะพาไปรู้จักกับ 6 กลุ่มไลฟ์สไตล์การเงินที่มักถูกพูดถึง ได้แก่ HENRYs, FIRE, YOLO, DINK, PANK และ NEET แต่ละกลุ่มมีลักษณะเฉพาะตัวทั้งในด้านพฤติกรรมการเงิน ค่านิยมการใช้ชีวิต ตลอดจนแนวทางการวางแผนการเงินของตัวเอง

HENRYs รายได้สูงแต่ยังไม่รวย

HENRYs ย่อมาจาก “High Earners, Not Rich Yet” หมายถึง “ผู้มีรายได้สูง แต่ยังไม่มั่งคั่ง” กลุ่มนี้คือคนที่มีรายได้ต่อปีในระดับสูงมาก (เช่นประมาณ $250,000–$500,000 ต่อปี หรือราว 8–16 ล้านบาท) แต่ยังไม่ได้สะสมทรัพย์สินมากพอที่จะถือว่าร่ำรวยจริง ๆ

เนื่องจากรายได้ก้อนใหญ่ของ HENRYs มักถูกใช้จ่ายไปกับค่าครองชีพและค่าใช้จ่ายส่วนตัวต่าง ๆ เช่น ค่าอาหาร ที่อยู่อาศัย การศึกษา หรือไลฟ์สไตล์ ทำให้เหลือเงินออมหรือเงินลงทุนสำหรับอนาคตไม่มากนัก แม้จะมีรายได้สูง แต่ภาระค่าใช้จ่ายที่สูงตาม

ผู้ที่จัดอยู่ในกลุ่ม HENRYs มักเป็นคนวัยทำงานตอนต้นถึงวัยกลางคนที่ประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน มีรายรับดีและมีศักยภาพที่จะเติบโตในอนาคต คนกลุ่มนี้มักให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตที่สะดวกสบายและทันสมัย เช่น การอยู่อาศัยในเมืองใหญ่ ซื้อของแบรนด์เนม ท่องเที่ยวต่างประเทศ หรือส่งลูกเข้าโรงเรียนดี ๆ 

แนวทางการวางแผนการเงินสำหรับ HENRYs เนื่องจากรายได้ส่วนใหญ่หมดไปกับรายจ่าย HENRYs ควรปรับสมดุลการเงินด้วยการ ควบคุมค่าใช้จ่ายและเพิ่มการออมลงทุนให้มากขึ้น เช่น ลดหนี้สินที่มีอยู่ เพิ่มการนำเงินไปลงทุนหรือออมในบัญชีเกษียณ และวางแผนลดหย่อนภาษีอย่างเหมาะสม

FIRE ปลดเกษียณตัวเองให้เร็วสุดขีด

FIRE ย่อมาจาก “Financial Independence, Retire Early” คือ “มีอิสรภาพทางการเงิน เกษียณอายุก่อนวัย” ซึ่งเป็นแนวคิดที่ตั้งเป้าจะเกษียณจากการทำงานประจำให้ได้เร็วกว่าเกณฑ์ปกติมาก โดยยอมแลกกับการใช้ชีวิตอย่างประหยัดเก็บออมเงินให้ได้สัดส่วนสูงมากของรายได้ตั้งแต่ช่วงวัยทำงาน

ซึ่งแนวคิด FIRE ได้รับความนิยมจากหนังสือ “Your Money or Your Life” ที่กระตุ้นให้คนตระหนักถึงการแลกเวลาในชีวิตกับเงินที่หามา ทุก ๆ การใช้จ่ายควรคิดเทียบเป็นจำนวนชั่วโมงที่เราต้องทำงานแลกมันมา

หลักสำคัญคือความ มักน้อยและมีวินัยทางการเงินขั้นสูง – ใช้จ่ายเท่าที่จำเป็นและออมให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ คนสาย FIRE หลายคนตั้งเป้าออมเงินให้ได้มากถึง 50-75% ของรายได้ต่อปี ในช่วงที่ยังทำงานอยู่ จากนั้นนำเงินออมเหล่านี้ไปลงทุนสร้างผลตอบแทนทบต้น ด้วยความหวังว่าจะสะสมเงินก้อนใหญ่ให้ถึงเป้าหมายเลี้ยงดูตัวเองได้ด้วยผลตอบแทนไปตลอดชีวิต

เมื่อเกษียณเร็ว พวกเขาจะดำรงชีพด้วยการถอนเงินจากพอร์ตเงินลงทุนของตนเองออกมาใช้ทีละน้อยในแต่ละปี โดยหลักการนิยมใช้กฎ 4% คือถอนมาใช้ประมาณปีละ 3-4% ของพอร์ต และปล่อยให้เงินที่เหลือเติบโตต่อในตลาดทุน เพื่อให้พอร์ตนี้เลี้ยงตัวเองได้อย่างยั่งยืน จึงต้องคอยติดตามปรับแผนการลงทุนของตนให้เหมาะสมและรักษาวินัยการใช้จ่ายหลังเกษียณอย่างเคร่งครัด เพื่อรักษาเงินก้อนนี้ต้องอยู่ให้ได้อีกหลายสิบปี

การเกษียณเร็วแบบนี้สร้างแรงบันดาลใจให้หลาย ๆ คนหันมาใส่ใจการออมและการลงทุน เพื่อความมั่นคงในระยะยาว มากกว่าจะใช้จ่ายไปวัน ๆ โดยไม่คิดถึงอนาคต

YOLO ใช้เงินกับปัจจุบันเต็มที่ เพราะชีวิตมีครั้งเดียว

YOLO ย่อมาจาก “You Only Live Once” ที่ว่า “ชีวิตคนเรามีครั้งเดียว” ใช้ชีวิตให้เต็มที่กับปัจจุบัน คำนี้กลายเป็นสโลแกนที่นิยมในหมู่คนรุ่นใหม่ช่วงทศวรรษ 2010s โดยเฉพาะในวัฒนธรรมป๊อป ซึ่งถูกหยิบมาใช้บ่อยในการตัดสินใจบางอย่างที่อาจดูเสี่ยงหรือสุรุ่ยสุร่าย เช่น ซื้อของชิ้นใหญ่โดยไม่ได้วางแผนล่วงหน้า หรือออกเที่ยวสนุกสนานแม้จะเหลือเงินเก็บไม่มาก คนที่ยึดแนวคิด YOLO ในการใช้ชีวิตจึงมักมี พฤติกรรมทางการเงินแบบ “อยากได้ต้องได้ อยากใช้ก็ใช้” ให้รางวัลกับตัวเองวันนี้เพราะไม่อยากเสียโอกาสไป

คนสาย YOLO ให้คุณค่ากับประสบการณ์และความสุขทันทีมากกว่าความมั่นคงระยะยาว คนกลุ่มนี้เชื่อว่าควรใช้ชีวิตเดี๋ยวนี้ ทำสิ่งที่อยากทำตอนนี้ เพราะเราไม่รู้ว่าจะมีวันพรุ่งนี้หรือไม่ ทำให้การเงินสำหรับคนสาย YOLO จึงมักเน้นการใช้จ่ายมากกว่าเก็บออม หลายคนยอมใช้เงินเกินกำลังของตัวเองเพื่อสนองความต้องการทันที ส่งผลให้อาจมีสัดส่วนการออมน้อย

แม้การใช้ชีวิตแบบ YOLO สร้างชีวิตมีสีสันและประสบการณ์มากมายในระยะสั้น แต่หากไม่มีการวางแผนการเงินรองรับเลย ในระยะยาวอาจนำไปสู่ปัญหาการเงินได้ เช่น ไม่มีเงินออมฉุกเฉิน เวลาเกิดเหตุไม่คาดฝัน ไม่มีเงินเก็บเพื่อเกษียณ หรือมีหนี้สะสมจำนวนมากจากการใช้จ่ายเกินตัว

วางแผนการเงินอย่างไรในสไตล์ YOLO ด้วยการนำพลังของ YOLO มาใช้ในทางที่เป็นประโยชน์ได้ เช่น ใช้เป็นแรงจูงใจให้ลงมือทำทันทีกับเรื่องการเงินที่สำคัญ วันนี้คือวันที่ดีที่สุดที่จะเริ่มศึกษาเรื่องเงินทอง เริ่มออมเงิน และปรับนิสัยการใช้จ่าย เพื่อให้เราสามารถใช้ชีวิตอย่างเต็มที่โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการเงินในภายหลัง

DINK ชีวิตคู่รายได้สองทาง ไม่มีบุตร

DINK ย่อมาจาก “Double Income, No Kids” หมายถึง คู่รักหรือครอบครัวที่มีรายได้ 2 ทาง แต่ไม่มีลูก นิยมเลี้ยงสัตว์เลี้ยงแทน ครอบครัว DINK จึงมักมีสถานะการเงินที่คล่องตัวกว่าครอบครัวทั่วไปที่มีลูก เพราะไม่มีภาระค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตร รายได้รวมของครอบครัวสามารถนำไปใช้กับเป้าหมายทางการเงินอื่น ๆ ได้เต็มที่ เช่น ออมเพื่อซื้อบ้าน ลงทุน หรือใช้จ่ายกับไลฟ์สไตล์ของคู่รักเอง

รูปแบบชีวิต DINK เป็นที่พูดถึงมากขึ้นในยุคปัจจุบันที่หลายคู่แต่งงานกันแต่ตัดสินใจจะไม่มีลูก โดยเฉพาะในสังคมเมืองที่ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูลูกสูงและค่านิยมเรื่องการมีลูกเปลี่ยนไป

พวกเขามักมีเงินออมและเงินลงทุนสูงกว่าค่าเฉลี่ย เพราะสามารถกันเงินส่วนที่ถ้าหากมีลูกต้องใช้ไป (ค่าอาหาร เสื้อผ้า การศึกษา ฯลฯ) มาออมได้ มีความยืดหยุ่นทางการเงินสูง สามารถวางแผนการใช้จ่ายและการออมได้ง่ายกว่าคนที่มีลูก ช่วยให้มีโอกาสบรรลุเป้าหมายเร็วขึ้น

PANK หญิงแกร่งไม่มีลูก

PANK ย่อมาจาก “Professional Aunt, No Kids” หรือหมายถึง “คุณป้า/น้าผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จในงาน แต่ไม่มีลูกของตัวเอง” คำนี้ถูกบัญญัติขึ้นครั้งแรกในปี 2008 โดย Melanie Notkin นักเขียนผู้ก่อตั้งชุมชน Savvy Auntie เพื่อใช้อธิบายกลุ่มผู้หญิงโสดหรือแต่งงานแล้วแต่ไม่มีลูก ที่มีหน้าที่การงานก้าวหน้า รายได้ดี

ผู้หญิงกลุ่ม PANK มักเป็นคนเมืองรุ่นใหม่วัย 20-40 ที่ตัดสินใจใช้ชีวิตแบบไม่มีลูก มีชีวิตส่วนตัวที่ อิสระ คล่องตัว แต่พวกเธอก็ยังสามารถสัมผัสความสุขจากการได้มีส่วนร่วมในชีวิตเด็ก ๆ ผ่านบทบาทคุณป้า/น้าของหลานหรือเด็กใกล้ตัวแทน

การวางแผนการเงินและอนาคตของ PANK คล้ายกับคู่รัก DINK ผู้หญิงกลุ่ม PANK ควรใช้โอกาสที่มีรายได้ดีและไม่มีภาระเลี้ยงดูบุตร ในการสร้างความมั่นคงให้ชีวิตระยะยาวของตนเอง ลงทุนเพิ่มมูลค่าทรัพย์สิน และทำประกันสุขภาพ ประกันชีวิตไว้รองรับยามฉุกเฉิน เนื่องจากเมื่อเข้าสู่วัยชรา คนกลุ่มนี้จะไม่มีลูกคอยดูแล การเตรียมเงินทองและการดูแลตัวเองให้เพียงพอจึงเป็นสิ่งสำคัญ

NEET คนวัยรุ่นที่ไม่ได้เรียน ไม่ได้ทำงาน

NEET ย่อมาจาก “Not in Education, Employment, or Training” หมายถึง “บุคคลที่ไม่ได้อยู่ในระบบการศึกษา ไม่ได้มีงานทำ และไม่ได้กำลังฝึกอบรมวิชาชีพใด ๆ” คำนี้มักใช้กล่าวถึงเยาวชนหรือคนหนุ่มสาวช่วงอายุประมาณ 15–24 ปีที่ไม่ได้ประกอบอาชีพหรือเรียนต่อในเวลานั้น โดยอาจจะว่างงานอยู่บ้าน ไม่ได้ศึกษาต่อ และไม่ได้เข้ารับการฝึกทักษะอาชีพใด ๆ

แนวคิด NEET เริ่มใช้ครั้งแรกในสหราชอาณาจักรราวปลายยุค 1990s เพื่อสะท้อนปัญหาคนหนุ่มสาวที่หลุดออกจากวงจรทั้งการเรียนและการทำงาน และภายหลังก็แพร่หลายไปยังหลายประเทศรวมทั้งญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สหรัฐอเมริกา เป็นต้น

คนกลุ่มนี้คอยพึ่งพิงการสนับสนุนจากครอบครัวหรือเงินช่วยเหลือจากรัฐในการดำรงชีวิต ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของพวกเขามักเป็นภาระของพ่อแม่ผู้ปกครอง หรือกินเงินเก็บที่มีอยู่ บางคนอาจหารายได้เล็ก ๆ น้อย ๆ จากงานไม่ประจำหรือออนไลน์ แต่โดยหลักคือยังไม่สามารถพึ่งพาตัวเองทางการเงินได้

หากคนคนหนึ่งอยู่ในภาวะ NEET เป็นเวลานาน ย่อมสูญเสียโอกาสในการพัฒนาตนเอง ทั้งด้านความรู้ ทักษะการทำงาน และประสบการณ์ชีวิตการทำงาน เมื่อเวลาผ่านไปก็จะยิ่งกลับเข้าสู่ตลาดงานได้ยากขึ้น ส่งผลให้ขาดความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว

โดยตัวเลขประมาณการล่าสุดโดยองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ระบุว่าในปี 2023 มีเยาวชนอายุ 15–24 ปีทั่วโลกกว่า 21.7% ที่จัดอยู่ในกลุ่ม NEET หรือเกิน 1 ใน 5 ของคนหนุ่มสาวทั่วโลก ไม่มีงานทำและไม่ได้เรียนต่อ ถือเป็นสัญญาณที่หลายประเทศต้องเร่งแก้ไข

การวางแผนการเงินขั้นแรกคือการวางแผนพัฒนาตนเอง ให้กลับเข้าสู่ระบบการทำงานหรือการศึกษา เช่น อาจเริ่มจากเข้ารับการฝึกอบรมวิชาชีพระยะสั้น เข้าคอร์สเพิ่มพูนทักษะที่ตลาดงานต้องการ หรือขวนขวายหาประสบการณ์ทำงานไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใด เพื่อสร้างโปรไฟล์ให้พร้อมสมัครงานใหม่ หารายได้และสร้างความมั่นคงให้ชีวิตตนเอง ลดภาระผู้อื่น และกลับมาเป็นกำลังสำคัญของเศรษฐกิจและสังคมได้อีกครั้ง

ไม่ว่าคุณจะอยู่ในกลุ่มไลฟ์สไตล์การเงินแบบใด การตระหนักรู้ถึงข้อดี-ข้อเสียและผลลัพธ์ระยะยาวของแนวทางที่คุณเลือกคือสิ่งสำคัญที่สุด คนเรามีค่านิยมและความสุขที่ต่างกัน บางคนให้ค่ากับความมั่นคง บางคนให้ค่ากับการใช้ชีวิตวันนี้

แต่สุดท้ายแล้ว การวางแผนการเงินส่วนบุคคลที่ดีคือการหาสมดุลระหว่างปัจจุบันและอนาคต ให้เงินทองรับใช้ชีวิตเราได้ทั้งวันนี้และวันข้างหน้าอย่างลงตัว จงเริ่มทบทวนเป้าหมายชีวิตตัวเอง ดูว่าแนวทางปัจจุบันตอบโจทย์หรือไม่ และปรับแผนการเงินให้สอดคล้องกับชีวิตที่คุณอยากให้เป็นในระยะยาว เพื่อก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและมีความสุขควบคู่กันได้