Tesla รายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2025 ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาด ทั้งรายได้และกำไร แม้จะยังคงแผนเปิดสายการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าราคาประหยัดในช่วงครึ่งหลังของปีหน้า และยืนยันว่า Robotaxi แบบไร้คนขับจะเข้าสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ในปี 2026

รายได้รวมของ Tesla อยู่ที่ 22,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 742,500 ล้านบาท ลดลง 12% จากปีก่อน และต่ำกว่าที่ Bloomberg คาดไว้ที่ 22,640 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

ขณะที่กำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 0.40 เหรียญสหรัฐฯ เทียบกับที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 0.42 เหรียญสหรัฐฯ โดยรายได้จากการขายเครดิตคาร์บอนลดลงเกือบครึ่งเหลือเพียง 439 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จาก 890 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปีก่อน สะท้อนผลกระทบจากกฎหมาย One Big Beautiful Bill ซึ่งมุ่งเป้าสนับสนุนโครงการพลังงานสะอาดที่เพิ่งผ่านสภาคองเกรส

ไตรมาสนี้ Tesla ส่งมอบรถยนต์รวมทั่วโลกเพียง 384,122 คัน ลดลง 13.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยยอดขายในสหรัฐฯ และยุโรปยังคงอ่อนแอ สะท้อนการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในอุตสาหกรรม EV และความนิยมที่ขยับไปยังรถไฮบริด ผสมโรงกับปัจจัยด้านสงครามภาษีของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) และแนวโน้มเศรษฐกิจโลกชะลอตัวก็ส่งผลกระทบต่อความต้องการสินค้าคงทนและโครงสร้างต้นทุนของ Tesla อย่างมีนัยสำคัญ

ฝั่ง ไวบาฟ ตาเนจา (Vaibhav Taneja) CFO ของ Tesla กล่าวว่าบริษัทอาจเร่งการส่งมอบรถยนต์ในไตรมาสนี้ ก่อนที่เครดิตภาษี EV มูลค่า 7,500 เหรียญสหรัฐฯ ต่อคัน จะหมดอายุลงในสิ้นไตรมาส 3 ปีนี้ ซึ่งอาจทำให้ Tesla เจอกับไตรมาสที่ยากลำบากหลังสิทธิประโยชน์ทางภาษีสิ้นสุดลง

ในแถลงการณ์ Tesla ระบุว่าได้เริ่มต้นการผลิตรุ่นต้นแบบของ EV ราคาประหยัดในเดือนมิถุนายน และจะเร่งกำลังการผลิตเต็มที่ช่วงครึ่งหลังของปี 2025 อย่างไรก็ตาม รถยนต์ราคาประหยัดที่ Tesla เคยให้คำมั่นไว้นั้นยังไม่มีทั้งภาพเรนเดอร์หรือรายละเอียดทางเทคนิคอย่างเป็นทางการ โดยรุ่นที่ถูกที่สุดในปัจจุบันคือ Model 3 ขับหลัง ราคาเริ่มต้นราว 43,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 1.42 ล้านบาท

นอกจากนี้ Tesla ยังได้ขยายการทดสอบ Robotaxi ในเมืองออสติน รัฐเท็กซัส โดยเพิ่มพื้นที่ให้บริการ และมีแผนขยายไปยังซานฟรานซิสโก เบย์แอเรียในอนาคต