ช่วงนี้ใครที่ได้ตามข่าวคงจะทราบดีว่าเศรษฐกิจกำลังซบเซาหนักไม่ใช่เพียงในไทย แต่ทั่วโลกต่างก็ประสบกับปัญหาเดียวกัน ที่กดดันทั้งองค์กรและพนักงาน ไม่ว่าจะเป็นการหยุดรับคนใหม่, ลดเงินเดือน หรือแม้กระทั่ง Layoff (เลิกจ้าง) ข่าวเหล่านี้มีมาแทบทุกอุตสาหกรรม จนมนุษย์เงินเดือนหลายคนก็อดหวั่นใจไม่ได้ว่า “งานที่คิดว่ามั่นคง มันยังมั่นคงอยู่จริงหรือเปล่า ?”

นิติน คูชิก (Nitin Kaushik) นักบัญชีมืออาชีพที่ผ่านการรับรองจากสถาบันวิชาชีพ ได้ออกมาแชร์มุมมองที่น่าสนใจ เกี่ยวกับการรับมือหลังเกิดสถานการณ์เปราะบางด้านการเงิน อันเนื่องมาจากผลกระทบด้านเศรษฐกิจ เพื่อให้มนุษย์เงินเดือนรับมือได้แบบเครียดน้อยลง

ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี

เงินเก็บจะช่วยยืดระยะการเผชิญกับความลำบาก

คูชิก ชี้ว่า ตลาดแรงงานปัจจุบันไม่ได้มั่นคงเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไป การลดพนักงาน การหั่นเงินเดือน และการหยุดรับคนใหม่ กลายเป็นเรื่องที่พบได้บ่อย พร้อมแนะนำว่า ควรมีเงินเก็บไว้เท่ากับค่าใช้จ่ายในครัวเรือนอย่างน้อย 12 เดือน เพราะโดยเฉลี่ยแล้ว ผู้ที่ตกงานในตำแหน่งระดับสูงอาจต้องใช้เวลา 6–9 เดือนกว่าจะหางานที่เหมาะสมได้ และถ้าเศรษฐกิจชะลอตัว เวลานี้อาจยืดออกไปอีก การมีเงินพอสำหรับทั้งปีจะทำให้ไม่ต้องรีบรับงานที่ไม่เหมาะ เพียงเพื่อความอยู่รอด

เก็บเงินไว้ที่ไหนถึงจะดี ?

เมื่อมีเงินเก็บสำรองเผื่อฉุกเฉินแล้ว การเลือกที่เก็บให้เหมาะสมก็สำคัญไม่แพ้กัน เพื่อให้มั่นใจว่าเงินก้อนนี้จะพร้อมใช้เมื่อจำเป็นจริง ๆ โดย คูชิก ได้แนะนำแนวทางที่น่าสนใจ ซึ่งเราสามารถนำมาปรับใช้ได้ดังนี้

กองที่ 1 เงินส่วนที่ต้องพร้อมใช้ทันที 

ส่วนนี้เหมาะกับการเก็บไว้ในที่ที่ สภาพคล่องสูง และสามารถถอนออกมาใช้ได้อย่างรวดเร็วเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน เช่น

  • บัญชีออมทรัพย์ เป็นตัวเลือกที่เข้าถึงง่ายที่สุด เพราะสามารถโอนหรือถอนได้ทันทีผ่าน Mobile Banking หรือตู้เอทีเอ็ม เหมาะสำหรับเหตุการณ์ที่ต้องใช้เงินด่วนจริง ๆ
  • กองทุนรวมตลาดเงิน (Money Market Fund) เป็นกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นที่มีความเสี่ยงต่ำมาก เช่น ตั๋วเงินคลัง หรือเงินฝากธนาคาร ทำให้มีสภาพคล่องสูงพอสมควร สามารถซื้อขายได้ทุกวันทำการ และมีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูงกว่าบัญชีออมทรัพย์ทั่วไปเล็กน้อย

กองที่ 2 เงินส่วนที่ลงทุนเพื่อความปลอดภัย

ส่วนนี้เหมาะกับการนำไปลงทุนในสินทรัพย์ที่เน้น ความปลอดภัยสูงสุด แม้จะได้รับผลตอบแทนไม่มาก แต่ก็ช่วยให้เงินส่วนนี้เติบโตขึ้นได้บ้าง และที่สำคัญคืออุ่นใจได้ว่าเงินต้นจะไม่หายไปไหน เช่น

  • เงินฝากประจำ เป็นการฝากเงินกับธนาคารโดยกำหนดระยะเวลาที่แน่นอน เช่น 6 เดือน หรือ 1 ปี แม้จะมีข้อจำกัดในการถอนก่อนกำหนด แต่ก็ให้ดอกเบี้ยที่สูงกว่าบัญชีออมทรัพย์
  • พันธบัตรออมทรัพย์ (Saving Bond) เป็นตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาล มีความเสี่ยงต่ำมาก เพราะได้รับการค้ำประกันจากรัฐบาลโดยตรง และให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างสม่ำเสมอ

การแบ่งเงินเป็นสองส่วนนี้จะช่วยให้คุณมีเงินสำรองที่เข้าถึงได้ง่ายสำหรับเหตุการณ์ฉุกเฉิน และในขณะเดียวกันก็มีเงินอีกส่วนที่เติบโตอย่างปลอดภัย สำหรับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถรับมือกับสถานการณ์ทางการเงินได้เบื้องจนกว่าทุกอย่างจะกลับสู่ภาวะปกติที่มีสภาพการเงินที่ดี

ทักษะมนุษย์ – AI ที่ควรพัฒนาในยุคเลิกจ้าง AI

หลังมีข่าวการเลิกจ้าง ทำให้ AI กลับมาเป็นประเด็นอีกครั้ง ว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาด้านการจ้างงานที่ลดลง จริงอยู่ที่ AI อาจมีทักษะที่โดดเด่นในเรื่องความเร็วและความแม่นยำในการคำนวณและประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาล แต่ถึงอย่างนั้น AI ก็ยังขาดคุณสมบัติเชิงมนุษย์ ซึ่งเป็นจุดแข็งที่มนุษย์เราควรพัฒนาเพื่อเติมเต็มช่องโหว่ในด้านต่าง ๆ ดังนี้

  • ความเห็นอกเห็นใจ
    ความสามารถในการเข้าใจและตอบสนองต่ออารมณ์ ความรู้สึก และความต้องการที่ซับซ้อนของผู้อื่น ทักษะนี้จำเป็นต่องานที่เกี่ยวข้องกับการบริการลูกค้า การเจรจาต่อรอง หรือการเป็นผู้นำ
  • การคิดวิเคราะห์เชิงวิพากษ์ AI
    สามารถให้ข้อมูลได้ แต่การประเมินความน่าเชื่อถือ ตั้งคำถาม และเชื่อมโยงข้อมูลเหล่านั้นเพื่อตัดสินใจที่ซับซ้อนยังคงเป็นทักษะที่มนุษย์เหนือกว่าอย่างมาก
  • ความคิดสร้างสรรค์
    การสร้างสรรค์แนวคิดใหม่ ๆ ที่นอกเหนือจากข้อมูลที่มีอยู่ หรือการมองปัญหาในมุมที่ไม่เคยมีใครคิดมาก่อน ยังคงเป็นจุดแข็งของมนุษย์ที่ AI ยังไม่สามารถเลียนแบบได้อย่างสมบูรณ์
  • ความสามารถในการปรับตัว
    โลกที่ขับเคลื่อนด้วย AI จะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ความยืดหยุ่นและการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ตลอดเวลาจะทำให้เราไม่ตกยุค

แม้ยุคนี้เทคโนโลยี AI เข้ามามีบทบาทสำคัญ บังคับให้เราต้องพัฒนาไปอีกระดับ แต่การพัฒนาตนเองไม่ได้หมายถึงการแข่งขันกับ AI แต่เป็นการเรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกับมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ มนุษย์ควรเน้นพัฒนาทักษะเฉพาะตัวที่ AI ยังทำไม่ได้ดี ในขณะเดียวกันก็ต้องเรียนรู้ที่จะใช้ AI เป็นเครื่องมือเพื่อจัดการงานที่ซ้ำซากและประหยัดเวลา การผสมผสานจุดแข็งระหว่างมนุษย์กับ AI จะช่วยให้เราสามารถปรับตัวและเติบโตท่ามกลางยุคสมัยแห่งการเลิกจ้างได้อย่างยั่งยืนและเอาตัวรอดในโลกที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีได้