ผลสำรวจใหม่จาก Charles Schwab พบว่าเกือบครึ่งหนึ่ง (45%) ของนักลงทุนชาวอเมริกันสนใจที่จะรวม สินทรัพย์ทางเลือก (Alternative Investments) เข้าไว้ในพอร์ตการลงทุน เนื่องจากพวกเขามองว่าความสำเร็จในการลงทุนจำเป็นต้องมีสินทรัพย์เสริมจากพอร์ตดั้งเดิม (เงินสด หุ้น และพันธบัตร)

สินทรัพย์ทางเลือกเป็นหมวดหมู่ที่กว้าง ซึ่งครอบคลุมการลงทุนที่อยู่นอกเหนือจากสินทรัพย์ดั้งเดิม ประกอบด้วย:

  • สินทรัพย์นอกตลาด (Private-market assets): เช่น Private Equity
  • อสังหาริมทรัพย์ และกองทุน Hedge Fund
  • สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities): เช่น ทองคำ และน้ำมัน
  • คริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrencies)

วิธีที่ง่ายที่สุดในการเข้าถึงสินทรัพย์ทางเลือก คือ ETF

ที่ปรึกษาทางการเงินระบุว่า แม้ว่าการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกโดยตรงจะมีความเสี่ยงและความซับซ้อนเพิ่มขึ้น แต่ก็มีวิธีที่ง่ายและเป็นดั้งเดิมกว่าในการเข้าถึง นั่นคือการลงทุนผ่าน กองทุนรวม ETFs

ข้อดีของการใช้ ETF

  1. แก้ปัญหาการขาดสภาพคล่อง (Liquidity): สินทรัพย์ทางเลือกหลายอย่าง เช่น การลงทุนในตลาดส่วนตัว (Private Equity) มักมีระยะเวลาล็อคอัพ (Lockup periods) หลายปี หรือมีช่วงเวลาไถ่ถอนจำกัด ซึ่งทำให้ขาดสภาพคล่อง แต่ ETF ที่ถือสินทรัพย์เหล่านี้นั้นสามารถ ซื้อขายได้อย่างเสรี ตลอดทั้งวันเหมือนหุ้นทั่วไป
  2. ความสนใจที่เพิ่มขึ้น: ปัจจุบัน นักลงทุนได้ทุ่มเงินกว่า 1 ล้านล้านเหรียญเข้าสู่ ETF ในสหรัฐฯ ในปีนี้ โดยส่วนใหญ่ไหลเข้าสู่ ETF ทองคำและคริปโทฯ
  3. การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบ: กฎหมายเริ่มมีการปรับเปลี่ยน เช่น ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามในคำสั่งผู้บริหารเพื่อให้การเข้าถึงผลิตภัณฑ์ทางเลือกในแผนการเกษียณอายุในที่ทำงานง่ายขึ้น ขณะที่ ก.ล.ต. สหรัฐฯ ได้ปรับเปลี่ยนกฎเพื่อเร่งการเปิดตัว Spot Crypto ETFs

ข้อควรระวังและการจัดสรรพอร์ต

  • สัดส่วนการลงทุน: ที่ปรึกษาแนะนำให้จำกัดสัดส่วนของสินทรัพย์ทางเลือกไว้ที่ประมาณ 10% ถึง 15% ของพอร์ตการลงทุนรวม หากคุณมีพอร์ตขนาดใหญ่ และไม่เกิน 5% หากคุณมีเงินลงทุนเริ่มต้นไม่มากนัก
  • พื้นฐานยังสำคัญ: ผู้เชี่ยวชาญยังคงย้ำเตือนว่าสำหรับเป้าหมายระยะยาว เช่น การเกษียณอายุหรือการศึกษาบุตร หุ้นและพันธบัตรแบบดั้งเดิม ยังคงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับส่วนใหญ่ของพอร์ตโฟลิโอ เพราะ “การลงทุนที่น่าเบื่อยังคงให้ผลตอบแทน” ที่ดีในระยะยาว