2 เมษายน 2025 โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศนโยบายเรียกเก็บภาษีจากการนำเข้าสินค้าต่างประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ (America First) ส่งผลให้สินค้าส่งออกหลักของไทยต้องเผชิญกับภาษีนำเข้าที่สูงขึ้น สร้างแรงกระแทกอย่างรุนแรงต่อภาคการส่งออกของประเทศ

ต่อมาในช่วงเดือนเมษายน – กรกฎาคม 2025 รัฐบาลไทยภายใต้การนำของทีมเศรษฐกิจที่มีอดีตนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร เป็นแกนนำหลัก ได้เริ่มแผนเจรจาเชิงรุก โดยมีการส่งคณะผู้แทนระดับสูงเข้าพบเจ้าหน้าที่การค้าของสหรัฐฯ หลายครั้ง เพื่อชี้แจงถึงห่วงโซ่อุปทานที่ซับซ้อนและพยายามขอให้สหรัฐฯ ยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีสำหรับกลุ่มสินค้าที่ไทยมีสัดส่วนการผลิตจากวัตถุดิบภายในประเทศสูง

ตุลาคม 2025 หลังจากที่มีการเจรจาอย่างเข้มข้น รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ข้อสรุปอัตราภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าไทยที่ได้รับผลกระทบหลัก โดยกำหนดไว้ที่ 19% ซึ่งเป็นอัตราที่สูง แต่ต่ำกว่าอัตราสูงสุดที่เคยถูกขู่ไว้ก่อนหน้านี้ตามกระแสข่าวที่อาจสูงถึง 36% ทำให้ผู้ส่งออกไทยต้องเร่งปรับโครงสร้างราคาและหันไปหาตลาดสำรอง

บทบาททางการทูตและยุทธศาสตร์การค้าภายใต้รัฐบาลใหม่

ภายหลังจากที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล ก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของไทย ก็ได้ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการสถานการณ์วิกฤตและความขัดแย้งในภูมิภาคอย่างทันท่วงที โดยเฉพาะเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชา

ความขัดแย้งดังกล่าวได้นำไปสู่การเข้ามามีบทบาทของทรัมป์ ในฐานะตัวกลางสำคัญ ในการเจรจาหาทางออกระหว่างไทยและกัมพูชา ซึ่งเป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการรักษาเสถียรภาพทางการเมืองในภูมิภาค

14 พ.ย. สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ได้ส่งหนังสือขอยุติการเจรจาด้านอัตราภาษีการค้ากับไทยเป็นการชั่วคราว การระงับนี้มีสาเหตุมาจากการที่ไทยตัดสินใจระงับปฏิญญาที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา โดย USTR ต้องการให้ไทยกลับไปปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าว ซึ่งเป็นการผูกโยงประเด็นการเมืองและความมั่นคงเข้ากับการค้าโดยตรง

แม้ว่าไทยจะต้องตัดสินใจระงับปฏิญญาที่ได้ทำร่วมกันเนื่องจากฝ่ายกัมพูชาถูกระบุว่าผิดสัญญาในข้อตกลงสำคัญบางประการ แต่ภาคธุรกิจได้รับความมั่นใจจากการยืนยันของนายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย อันวาร์ อิบราฮิม (Anwar Ibrahim) ที่ระบุว่า สหรัฐฯ จะไม่นำประเด็นการเมืองและการระงับปฏิญญานี้มาเชื่อมโยงหรือใช้เป็นเงื่อนไข ในการเจรจามาตรการภาษีศุลกากร (Tariffs) ต่อสินค้าไทย ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาเสถียรภาพด้านการส่งออกของไทย

15 พ.ย. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ได้กล่าวหลังจากการหารือระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์, อันวาร์ อิบราฮิม และนายกฯ อนุทิน ว่ารัฐบาลไทยพร้อมเร่งเดินหน้าการเตรียมความพร้อมเพื่อให้การเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ดำเนินไปตามกรอบเวลาที่วางไว้ โดยย้ำว่าไทยให้ความสำคัญสูงสุดต่อ อธิปไตยและความมั่นคงของชาติ ควบคู่กับความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศ

ทั้งนี้รัฐบาลไทยยังคงตั้งเป้าหมายที่จะผลักดันการเจรจารายละเอียดภาษีรายสินค้าให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2025 โดยยึดในอัตราภาษี 19% ที่เคยบรรลุข้อตกลงในหลักการไว้ก่อนหน้านี้

ยุทธศาสตร์แก้เกม เร่งปิดดีลตามกรอบ

โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ยืนยันว่า ทั้งฝ่ายไทยและสหรัฐฯ ต่างก็ต้องการให้การเจรจาคืบหน้าอย่างรวดเร็ว เพื่อให้เกิดความชัดเจนและสามารถ รักษาเสถียรภาพการค้าและการลงทุนระหว่างกันในระยะยาว ความต้องการร่วมกันนี้จะเป็นแรงผลักดันให้การเจรจากลับมาสู่เส้นทางเดิมโดยเร็วที่สุด

ถึงแม้จะมีประเด็นความขัดแย้งทางการเมือง แต่ความสัมพันธ์ระดับปฏิบัติการระหว่างกระทรวงพาณิชย์ไทยกับสำนักงาน USTR ยังคงเป็นไปอย่างราบรื่น ซึ่งช่วยให้การแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงยุทธศาสตร์ และการเตรียมพร้อมสำหรับเจรจายังคงดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง นี่เป็นสัญญาณบวกที่แสดงให้เห็นว่า ช่องทางการสื่อสารยังคงเปิดอยู่และไม่ได้ถูกตัดขาดอย่างสมบูรณ์

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าประเด็นความมั่นคงจะเข้ามากดดันจนทำให้การเจรจาถูกระงับชั่วคราวไปแล้ว แต่รัฐบาลไทยมีความมั่นใจว่าด้วยความสัมพันธ์อันดีและความต้องการร่วมกันที่จะรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ การเจรจาภาษีทรัมป์กับเศรษฐกิจไทยจะยังคงเดินหน้าต่อไป โดยทั้งภาครัฐและเอกชนยังคงต้องติดตามสถานการณ์และทิศทางอย่างใกล้ชิด ว่าการตัดสินใจทางการทูตในที่สุดจะนำไปสู่การสรุปรายละเอียดภาษีภายในกรอบเวลาที่ตั้งไว้ได้หรือไม่