ฝ่ายขาย และการตลาด
085-848-2253[email protected]http://m.me/beartai
สมัครงาน/ฝึกงาน ติดต่อได้ที่
[email protected]
Read
| Money

ขุด Bitcoin ส่งผลเสียต่อโลก ตามที่อีลอน มัสก์ กล่าวจริงไหม?

Tabel of Content

นาทีนี้ หากใครเก็งกำไรสกุลเงินดิจิตอลโดยเฉพาะบิตคอยน์ ต้องรู้จักชายนามว่า ‘อีลอน มัสก์’ (Elon Musk) เป็นอย่างดี เพราะเมื่อใดที่ชายเจ้าของบริษัท Tesla และ SpaceX ทวีตว่า “เขากำลังคิดอะไรอยู่” ก็มักจะส่งผลกระทบเป็นวงกว้างไปทั่วโลก และเมื่อไม่นานนี้ เขาออกมาทวีตว่า “ตอนนี้ Tesla จะไม่รับชำระค่าซื้อรถยนต์ด้วยบิตคอยน์แล้ว เพราะกังวลเรื่องปัญหาของสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นจากการใช้พลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลมหาศาลในการขุดบิตคอยน์”

ทวีตเดียวแดงทั้งกระดาน

นอกจากบิตคอยน์ที่ตอนนี้มูลค่าก็ร่วงลงเหลือราว 1 ล้านบาทเศษ / บิตคอยน์ (ณ วันที่ 25 พฤษภาคม 2564)​ จากที่เคยขึ้นสู่จุดสูงสุดกว่า 2 ล้านบาท / บิตคอยน์ เมื่อประมาณหนึ่งเดือนแล้ว พวกเหรียญดิจิตอลอื่น ๆ ก็พากันร่วงตามลงมาเป็นแถวเลยทีเดียว

แม้ตอนนี้จะยังหน้ามืดเมาหมัดกันอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้น หลายต่อหลายคนอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมมันถึงกลายเป็นประเด็นที่ร้อนแรงแบบนี้ เพราะอย่างที่รู้กันว่าการขุดบิตคอยน์นั้นไม่ใช่การขุดเหมืองหรือขุดแร่ที่สร้างผลกระทบให้กับสิ่งแวดล้อมแบบเดิมที่เราคุ้นเคยกัน มันสร้างผลกระทบแบบนั้นจริง ๆ เหรอ? ที่เป็นแบบนี้เพราะเรายังไม่เข้าใจว่าบิตคอยน์มันคืออะไรและมันมาจากไหน และการที่บิตคอยน์ถูกพูดถึงเป็นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมาก็ทำให้มันยิ่งส่งผลให้การ “ขุด” เหรียญดิจิทัลนี้สร้างผลกระทบขึ้นมาได้จริง ๆ และถ้าไล่ไปเรื่อย ๆ มันก็เชื่อมโยงกับการขุดเหมืองโลหะต่าง ๆ ที่ทำร้ายโลกเราซะด้วย

สรุปแบบให้เข้าใจง่ายที่สุด มันมีสองวิธีที่เราจะได้บิตคอยน์มาครอบครอง

  1. ซื้อมา
  2. ขุดเอา

ซึ่งอย่างหลังมันคือวิธีที่บิตคอยน์ใหม่ ๆ จะถูกนำเข้ามาสู่ในระบบผ่านสูตรทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน อารมณ์เหมือนเป็นการเล่นเกมทายตัวเลข “ฉันกำลังคิดเลขอะไรอยู่เหรอ?” ที่เปลี่ยนไปทุกสิบนาที แต่มันเป็นตัวเลขแบบ 64 หลัก ซึ่งนักขุดก็จะแข่งกันว่าใครจะคำนวณตัวเลขตัวนี้ได้ก่อนกัน ใครเจอก่อนก็ได้บิตคอยน์ไปเป็นรางวัล (เย้!) คนอื่นก็ไปแข่งกันใหม่ ซึ่งกระบวนการนี้เป็นเรื่องที่ชาญฉลาดเพราะว่าพวกคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในเครือข่ายหลายล้านเครื่องนั้นจะมีการเก็บข้อมูลทางธุรกรรมทั้งหมดตั้งแต่ธุรกรรมแรกจนถึงธุรกรรมสุดท้าย และมีการตรวจสอบให้ข้อมูลตรงกันอยู่เสมอ เพราะฉะนั้นการโกงจึงเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

จากเมื่อก่อนที่นักขุดยังมีไม่เยอะ ใช้แล็ปท็อปก็สามารถขุดบิตคอยน์ได้แล้ว แต่เมื่อมันได้รับความสนใจมากขึ้น มูลค่าของมันก็สูงขึ้นตาม ซึ่งก็นำมาด้วยจำนวนของนักขุดที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนกับยุคตื่นทองยังไงยังงั้น โดยเจ้าปริศนาหรือสูตรทางคณิตศาสตร์ก็มีการปรับความยากขึ้นด้วยตามจำนวนคนที่เข้ามาขุด เลยกลายเป็นว่าตอนนี้แล็ปท็อปธรรมดาแทบไม่มีโอกาสที่จะแก้ไขปัญหาทางคณิตศาสตร์เหล่านี้ได้แล้ว และนั่นก็นำมาสู่ปัญหา

การคาดเดาตัวเลขหรือสิ่งที่เราเรียกมันว่าการขุดนั้นใช้พลังงานประมวลผลของคอมพิวเตอร์เพื่อเดาตัวเลขออกมา ซึ่งจำนวนของตัวเลขที่คอมพิวเตอร์สามารถเดาออกมาได้ขึ้นอยู่กับพลังการประมวลผลที่รู้จักกันว่า ‘แฮชเรต’ (Hashrate) ของแต่ละเครื่อง ยิ่งเครื่องที่มีแฮชเรตสูง ก็ยิ่งมีโอกาสเดาตัวเลขได้ถูกมากขึ้น

เมื่อมีนักขุดมากขึ้นในระบบ ตอนนี้การแข่งขันก็สูงตามมาด้วย ก็เลยมีการนำ GPU ที่เป็นหน่วยประมวลผลของกราฟิกการ์ดของคอมพิวเตอร์มาขุดบิตคอยน์ เพราะเจ้า GPU สามารถทำแฮชเรตได้มากกว่า CPU ในคอมพิวเตอร์ทั่วไปหลายสิบเท่า ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าเราจะเห็นคอมพิวเตอร์ที่มีกราฟิกการ์ดแบบคุณภาพสูงอัดเต็มเครื่อง 5-10 อัน เพื่อช่วยกันเดาตัวเลขดังกล่าว ทำให้บางทีเราเห็นข่าวว่ากราฟิกการ์ดนั้นขาดตลาดหรือที่มีขายก็ราคาสูงมาก ซึ่งกราฟิกการ์ดในตอนแรกนั้นมันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้เหล่าเกมเมอร์ใช้ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว มันถูกนำมาใช้เพื่อขุดบิตคอยน์อย่างเป็นล่ำเป็นสัน

สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือเรื่องของพลังงานที่ใช้อย่างสิ้นเปลือง กราฟิกการ์ดเหล่านี้กินกระแสไฟเหมือนขนม ใช้พลังงานเยอะมากในการหล่อเลี้ยง การประมวลผลอย่างหนักทำให้เกิดความร้อนบนการ์ดซึ่งต้องใช้พัดลมเฉพาะเพื่อระบายความร้อน ซึ่งถ้าใครขุดบิตคอยน์จะรู้ว่ามันต้องเปิดตลอด 24 ชั่วโมงไม่มีวันหยุด จากรายงานของเว็บไซต์ Cambridge Bitcoin Electricity Consumption Index ระบุว่าเมื่อรวมกันแล้วคอมพิวเตอร์ที่ขุดกันอยู่ทั่วโลกตอนนี้ใช้พลังงานราว ๆ 130 เทราวัตต์ต่อปี (Terawatt-Hours Per Year) สูงขึ้นกว่าเมื่อ 5 ปีก่อนประมาณ 66 เท่า สร้างคาร์บอนฟุตพรินต์ (Carbon Footprint – ปริมาณรวมของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซเรือนกระจกอื่น ๆ) ประมาณ 22-29 ล้านตัน

เปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดขึ้นอีกนิด การขุดบิตคอยน์ใช้พลังงานไฟฟ้าประมาณ 67% ของพลังงานไฟฟ้าที่ใช้เฉลี่ยในประเทศไทยปี 2562 (ราว ๆ 192.96 เทราวัตต์) ถ้าจัดอันดับการใช้พลังงานไฟฟ้าในการขุดบิตคอยน์กับประเทศอื่นทั่วโลก ก็อยู่ที่อันดับ 28 รองจากประเทศไทยเพียง 5 อันดับ และสูงกว่าประเทศอย่างนอร์เวย์และเนเธอร์แลนด์ด้วยซ้ำ เปรียบเป็นประมาณ 0.55% ของพลังงานที่ใช้ทั้งโลก และยิ่งมันได้รับความนิยมมากขึ้นเท่าไหร่ นั่นหมายความว่าตัวเลขนี้จะยิ่งเติบโตมากขึ้นเท่านั้น

สิ่งที่ทำให้มันซับซ้อนมากขึ้นไปอีกก็คือ ตอนนี้คือการขุดบิตคอยน์ได้กลายเป็นอุตสาหกรรมแบบจริงจัง มีโรงงานที่ขุดบิตคอยน์ขนาดใหญ่มากมาย โดยเฉพาะที่ประเทศจีน เพราะว่าราคาของฮาร์ดแวร์ที่ถูกและอัตราค่าไฟฟ้าก็ไม่แพง ซึ่งก็นำมาถึงต้นตอของปัญหาที่ว่า “ไฟฟ้าที่ประเทศจีนผลิตยังไงล่ะ?” ข้อมูลจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์บอกว่าพลังงานไฟฟ้า 2 ใน 3 ของจีนมาจากถ่านหินซึ่งสร้างมลภาวะให้กับโลกเราเกือบเท่าตัวเมื่อเทียบกับน้ำมันเชื้อเพลิงจากปิโตรเลียม แถมจีนยังไม่มีหน่วยงานควบคุมการขุดบิตคอยน์ จึงตรวจสอบไม่ได้ว่าการขุดบิตคอยน์นั้นใช้พลังงานสะอาดหรือพลังงานถ่านหินกันแน่

ตอนนี้สมการคือ พลังงานไฟฟ้า = บิตคอยน์ เพราะฉะนั้นยิ่งมีความต้องการบิตคอยน์มากเท่าไหร่ ความต้องการของไฟฟ้าก็สูงมากขึ้นเท่านั้น

ภาพ: Getty Images

อีกด้านหนึ่ง แคธี วูด (Cathie Wood) จาก บริษัทจัดการการลงทุน ARK Investment Management ก็ออกมาบอกว่าเมื่อเทียบกันแลัว บิตคอยน์ทั้งระบบนั้นใช้พลังงานน้อยกว่า 10% ของระบบธนาคารแบบดั้งเดิมที่ใช้กันอยู่ทุกวันซะอีก แต่อีกเรื่องที่สำคัญก็คือว่าระบบธนาคารที่มีอยู่ในปัจจุบันนั้นถูกใช้งานโดยประชากรหลายล้านล้านคน ซึ่งก็ต่างจากบิตคอยน์ ที่ข้อมูลจากเว็บไซต์ Forbes บอกว่าตอนนี้มีคนถือบิตคอยน์อยู่ราว ๆ 100 ล้านคนเท่านั้น กระนั้นก็ตาม อย่าลืมว่าบิตคอยน์นั้นมีส่วนทำให้ชีวิตของหลายล้านคนบนโลกใบนี้สะดวกขึ้น ดูตัวอย่างจากประเทศไนจีเรียที่มีการแลกเปลี่ยนบิตคอยน์เป็นมูลค่า 400 ล้านเหรียญ เป็นรองแค่สหรัฐอเมริกาและรัสเซียเท่านั้น เพราะมันเป็นทางเลือกในการส่งเงินให้กับครอบครัวโดยเสียค่าธรรมเนียมที่น้อยกว่ามาก

โดยส่วนตัวแล้วเชื่อว่าบิตคอยน์มีมูลค่าของมันอยู่ แม้จะยังเชื่อในเงินที่จับต้องได้แบบดั้งเดิม แต่สกุลเงินดิจิทัลได้ทำให้โลกของความเป็นไปได้และโอกาสมีมากยิ่งขึ้นในอนาคต แต่อย่างไรก็ตาม ต้องลองย้อนกลับมาดูว่าสิ่งที่เรากำลังทำนั้นมันสร้างผลกระทบต่อโลกเรามากขนาดไหน ยิ่งมีการทำในวงกว้างมากเท่าไหร่ ปัญหาก็เยอะตามมาด้วย มันอาจจะไม่ได้สร้างผลกระทบทางระบบนิเวศน์เหมือนอย่างการวางแท่นขุดเจาะน้ำมันกลางมหาสมุทร แต่ก็อย่าลืมว่ามันก็ไม่ใช่พลังงานสะอาดที่ขุดบิตคอยน์เข้าสู่ระบบ แถมเมื่อบิตคอยน์ได้รับความนิยม สกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ ก็จะได้รับความนิยมตามมาด้วย และคาร์บอนฟุตพรินต์ก็ตามมาอีก

เหมือนอย่างที่อีลอน มัสก์ ทิ้งท้ายไว้ในทวีตว่า Tesla ไม่ได้จะขายผ่านบิตคอยน์ และพร้อมจะรับมันอีกครั้งเมื่อไหร่ก็ตามที่การขุดบิตคอยน์มาจากพลังงานสะอาดที่ไม่ทำร้ายโลกใบนี้ ประเด็นเรื่อง Green Bitcoin ก็มีการพูดถึงกันเยอะขึ้น ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญหลายคนที่มองเช่นเดียวกันว่า ยิ่งมันได้รับความนิยมมากเท่าไหร่ โอกาสที่มันจะถูกขุดด้วยพลังงานสะอาดก็มีมากขึ้นไปด้วย และสำหรับคนที่ถือบิตคอยน์ไว้ตอนนี้ก็คงหวังว่ามันจะเกิดขึ้นเร็ว ๆ

อ้างอิง 1 อ้างอิง 2 อ้างอิง 3 อ้างอิง 4 อ้างอิง 5 อ้างอิง 6

อ้างอิง 7 อ้างอิง 8 อ้างอิง 9 อ้างอิง 10 อ้างอิง 11 อ้างอิง 12

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส

Highlight

Xiaomi 17 Ultra เปิดตัวเป็นทางการ ยัดโหดกล้อง 1 นิ้ว ซูม 200 MP แบตฯ อึด 6,800 mAh พร้อมรุ่น Leica Edition ดีไซน์คลาสสิก

26/12/2025
Read More

Huawei Cloud ครองตำแหน่งผู้นำจากรายงาน Omdia พร้อมขึ้นอันดับ 1 ด้านกลยุทธ์และนวัตกรรม

26/12/2025
Read More

ซื้อดีไหม ? HUAWEI MatePad 12 X 2026 สรุปฟีเจอร์เด่นที่น่าโดนในราคาไม่เกินสองหมื่น 

26/12/2025
Read More

แว่นตา AI เปลี่ยนเสียงรอบตัวเป็น “ซับไตเติล” แบบ Real-time ช่วยผู้บกพร่องทางการได้ยิน

26/12/2025
Read More

ญี่ปุ่นทำถึง ! เปิดตัว เครื่องซักมนุษย์ อาบ-ล้าง-เป่าแห้ง จบใน 15 นาที ค่าตัว 13 ล้านบาท

26/12/2025
Read More

เตือน ! ผู้มีสิทธิ “ถ้าไม่ไปเลือกตั้ง – ไม่แจ้งเหตุ” จะถูกจำกัดสิทธิตามกฎหมาย

26/12/2025
Read More

Related Content