สหภาพยุโรปไม่ได้นิ่งเฉย มารอช เซฟโควิช (Maroš Šefčovič) กรรมาธิการด้านการค้าของสหภาพยุโรปยืนยันผ่านสื่อว่า “เรายังต้องการตกลงแบบที่ทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกัน บนพื้นฐานของความเคารพ ไม่ใช่การข่มขู่” พร้อมเสริมว่า สหภาพยุโรปจะปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองอย่างเต็มที่ หากจำเป็นต้องตอบโต้
หลังโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศจะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหภาพยุโรป (EU) เป็น 50% เริ่ม 1 มิถุนายนนี้ โดยให้เหตุผลว่าการเจรจาไม่คืบหน้า ทำให้เขาไม่ต้องการดีลอีกต่อไป และย้ำว่าจะไม่เก็บภาษีกับสินค้าที่ผลิตในสหรัฐฯ เท่านั้น ทั้งยังกล่าวด้วยว่ายังเปิดช่องให้เปลี่ยนใจ หากมีบริษัทยุโรปรายใหญ่เข้ามาลงทุนในอเมริกา
อย่างไรก็ตาม สหภาพยุโรปถือเป็นหนึ่งในคู่ค้ารายใหญ่ที่สุด โดยในปี 2024 สหภาพยุโรปส่งออกสินค้ามูลค่ามากกว่า 600,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 19.8 ล้านล้านบาท) ไปยังสหรัฐฯ และนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ มูลค่า 370,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 12.2 ล้านล้านบาท)
ไมเคิล มาร์ติน (Micheál Martin) นายกรัฐมนตรีไอร์แลนด์ ย้ำว่า “การเจรจาคือทางออกที่ยั่งยืนที่สุด” ขณะที่ฝรั่งเศสและเยอรมนีต่างแสดงความพร้อมตอบโต้ หากการขู่ของทรัมป์กลายเป็นความจริง ส่วนผู้นำเนเธอร์แลนด์เตือนว่า “เราเคยเห็นมาแล้วว่าภาษีสามารถขึ้นหรือลงได้ขึ้นอยู่กับการเมือง”
นักวิเคราะห์ตลาดหุ้นเตือนว่า หากสงครามการค้าระลอกใหม่ปะทุขึ้นจริง อาจสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะเมื่อสหรัฐฯ ยังมีมาตรการภาษีต่อจีนอยู่ ส่วนตลาดหุ้นก็ได้รับผลกระทบทันที โดย S&P 500 ของสหรัฐฯ ร่วงลง 0.7% ดัชนี DAX เยอรมนี และ CAC 40 ของฝรั่งเศสร่วงมากกว่า 1.5%