ในโลกที่หมุนไปข้างหน้าไม่หยุดนิ่ง การพัฒนาเมืองกลายเป็นกระบวนการที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ตึกระฟ้าผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด ถนนหนทางขยับขยาย สิ่งอำนวยความสะดวกทันสมัยเข้ามาแทนที่ความเรียบง่าย แต่ในทุกการเปลี่ยนแปลงที่ถูกประดับด้วยคำว่า ความก้าวหน้า การพัฒนา หรือความสวยงาม นั้น มีบางสิ่งกำลังถูกทิ้งไว้ข้างหลัง…หรือบางทีอาจถูกผลักไสออกไปอย่างเงียบ ๆ
คำว่า “Gentrification” หรือการทำให้เมืองเป็นย่านผู้ดี การแปลงพื้นที่เพื่อเปลี่ยนชนชั้น อาจฟังดูเป็นศัพท์วิชาการที่ไกลตัว แต่แท้จริงแล้วมันคือปรากฏการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นรอบตัวเราอย่างเข้มข้น ไม่ว่าจะเป็นตรอกซอกซอยเก่าแก่ที่เคยเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาของคนท้องถิ่น ตลาดนัดริมคลองที่ส่งเสียงเจื้อยแจ้วไปทั่ว หรือแม้แต่บ้านเรือนไม้เก่าที่ยืนหยัดมานานหลายสิบปี ทุกอย่างกำลังถูกแปลงโฉมให้กลายเป็นร้านกาแฟเก๋ ๆ อาร์ตแกลเลอรีสุดฮิป คอนโดมิเนียมหรู หรือโรงแรมบูติก ที่พร้อมต้อนรับคนใหม่ที่มีกำลังซื้อมากกว่า และรสนิยมที่แตกต่างออกไป
แต่คำถามคือ เมื่อพื้นที่ถูกอัปเกรดขึ้น ราคาที่ดินพุ่งสูง ค่าเช่าแพงลิบลิ่ว แล้วคนดั้งเดิมที่สร้างชีวิต สร้างวัฒนธรรมให้พื้นที่นั้น ๆ ล่ะ พวกเขาไปอยู่ที่ไหน ? พวกเขามีทางเลือกอะไรบ้าง ? และในท้ายที่สุด เรากำลังอนุรักษ์วิญญาณของพื้นที่หรือเพียงแค่จัดฉากความทรงจำให้เป็นสินค้าที่น่าสนใจสำหรับคนนอก ?
ทำความรู้จัก Gentrification การเปลี่ยนแปลงที่ซับซ้อนกว่าที่คิด
Gentrification ไม่ใช่แค่การที่พื้นที่โทรม ๆ กลายเป็นพื้นที่สวยงามขึ้น แต่มันคือกระบวนการทางสังคม-เศรษฐกิจที่ซับซ้อน ซึ่งมักเริ่มต้นจากการที่กลุ่มคนที่มีรายได้สูงกว่า (มักจะเป็นคนชั้นกลางหรือคนชั้นบน) ย้ายเข้ามาอยู่ในพื้นที่ที่เคยมีค่าครองชีพต่ำ ทำให้เกิดการลงทุนจากภาคเอกชนและภาครัฐตามมา เช่น การปรับปรุงภูมิทัศน์ การสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกใหม่ ๆ หรือการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
ผลลัพธ์คือ
- ค่าครองชีพสูงขึ้น ราคาที่ดินพุ่งกระฉูด ค่าเช่าแพงขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทำให้คนท้องถิ่นเดิมที่มีรายได้น้อยไม่สามารถแบกรับภาระได้
- การพลัดถิ่น คนท้องถิ่นเดิมถูกบีบให้ย้ายออกจากพื้นที่ เพราะค่าใช้จ่ายในการอยู่อาศัยสูงเกินไป หรือถูกขับไล่ด้วยวิธีการต่าง ๆ เพื่อเปิดทางให้กับการลงทุนใหม่ ๆ
- การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม ร้านค้าดั้งเดิม ร้านอาหารท้องถิ่น หรือกิจการขนาดเล็กที่เคยเป็นหัวใจของชุมชนถูกแทนที่ด้วยร้านค้าแบรนด์เนม ร้านอาหารหรู หรือธุรกิจที่ตอบสนองความต้องการของกลุ่มคนใหม่
- การสูญเสียอัตลักษณ์ วิถีชีวิต ประเพณี และวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของชุมชนดั้งเดิมค่อย ๆ เลือนหายไป หรือถูก “ปรุงแต่ง” ให้กลายเป็นเพียงฉากหลังสำหรับการท่องเที่ยวหรือการบริโภคของคนนอก
แน่นอนว่าในมุมมองของผู้พัฒนาหรือนักลงทุน Gentrification อาจถูกมองว่าเป็น “การฟื้นฟูเมือง” (Urban Revitalization) ที่นำมาซึ่งการลงทุน การสร้างงาน และการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับพื้นที่ แต่ในมุมมองของคนท้องถิ่นที่ถูกผลักไสออกจากบ้านเกิด มันคือ “การถูกขับไล่” และ “การสูญเสีย” ที่ไม่อาจประเมินค่าได้
Gentrification ในไทย จากตึกเก่าสู่ ‘ย่านสร้างสรรค์’ ที่มีแต่คนนอก ?

ประเทศไทย โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร เป็นเมืองที่กำลังเผชิญกับปรากฏการณ์ Gentrification อย่างเข้มข้น ด้วยการขยายตัวของระบบขนส่งมวลชน เช่น รถไฟฟ้า การพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ และการผลักดันนโยบาย “ย่านสร้างสรรค์” หรือ “Creative District” ที่มักเล็งเป้าไปที่พื้นที่เมืองเก่าที่มีเสน่ห์
กรณีศึกษา เจริญกรุง-ตลาดน้อย (กรุงเทพมหานคร) ย่านเจริญกรุง-ตลาดน้อย ถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของ Gentrification ในกรุงเทพฯ แต่เดิมเป็นย่านการค้าเก่าแก่ มีทั้งชุมชนชาวจีนที่อยู่อาศัยมานาน ร้านค้าแบบดั้งเดิม อู่ซ่อมรถ โรงกลึง และวิถีชีวิตที่เรียบง่าย แต่ด้วยทำเลที่อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ใกล้รถไฟฟ้า และมีอาคารเก่าแก่สวยงาม ทำให้ย่านนี้กลายเป็นเป้าหมายของนักพัฒนาและนักลงทุน
ปัจจุบัน เราจะเห็นร้านกาแฟสุดเก๋ อาร์ตแกลเลอรี โรงแรมบูติก และร้านอาหารฮิป ๆ ผุดขึ้นมาแทนที่อาคารเก่า ๆ และร้านค้าดั้งเดิมมากมาย “บางกะปิ ครีเอทีฟ ดิสทริค” คือโครงการที่เข้ามาผลักดันให้พื้นที่นี้กลายเป็นศูนย์กลางของศิลปะและการออกแบบ แต่ในขณะเดียวกัน ก็เกิดคำถามว่า
- คนในพื้นที่ได้อะไร ? ชาวบ้านดั้งเดิมที่เคยเป็นเจ้าของกิจการเล็ก ๆ หลายคนต้องปิดตัวลงเพราะค่าเช่าที่พุ่งสูงลิบลิ่ว หรือไม่สามารถแข่งขันกับธุรกิจสมัยใหม่ได้
- วัฒนธรรมหายไปไหน ? เสน่ห์ของย่านที่มาจากวิถีชีวิตดั้งเดิม การปฏิสัมพันธ์ระหว่างชุมชน กับงานหัตถกรรมที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น กำลังถูกแทนที่ด้วย “ความสวยงาม” ที่ปรุงแต่งขึ้นเพื่อการท่องเที่ยว
- ใครคือผู้กำหนดนิยาม “สร้างสรรค์” ? ความสร้างสรรค์ที่เข้ามานั้นตอบสนองความต้องการของคนในพื้นที่จริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงนิยามที่กำหนดโดยคนนอกเพื่อดึงดูดคนนอก ?
กรณีศึกษา ย่านหัวหิน (ประจวบคีรีขันธ์) หัวหิน เมืองตากอากาศเก่าแก่ ที่แต่เดิมเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของราชวงศ์และชนชั้นสูง ต่อมาก็กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่คนไทยทุกระดับชนชั้นเข้าถึงได้ ด้วยเสน่ห์ของตลาดกลางคืน อาหารทะเลสด ๆ และบรรยากาศสบาย ๆ แต่ปัจจุบัน หัวหินกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ด้วยการเข้ามาของคอนโดมิเนียมหรู โรงแรมระดับ 5 ดาว และโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่
- ชาวประมงพื้นบ้านอยู่รอดอย่างไร ? เมื่อราคาที่ดินริมชายหาดพุ่งสูงขึ้น ที่จอดเรือประมงและแหล่งแปรรูปสัตว์น้ำถูกแทนที่ด้วยรีสอร์ตหรู วิถีชีวิตของชาวประมงและคนท้องถิ่นที่เคยผูกพันกับทะเลกำลังถูกท้าทายอย่างหนัก
- เสน่ห์ดั้งเดิมยังเหลืออยู่ไหม ? ความเงียบสงบ ความเป็นกันเอง และร้านค้าเล็ก ๆ ที่เคยเป็นเอกลักษณ์ของหัวหิน กำลังถูกกลืนหายไปในกระแสของความทันสมัยและธุรกิจขนาดใหญ่
- การพัฒนาเพื่อใคร ? การลงทุนที่มุ่งเน้นการท่องเที่ยวระดับไฮเอนด์นั้น สร้างประโยชน์ให้กับคนท้องถิ่นอย่างแท้จริง หรือเพียงแค่ตอบสนองความต้องการของนักลงทุนและนักท่องเที่ยวต่างถิ่น ?
กรณีศึกษา ชุมชนเมืองเก่าภูเก็ต เมืองเก่าภูเก็ตเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ชัดเจนของ Gentrification ที่ขับเคลื่อนด้วยการท่องเที่ยว อาคารชิโน-โปรตุกีสเก่าแก่ได้รับการบูรณะอย่างสวยงาม ถนนถูกปรับปรุงให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว มีร้านค้า คาเฟ และโรงแรมสไตล์บูติกผุดขึ้นมากมาย ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติให้มาสัมผัสเสน่ห์ของสถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมพื้นถิ่น
- ความสมดุลระหว่างอนุรักษ์กับการพัฒนา การบูรณะอาคารเก่าแก่เป็นเรื่องที่ดี แต่เมื่อมูลค่าที่ดินสูงขึ้น คนท้องถิ่นที่เคยอยู่อาศัยในตึกแถวเหล่านั้นต้องย้ายออกไปเพราะค่าเช่าแพงขึ้น หรือไม่มีเงินทุนเพียงพอในการบูรณะ ทำให้กลายเป็นธุรกิจของคนนอกที่เข้ามาเช่าหรือซื้อเพื่อทำกำไร
- พิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิตหรือฉากละคร ? เมื่อชุมชนดั้งเดิมถูกผลักไสออกไป เมืองเก่าที่เคยมีชีวิตชีวาด้วยวิถีชีวิตของคนท้องถิ่น กำลังกลายเป็นเพียง “ฉาก” ที่สวยงามสำหรับนักท่องเที่ยว ถ่ายรูปเช็กอิน แต่ขาดซึ่ง “จิตวิญญาณ” ของความเป็นชุมชนที่เคยมี
Gentrification ในญี่ปุ่น เมื่อวัฒนธรรมและความทันสมัยปะทะกัน

ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องการอนุรักษ์วัฒนธรรม แต่ก็ไม่ได้รอดพ้นจากกระแส Gentrification โดยเฉพาะในเมืองใหญ่อย่างโตเกียวและเกียวโต ที่การท่องเที่ยวและนโยบายพัฒนาเมืองเข้ามามีบทบาทสำคัญ
กรณีศึกษา คิตะเซ็นจู (Kita-Senju), โตเกียว คิตะเซ็นจู เคยเป็นย่านเก่าแก่ทางตอนเหนือของโตเกียวที่มีบรรยากาศแบบโชวะ (ยุค 1926-1989) เต็มไปด้วยร้านค้าเล็ก ๆ ตรอกซอกซอยแคบ ๆ และวิถีชีวิตของคนทำงานชนชั้นกลาง แต่ด้วยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม ทำให้ย่านนี้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น และเริ่มมีโครงการคอนโดมิเนียมผุดขึ้น รวมถึงมหาวิทยาลัยที่ย้ายเข้ามา ทำให้มีนักศึกษาและคนรุ่นใหม่เข้ามาอยู่อาศัย
- การเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป Gentrification ในคิตะเซ็นจูอาจไม่ได้รุนแรงเท่าในบางพื้นที่ แต่ก็เห็นการเปลี่ยนแปลงของร้านค้าที่เปลี่ยนมือ มีร้านกาแฟและร้านอาหารทันสมัยเข้ามาแทนที่ร้านค้าดั้งเดิม
- การรักษาเอกลักษณ์ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง แม้จะมีการเปลี่ยนแปลง แต่ภาครัฐและชุมชนก็พยายามรักษากลิ่นอายดั้งเดิมของย่านไว้ เช่น การคงไว้ซึ่งถนนคนเดิน การจัดเทศกาลท้องถิ่น เพื่อไม่ให้ย่านกลายเป็นเพียงย่านใหม่ที่ไร้อัตลักษณ์
กรณีศึกษา เกียวโต (Kyoto) เกียวโต เมืองหลวงเก่าที่เต็มไปด้วยวัดวาอาราม ศาลเจ้า และบ้านเรือนไม้เก่าแก่ ถือเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลก แต่การหลั่งไหลเข้ามาของนักท่องเที่ยวจำนวนมากก็ส่งผลให้เกิด “Tourism Gentrification” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
- บ้านเรือนกลายเป็นที่พัก บ้านเรือนเก่าแก่จำนวนมากถูกแปลงสภาพเป็นโรงแรมขนาดเล็ก (Minpaku) หรือเรียวกัง (Ryokan) ที่พักสำหรับนักท่องเที่ยว ทำให้จำนวนที่อยู่อาศัยสำหรับคนท้องถิ่นลดลง และค่าเช่าที่พักพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก
- คนท้องถิ่นถูกผลักไส ชาวเมืองเกียวโตบางส่วน โดยเฉพาะผู้สูงอายุหรือผู้มีรายได้น้อย ไม่สามารถอาศัยอยู่ในพื้นที่เดิมได้อีกต่อไป เนื่องจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น และความวุ่นวายจากการท่องเที่ยวที่เข้ามา
- วัฒนธรรมที่กลายเป็นสินค้า เกอิชาที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมท้องถิ่น ก็กลายเป็นเหมือน “ของเล่น” ที่ต้องออกมาแสดงให้นักท่องเที่ยวชม ภาพของเกียวโตที่เคยสงบงามกำลังถูกทดแทนด้วยภาพของเมืองท่องเที่ยวที่อึกทึก และสูญเสียความเป็นส่วนตัวของคนในพื้นที่
ใครมีสิทธิ์ใน “เมือง” และ “การอนุรักษ์” คืออะไรกันแน่ ?

ปรากฏการณ์ Gentrification จุดประกายคำถามสำคัญเกี่ยวกับ “สิทธิ์ในเมือง” และ “การอนุรักษ์” ที่ซับซ้อนยิ่งกว่าที่คิด
มุมมองจาก “คนพื้นที่” (The Locals) สำหรับคนท้องถิ่นที่อยู่อาศัยมานานหลายสิบปี หรืออาจจะตั้งแต่บรรพบุรุษ พื้นที่นั้น ๆ ไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัย แต่คือ “บ้าน” คือ “ชุมชน” คือ “ความทรงจำ” และ “วิถีชีวิต” ที่ถักทอเข้าด้วยกัน พวกเขาอาจจะไม่ได้ต้องการ “ความเจริญ” แบบที่คนนอกนำมาให้เสมอไป เพราะความเจริญนั้นมักมาพร้อมกับการพลัดถิ่นและต้นทุนที่สูงเกินกว่าจะรับไหว
- “ทำไมต้องย้าย ? นี่บ้านเรานะ !” คำถามง่าย ๆ ที่สะท้อนความรู้สึกของการถูกบังคับให้ละทิ้งรากเหง้า
- “ความสวยงามนี้ ใครเป็นคนจ่าย ?” ความงดงามที่เห็นอาจหมายถึงการสูญเสียอาชีพ รายได้ และความมั่นคงในชีวิตของคนอีกกลุ่ม
- “วัฒนธรรมของเราถูกเอาไปขายหรือเปล่า ?” เมื่อวิถีชีวิตกลายเป็นสิ่งแปลกใหม่ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว ความเป็นของแท้ดั้งเดิมอาจถูกบิดเบือนหรือสูญเสียไปเพื่อตอบสนองการตลาด
มุมมองจาก “คนนอกพื้นที่” ที่อยากอนุรักษ์ (The External Preservationists) คนกลุ่มนี้อาจเป็นนักวิชาการ นักท่องเที่ยว ศิลปิน หรือนักพัฒนาที่มองเห็น “คุณค่า” ของพื้นที่เก่าแก่ และต้องการอนุรักษ์ไว้ แต่บ่อยครั้งมุมมองของพวกเขากลับละเลยมิติทางสังคมและเศรษฐกิจของคนในพื้นที่
- “พื้นที่นี้มีเสน่ห์ เราต้องอนุรักษ์ไว้ !” แต่การอนุรักษ์นั้นหมายถึงการรักษาสถาปัตยกรรม หรือการรักษาวิถีชีวิตและผู้คนด้วย ?
- “น่าเสียดายจังที่นี่กำลังจะเปลี่ยนไป !” แต่การเปลี่ยนแปลงนั้นอาจเป็นทางรอดเดียวของคนในพื้นที่ หรือเป็นทางเลือกที่ไม่ได้แย่เสมอไป
- “ทำไมไม่ดูแลของเก่าให้ดีกว่านี้ ?” คำถามที่อาจไม่ได้เข้าใจถึงข้อจำกัดทางการเงินและโอกาสในการพัฒนาของคนในพื้นที่จริง ๆ
การอนุรักษ์ที่แท้จริงคืออะไร ? คำถามที่สำคัญคือ การอนุรักษ์ที่เราพูดถึงนั้นคืออะไรกันแน่ ? คือการรักษาสภาพทางกายภาพของอาคาร ? คือการรักษาวิถีชีวิตของคนดั้งเดิม ? หรือคือการสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนากับการคงอยู่ของวัฒนธรรม ?
- การอนุรักษ์เชิงกายภาพ (Physical Preservation) มุ่งเน้นการคงสภาพของอาคาร สิ่งปลูกสร้าง หรือภูมิทัศน์ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะรักษาสังคมและวิถีชีวิตของคนในพื้นที่ได้
- การอนุรักษ์เชิงสังคม-วัฒนธรรม (Socio-Cultural Preservation) มุ่งเน้นการรักษาชุมชน วิถีชีวิต และประเพณี ซึ่งอาจต้องใช้แนวทางที่ยืดหยุ่นกว่าในการพัฒนาทางกายภาพ
- การอนุรักษ์เพื่อใคร ? เรากำลังอนุรักษ์เพื่อประโยชน์ของคนในพื้นที่ หรือเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักลงทุนเป็นหลัก ?
ทางออกที่เป็นไปได้ ความหวังในการอยู่ร่วมกัน ?
ปรากฏการณ์ Gentrification ไม่ใช่เรื่องที่ขาวหรือดำเสมอไป แต่เป็นพื้นที่สีเทาที่เต็มไปด้วยความท้าทายและโอกาส การจะหาทางออกที่เป็นธรรมและยั่งยืน จำเป็นต้องอาศัยความเข้าใจที่ลึกซึ้ง และการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน
- การมีส่วนร่วมของชุมชน (Community Participation) ให้คนในพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วมในการวางแผนและตัดสินใจเกี่ยวกับการพัฒนา ไม่ใช่แค่ผู้รับผลกระทบ แต่เป็นผู้สร้างอนาคตของชุมชนตัวเอง
- นโยบายภาครัฐที่เอื้อต่อคนท้องถิ่น รัฐบาลควรมีนโยบายที่ปกป้องสิทธิในการอยู่อาศัยของคนท้องถิ่น เช่น การควบคุมค่าเช่า การจัดหาที่อยู่อาศัยราคาถูก หรือการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อปรับปรุงบ้านเรือน
- การส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน (Community Economy) สนับสนุนธุรกิจขนาดเล็กของคนท้องถิ่น ไม่ใช่แค่ในรูปแบบเดิม ๆ แต่ช่วยต่อยอดให้สามารถแข่งขันในตลาดใหม่ได้ โดยไม่สูญเสียเอกลักษณ์
- การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (Sustainable Tourism) ส่งเสริมการท่องเที่ยวที่เคารพวิถีชีวิตของคนท้องถิ่น และกระจายรายได้ที่เป็นธรรมสู่ชุมชน ไม่ใช่แค่การบริโภคพื้นที่อย่างเดียว
- การให้ความรู้และความเข้าใจ (Education and Awareness) สร้างความเข้าใจให้กับทั้งคนในพื้นที่และคนนอกเกี่ยวกับความซับซ้อนของ Gentrification เพื่อให้เกิดการมองเห็นคุณค่าที่หลากหลาย และหาทางออกร่วมกัน
Gentrification คือกระจกสะท้อนให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำทางสังคม-เศรษฐกิจ และความขัดแย้งระหว่างการพัฒนาทางกายภาพกับการอนุรักษ์ทางวัฒนธรรม มันไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของ “เมือง” ที่เปลี่ยนแปลงไป แต่คือเรื่องของ “คน” ที่ต้องเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงนั้น ๆ
ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องตั้งคำถามอย่างจริงจัง ว่าเมืองแบบไหนที่เราอยากเห็น เราอยากให้ใครอยู่ในเมืองนั้น ? และเราจะอนุรักษ์อะไร และอนุรักษ์เพื่อใคร ? การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่การเปลี่ยนแปลงนั้นจะสร้างความรุ่งเรืองที่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง หรือจะสร้างอนาคตที่ทุกคนสามารถเป็นส่วนหนึ่งได้อย่างภาคภูมิใจ คำตอบอาจไม่ได้อยู่ที่ตึกระฟ้า หรือร้านกาแฟเก๋ ๆ แต่อยู่ที่หัวใจของการอยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจและเคารพซึ่งกันและกันต่างหาก