ศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ มีคำสั่งห้ามประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ออกมาตรการภาษีนำเข้าสินค้าในระดับโลก เนื่องจากเป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขต และขัดต่อรัฐธรรมนูญ ซึ่งส่งผลให้การจัดเก็บภาษีจำนวนมากถูกระงับชั่วคราว สร้างแรงกระเพื่อมทันทีต่อตลาดหุ้นและเศรษฐกิจโลก
หยุดมาตรการภาษีชุดใหญ่ (Liberation Day Tariffs) ซึ่งประกาศใช้เมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา ประกอบด้วย
- ภาษีนำเข้า 30% สำหรับสินค้าจากจีน
- ภาษีนำเข้า 25% สำหรับสินค้าบางประเภทจากเม็กซิโกและแคนาดา
- ภาษีทั่วไปราว 10% ต่อสินค้านำเข้าจากประเทศอื่น ๆ
ถูกศาลสั่งให้ระงับ โดยให้เวลารัฐบาลดำเนินการภายใน 10 วัน แต่คำตัดสินนี้ไม่ได้รวมถึงภาษีนำเข้า 25% ที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ เหล็ก และอะลูมิเนียม ซึ่งอยู่ภายใต้กฎหมายคนละฉบับกับที่ทรัมป์ใช้อ้างในการออกคำสั่ง
กลุ่มธุรกิจขนาดเล็กรวม 12 รัฐ ซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงจากภาษีดังกล่าว ได้ยื่นฟ้องต่อศาลว่าการกระทำของทรัมป์นั้นขัดกับหลักการใช้อำนาจของรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ซึ่งการตัดสินของคณะผู้พิพากษาทั้งสามคนมีมติเป็นเอกฉันท์ ให้ยุติการจัดเก็บภาษีเหล่านี้อย่างถาวร โดยศาลมองว่าทรัมป์ไม่ได้รับอำนาจจากกฎหมาย IEEPA (International Emergency Economic Powers Act) ที่เขาอ้างมาเพื่อเรียกเก็บภาษี
ส่งผลบวกทันทีต่อตลาดทุนสหรัฐฯ โดยดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์พุ่งขึ้น 1.1% ส่วน S&P 500 และ Nasdaq เพิ่มขึ้นประมาณ 1.4% และ 1.6% ตามลำดับ
อย่างไรก็ดี ฝ่ายรัฐบาลทรัมป์ไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินนี้ และประกาศอุทธรณ์ทันที โฆษกทำเนียบขาวยืนยันว่า ศาลไม่มีอำนาจตัดสินเรื่องการจัดการภาวะฉุกเฉินทางเศรษฐกิจ และการดำเนินนโยบายดังกล่าวเป็นสิทธิ์ที่ฝ่ายบริหารจะสามารถใช้มาตรการที่จำเป็นเพื่อรักษาผลประโยชน์ของสหรัฐฯ