อิหร่านกับสหรัฐฯ กำลังปะทะกันดุเดือดอีกครั้ง เมื่อล่าสุดรัฐสภาอิหร่านอนุมัติร่างกฎหมายให้ ‘ปิดช่องแคบฮอร์มุซ’ ซึ่งถือเป็นเส้นทางส่งออกน้ำมันที่สำคัญของโลก หลังจากสหรัฐฯ เปิดปฏิบัติการ Midnight Hammer โจมตีโรงงานนิวเคลียร์ 3 แห่งในอิหร่าน
การตอบโต้ครั้งนี้อาจกลายเป็นจุดแตกหักใหม่ในความตึงเครียดระดับโลก โดยเฉพาะเมื่อรัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐฯ มาร์โก รูบิโอ ออกมาเตือนว่าการปิดช่องแคบจะเป็นการฆ่าตัวตายทางเศรษฐกิจของรัฐบาลอิหร่าน พร้อมเรียกร้องให้จีนในฐานะลูกค้ารายใหญ่ของน้ำมันอิหร่าน ออกแรงกดดันให้ยับยั้งการปิดเส้นทางนี้
ความสำคัญของช่องแคบฮอร์มุชต่อเศรษฐกิจโลก
ช่องแคบฮอร์มุซมีความกว้างเฉลี่ยเพียง 33 กิโลเมตร แต่สามารถรองรับเรือบรรทุกน้ำมันขนาดยักษ์ (VLCC) ได้เป็นประจำทุกวัน ข้อมูลจากสำนักงานพลังงานสหรัฐฯ (EIA) ระบุว่า ในปี 2024 มีน้ำมันดิบไหลผ่านช่องแคบนี้มากถึง 20 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือคิดเป็น 20% ของการบริโภคน้ำมันทั่วโลก โดยกว่า 80% ของปริมาณนี้ถูกส่งต่อไปยังเอเชีย โดยเฉพาะจีน อินเดีย ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้
ซึ่งช่องแคบฮอร์มุซสำคัญเพราะไม่มีทางเลือกอื่นที่จะทดแทนได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากช่องแคบนี้ถูกปิดด้วยเหตุใดก็ตาม เช่น ความขัดแย้งทางทหารหรือการตอบโต้เชิงการเมือง ก็อาจทำให้การส่งออกน้ำมันจากภูมิภาคอ่าวเปอร์เซียชะงักทันที ส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งทะยาน และกระตุ้นอัตราเงินเฟ้อในหลายประเทศทั่วโลกผ่านราคาขนส่ง ค่าครองชีพ หรือแม้กระทั่งนโยบายดอกเบี้ยของธนาคารกลางในแต่ละประเทศ
นักวิเคราะห์จากมหาวิทยาลัยฮุสตันในสหรัฐฯ เตือนว่า หากเกิดการปิดช่องแคบจริง ราคาน้ำมันอาจพุ่งจากระดับ 73 เหรียญไปถึง 120 เหรียญต่อบาร์เรล หรือกว่า 3,960 บาทต่อบาร์เรล ซึ่งจะส่งผลกระทบวงกว้างต่อภาคธุรกิจ ผู้บริโภค และภาคการผลิตในทุกมุมโลก
แม้ในอดีตอิหร่านจะเคยขู่ว่าจะปิดช่องแคบฮอร์มุซ แต่ก็ยังไม่เคยเกิดขึ้นจริง เพราะรู้ดีว่าเป็นดาบสองคมที่จะกลับมาแทงเศรษฐกิจของตนเองเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ทุกครั้งที่เกิดความตึงเครียดในภูมิภาคนี้ ตลาดโลกก็จะสะเทือนตามไปด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้
ดังนั้น ช่องแคบฮอร์มุซจึงไม่ใช่แค่ประเด็นภูมิรัฐศาสตร์ แต่เป็นจุดชี้วัดความมั่นคงของพลังงานโลก การปิดช่องแคบแม้เพียงวันเดียว ก็อาจกลายเป็นชนวนวิกฤตเศรษฐกิจโลกครั้งใหม่ได้ทันที และนั่นคือเหตุผลที่ทั้งโลกต้องจับตาทุกความเคลื่อนไหวในพื้นที่นี้อย่างใกล้ชิด